“หากไม่อยากตกม้าตายทั้งคู่ก็อยู่นิ่ง ๆ”
“อ๊ะ” ซูเหยาผวาตกใจเมื่อถูกมือหนากอดกระชับเข้าที่เอวคอดหลังจากถูกเสียงห้าวดุทั้งบีบเข้าที่เอวของนางอย่างแรง
“จะพาข้าไปที่ใด”
“ข้า! เหอะ” จ้าวหยางวันนี้หลังจากที่นางมิสนใจเขาที่ตลาด เมื่อกลับตำหนักในใจก็ไม่อาจนิ่งสงบที่ถูกนางเมิน ในหัวเฝ้าคิดถึงแต่ท่าทางหันหลังมิยอมกลับมามองของนาง และเมื่อใจมิอาจสงบลงได้จึงต้องการไปถามเสียให้รู้ความ จึงให้เหยียนเฟิงไปแจ้งกับบ่าวรับใช้เรือนนางอย่างลับ ๆ ส่วนเขานั้นไม่อาจไปอย่างโจ่งแจ้งนักจึงได้ไปรอที่ประตูข้างเรือนนางแทน
“ตำหนักป่าไผ่”
“ข้าไม่อยากไป”
“ข้า ๆ ใครสอนให้พูดเช่นนี้ห๊ะ ไม่อยากไปแล้วเช่นไร” เมื่อเห็นว่าจ้าวหยางเริ่มมีอารมณ์ซูเหยาจึงได้เงียบเสียงลง เวลานี้ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักด้วยเพราะเขาควบม้าเร็วเสียจนน่ากลัวจึงจำต้องนั่งเงียบ ๆ สงบปากสงบคำแทน
จ้าวหยางพานางควบม้าไม่นานก็เข้าสู่เขตตำหนักป่าไผ่ บ่าวรับใช้ถูกไล่ไปเสียหมดทั้งตำหนักในเวลานี้จึงมีเพียงเขาและนาง ส่วนเหยียนเฟิงนั้นก็คงลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ มิได้เข้ามารบกวน
“ลงมา!” จ้าวหยางชูมือขึ้นเพื่อให้นางจับ แต่ดูท่าวันนี้นางกลับดื้อดึง ท่าทางนั่งหลังตรงเชิดหน้าหนีเขานั้นช่างน่าจับมาลงโทษปราบพยศเสียจริง
“ไม่! ว๊าย นี่ท่านอ๋องปล่อยข้านะ อื้อ” ซูเหยาดีดดิ้นเมื่อถูกกระชากอุ้มลงจากหลังม้า ก่อนจะถูกจับพลิกตัวและตามด้วยปากหนาประกบเข้าที่ริมฝีปากนางอย่างแรงซ้ำยังถูกจ้าวหยางกัดดึงเข้าอย่างแรงที่ปากล่างของนางคล้ายต้องการสั่งสอน จนซูเหยาน้ำตาเล็ดจากอาการเจ็บแปลบ ทั้งตัวนางยังถูกกอดรัดแน่นจนนางมิอาจดิ้นขยับหนีได้ ยิ่งนางดิ้นจ้าวหยางยิ่งรัดแน่นจนนางยอมจำนนในที่สุด
“ทีนี้เลิกดื้อได้รึยัง” จ้าวหยางที่จูบสั่งสอนจนนางนิ่งงันจึงถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง แต่ใบหน้าหล่อเหลายังมิยอมห่างกลับคลอเคลียใบหน้าเล็กสูดหอมแก้มเนียนใสของนางอย่างหนักทั้งซ้ายขวาจนซูเหยาร้องประท้วงอย่างขัดใจ แต่จ้าวหยางกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจกลับท่าทางของนาง เขาก้มสูดดมกลิ่นโม่ลี่ฮวาจากผิวของซูเหยาเสียจนชุ่มปอดและเหมือนว่าเวลานี้กายแกร่งของเขาเริ่มร้อนลุ่มจนช่วงล่างปวดหนึบ เมื่อเหตุการณ์เริ่มมีทีท่าว่าจะเลยเถิดจึงตวัดอุ้มร่างอวบอิ่มเย้ายวนของนางขึ้นแนบอกแกร่งเดินดุ่ม ๆ เร่งรีบตรงเข้าตำหนัก
