จ่านเหยียนหัวเสียเล็กน้อย “สบายใจได้ ข้าต้องคืนชุดให้ท่านแน่”“เช่นนั้นก็ดี!” มู่หรงฉิงเทียนกล่าวจบก็เดินอาด ๆ ไปจ่านเหยียนคับอกคับใจกับเงาหลังของเขานานระยะหนึ่งจึงหมุนตัวกลับตำหนักบรรทมอย่างกรุ่นโกรธอาเสอกลับมาเห็นจ่านเหยียนหงุดหงิดอยู่คนเดียวในห้องจึงถาม “เป็นอะไรไปหรือ? ใครทำให้ท่านโกรธ?”“เปล่า!” จ่านเหยียนถือเข็มกับด้ายอยู่ในมือ เย็บเป็นเส้นตะขาบ แล้วพูดด้วยความหงุดหงิด “เจ้าว่าเขาหมายความว่าอย่างไร?”“ใครหมายความว่ายังไง?” อาเสอถามด้วยความสับสนจ่านเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึก “ไม่มีอะไรแล้ว”“เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ใครทำให้ท่านโมโห? มู่หรงฉิงเทียนหรือ?” อาเสอถาม“เขาทำให้ข้าโกรธได้หรือ? เขาเป็นอะไรกับข้า?” จ่านเหยียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์อาเสอมองนางด้วยความอยากรู้ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “ไม่ใช่นะ น้ำเสียงการพูดของท่านมันมีปัญหา เขาไม่เป็นอะไรกับท่านจริง ๆ นั่นแหละ เขาจะทำอะไรย่อมไม่เกี่ยวกับท่าน แล้วท่านมาผายลมอยู่นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”“เอ๊ะ ทำไมเจ้าถึงเป็นคนหยาบคายอย่างนี้?” จ่านเหยียนอารมณ์ขึ้น คว้ารองเท้าปักลายบนโต๊ะแล้วไล่ฟาดนาง “เจ้ายังมีคำพูดอะไรที่ทุเรศกว่านี้อีกไหม? พูดก
อาเสอจึงได้แต่ส่งเหมย หลาน จู่และจวี๋ออกจากวัง ที่ทำก็เพราะกลัวว่าพวกเขาจะถูกฆ่าปิดปาก นางจ้างรถม้าส่งออกนอกเมืองในคืนนั้น แล้วล้วงเงินให้พวกเขาจำนวนหนึ่งต้าเหมยรับเงินมาแล้วดึงแขนเสื้อของอาเสอ ถาม “โปรดบอกคุณหนูใหญ่ บุญคุณครั้งนี้ ชาตินี้ต้าเหมยไม่มีวันลืม หากมีโอกาสต้องตอบแทนแน่”อาเสอเอ่ย “ไม่หวังให้พวกเจ้าตอบแทน ถึงเวลาอย่าถูกคนหลอกใช้ก็พอ หนีเอาตัวรอดเถอะ ราชครูถงไม่ปล่อยพวกเจ้าไปหรอก”ทั้งสี่ขึ้นนั่งรถม้าหนีเอาตัวรอดหลังจากที่อาเสอไป ต้าเหมยก็ให้สารถีหยุดรถ “ข้าจะกลับเมืองหลวง”อาจู๋ดึงเขาไว้ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ราชครูถงไม่ปล่อยเราหรอก”ต้าเหมยกระโดดลงรถม้าแล้วมองทั้งสามคน “คุณหนูใหญ่ไม่เคยเอาเปรียบเรา กระทั่งเวลานี้ก็ยังเป็นห่วงชีวิตของเรา ข้าจะเห็นแก่ตัวเช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะกลับไป”“เจ้ากลับไปแล้วจะทำอะไรได้?” อาจู๋ถามต้าเหมยนิ่งเงียบพักหนึ่ง “ไม่รู้ แต่กลับไปแล้วค่อยว่ากัน”เขานิ่งไปพักหนึ่งแล้วพูดอีก “ชาตินี้เราอยู่ใต้น้ำลายคนอื่น ไม่เคยได้รับความเคารพจากใคร แต่คุณหนูใหญ่เห็นพวกเราเป็นคนจริง ๆ ข้าอยากเป็นคนอย่างแท้จริง ข้าไม่อยากเร่ร่อนเหมือนสุนัขไร้บ้าน”กล่าวจบเข
เขาพิจารณาครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับหลงฉางเทียน “เจ้าไปนับทหารเดี๋ยวนี้ แล้วบุกเข้าวังมา”จงเสี้ยนโบกมือ “ยังไม่ต้อง ตอนนี้ที่ด่วนที่สุดไม่ใช่กำจัดนาง แต่ต้องยึดอำนาจทหาร ท่านพี่ ท่านมาตำหนักข้า ข้ามีบางเรื่องจะหารือกับท่าน”“ได้!” ราชครูถงหันกลับมามองทีหนึ่ง แค่แวบเดียวก็ตกใจขวัญกระเจิง เห็นเพียงเหล่าทหารที่เดิมยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินมาถึงหน้าประตูอย่างเป็นระเบียบ กำลังง้างธนูคันเล็กกับพวกเขาอยู่ใบหน้าของพวกเขาไร้ความรู้สึก ราวกับเป็นตุ๊กตาที่ปั้นขึ้นมา กำลังรอคำสั่งก็จะยิงเข็มพิษพร้อมกัน แต่ตอนที่พวกเขาออกมาเมื่อครู่ เสียงฝีเท้าดังสนั่น บัดนี้พวกเขาแห่แหนหันมากลับไม่ได้ยินเสียงสักนิด มิหนำซ้ำราชครูถงมีกำลังภายในล้ำลึก ในที่นี้มีคนอยู่มากมาย เขากลับไม่ได้ยินเสียงหายใจหรือเสียงหัวใจเต้นสักนิดเจ้าพวกนี้... ไม่ใช่คน!ไม่ว่าราชครูถงจะใจกล้าขนาดไหนก็อดขนหัวลุกไม่ได้“ถอย!” ราชครูกัดฟันออกคำสั่งมีองครักษ์เดินมาหามถงจื่อซั่งแล้วรีบร้อนเดินไปจ่านเหยียนยืนอยู่ในลานตำหนัก มองคนพวกนี้หนีเอาชีวิตไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดอาเสอเดินเข้ามาถาม “ทำไมต้องให้พวกเขาเห็นด้วย?”จ่านเหยียนเอ่ย “มีสองสา
ราชครูถงหันขวับไปทางหลงฉางเทียนและถามด้วยโทสะ “นางมิใช่ลูกสาวต้อยต่ำของเจ้านั่น นางเป็นใครกันแน่?”หลงฉางเทียนก็งงเหมือนกัน เขามองไปทางจงเสี้ยนปานขอความช่วยเหลือ จงเสี้ยนใบหน้าเหี้ยมเกรียมปกคลุมไปด้วยไอหนาว จ้องเขาด้วยเหมือนกันเขารีบอธิบาย “ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันนะขอรับ ก่อนหน้านี้นักพรตฟางจี้จื่อเคยมาที่จวน บอกว่าในจวนมีปีศาจจิ้งจอก ไม่รู้ว่านางจะจำแลงกายมาจากปีศาจจิ้งจอกนั่นหรือไม่“ปีศาจจิ้งจอก? เหลวไหลสิ้นดี!” ราชครูถงตวาดด้วยความโกรธ “หากเป็นปีศาจจิ้งจอก เช่นนั้นในเมื่อฟางจี้จื่อเข้าจวนไปกำจัดปีศาจแล้ว ทำไมนางยังไม่ตายอีก?”“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันขอรับ” หลงฉางเทียนตอบอย่างอกสั่นขวัญแขวน“ท่านพ่อ ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี?” ถงไทเฮาตกใจไม่เบา ใบหน้าดำ ๆ กลายเป็นสีเขียวแล้วราชครูถงหัวเราะเย็น “ข้าเตรียมการก่อนจะมา คืนนี้ต้องฆ่านางให้ได้ และดูสิว่าตำหนักหรูหลานของนางแน่นหนาปานเหล็กหรือไม่?”จงเสี้ยนยื่นมือออกไปกดแล้วเอ่ยเสียงหนัก “ท่านพี่ อย่าได้ใจร้อน” กล่าวจบนางก็ส่งสายตาว่ามู่หรงเจี้ยนก็อยู่ด้วยราชครูถงมองมู่หรงเจี้ยนทีหนึ่ง เห็นเขายืนหน้าตึงเงีย
ชีวิตนี้เขาเจอกับอันตรายมาไม่มากก็น้อย แต่ไม่มีครั้งไหนที่น่ากลัวเหมือนอย่างเวลานี้นางผู้นี้คือปีศาจร้าย ไม่ใช่พวกคนดีแน่ขณะร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียกล้มลงไป ในที่สุดนางก็คลายมือออกจากคอของเขาเขานอนกระหืดกระหอบสูดอากาศ ทรวงอกมีความเจ็บที่ราวกับจะระเบิดจ่านเหยียนเหยียบยอดอกของเขาแล้วทิ้งคำพูดหนึ่ง “ครั้งหน้าเจ้าไม่โชคดีอย่างนี้แล้ว”ถงจื่อซั่งหอบหายใจหนัก ๆ เมื่อครู่ขาดอากาศจึงทำให้สมองในเวลานี้ยังมึน ๆ งง ๆ แต่เขายังสามารถได้ยินคำพูดประโยคนี้ของจ่านเหยียนได้อย่างชัดเจน จังหวะที่จ่านเหยียนหมุนตัว เขาใช้กำลังเฮือกสุดท้ายซัดศรพิษออกไปจากแขนเสื้อศรพิษผ่าอากาศตรงไปยังแผ่นหลังของจ่านเหยียนจ่านเหยียนยืนนิ่ง ครั้งสะบัดแขนเสื้อ ศรพิษนั้นก็พุ่งกลับเข้าหว่างคิ้วของถงจื่อซั่งเลือดกระเซ็นออกมา ถงจื่อซั่งเบิกตาโพลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ใบหน้าคือความบิดเบี้ยวทรมาน ร่างกายชักกระตุกสองสามที มุมปากก็มีเลือดสีดำไหลออก...“จื่อซั่ง!” จงเสี้ยนร้องอุทานผลักองครักษ์แล้วถลาไปหาถงจื่อซั่ง“อารอง!” ฮองเฮาก็อุทานแล้วเข้าไปหาเช่นกันกลับเป็นถงไทเฮาที่มองทุกอย่างตรงหน้านิ่ง ๆ หดตัวเล็กน
สายตาของมู่หรงฉิงเทียนมุ่งไปทางจงเสี้ยนทันใด ใบหน้าที่บำรุงมาอย่างดีของจงเสี้ยน ขาวราวกับหิมะ ปราศจากสีเลือดฉับพลัน กล้ามเนื้อใบหน้านางกระตุก นางมองจ่านเหยียนแบบดวงตาไม่กะพริบอยู่นาน เปลวเพลิงร้อนแรงในดวงตาแผดเผาไม่หยุด ก่อนจะมีคำพูดร้ายกาจออกมาจากปากนาง “เจ้าไม่อยากอยู่แล้วจริง ๆ”นางยกมือหมุนตัวเดินไปทางประตูตำหนัก มีองครักษ์เอาตัวอาเสอกับอาหูออกไปทันทีแต่กระบี่ขององครักษ์ทั้งสองยังไม่ออกจากฝักก็ตกอยู่ในมือของอาเสอแล้วได้ยินเพียงกระบี่ออกจากฝักเสียงดังชิ้ง ฝักกระบี่กระเด็นไปทางองครักษ์ทั้งสองทำให้พวกเขาถอยออกไปสองก้าวจึงพอจะยืนได้อย่างมั่นคง ทว่าลมหายใจกลับยุ่งเหยิง ราชครูถงยิ้มเย็น “ตำหนักหรูหลานแห่งนี้ช่างเก็บซ่อนยอดฝีมือไว้จริง ๆ ข้าประเมินหมู่โฮ่วฮองไทเฮาต่ำเกินไป”จ่านเหยียนเดินประชิดไปทีละก้าวและยืนอยู่ตรงหน้าจงเสี้ยน “แม่สามีมีชนักติดหลังหรือเพคะ? กลัวว่าหม่อมฉันจะพูดเรื่องที่ตอนนั้นพระองค์ชิงโอรสของฮุ่ยเฟย? พระองค์ไม่โปรดอดีตฮ่องเต้มาโดยตลอด กลับจำต้องอาศัยเขาทำให้ฐานะของพระองค์มั่นคง สงสารแต่อดีตฮ่องเต้ ยังทรงนึกว่าพระองค์คือพระมารดาของพระองค์จริง ๆ อุ้มชูสกุลถงเพ