“มานี่ซูเหยา” จ้าวหยางจิ๊ปากขัดใจเมื่อเขาวางนางเพียงเท้าแตะพื้นก็รีบวิ่งหนีไปอยู่อีกด้านของตั่งพระที่นั่ง
“ไม่ พาข้ากลับเดี๋ยวนี้นะเพคะ เหตุใดต้องทำเช่นนี้ป่านนี้เยว่ถานคงออกตามหาข้าแย่แล้ว” ซูเหยาสอดส่ายสายตามองซ้ายแลขวาเพื่อหาทางหนีทีไล่ด้วยแววตาตระหนก หากเป็นเมื่อก่อนนางคงมิรีรอจะรีบเข้าไปปรนนิบัติเอาใจแต่เวลานี้ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
“เจ้าเป็นอะไร แล้วคำพูดนั่นใครสอนให้พูดสำเนียงเช่นนี้กับข้า” จ้าวหยางพูดเสียงเข้มอย่างกรุ่นโกธร ทั้งเอ่ยปากปรามนางส่วนมือหนาก็แกะถอดอาภรณ์ไปพลางก่อนจะปลดมันลงอวดลอนกล้ามท้องตึงแน่นต่อสายตาซูเหยาเพื่อหลอกล่อนาง เขามิเชื่อว่านางจะมิลุ่มหลงในเรือนร่างแกร่งของเขาในเมื่อมันคือส่วนที่นางชอบลูบไล้มันที่สุด หึ!
ซูเหยาเมื่อเจอภาพจ้าวหยางที่กึ่งเปลือยต่อหน้าก็ลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเสียหลายอึก ภาพที่นางเคยหลงใหลและเคยมองอย่างชื่นชม ใบหน้างามส่ายไปมาเพื่อเรียกสติของตน เท้าก็ก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวังเมื่อจ้าวหยางก้าวเข้าหานางด้วยท่าทีคุกคาม ซ้ำดวงตายังมองนางด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ชอบกล
“หึ!” จ้าวหยางที่เห็นท่าทางระแวดระวังทั้งตัวสั่นระริกแววตาไหววูบของนางก็หยุดเดินต่อ ก่อนใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นคนตัวเล็กลอบถอนหายใจพร้อมสีหน้าท่าทางโล่งอก ท่าทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นนี้ของนางทำให้เขานึกขันในใจจนเกิดความรู้สึกว่านางช่างน่ารัก
“มานี่สิ เจ้าดื่มนี่หมดข้าจะให้กลับ” จ้าวหยางเปลี่ยนเป็นเดินไปทรุดร่างลงที่โต๊ะก่อนจะรินสุราที่ฮ่องเต้ประทานให้ยื่นส่งให้นางซึ่งหลายวันก่อนได้มาจากแดนเหนือ สุราบรรณาการที่หาได้ยากและราคาแสนแพง แต่เมื่อนางไม่ยอมรับไปจึงวางลงด้วยแววตาเข้มขึ้นเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเป็นเลื่อนไปด้านหน้าให้นางแทน
ซูเหยานั้นบัดนี้ไม่เข้าใจและไม่อาจวางใจกลับท่าทางเจ้าเล่ห์ชอบกลของจ้าวหยาง นางก้าวเดินอย่างระแวดระวังก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองจอกทองใส่สุราในมืออย่างชั่งใจทั้งมิยอมยกขึ้นดื่ม จนจ้าวหยางยกดื่มให้นางดูก่อนไปหนึ่งจอกนั่นแหละนางถึงยอมยกขึ้นดื่ม
‘ดื่มให้มันจบ ๆ’ ซูเหยาคิดในใจก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มก่อนจะพบว่ารสชาติช่างหอมหวานรสชาติสุราช่างกลมกล่อมและคิดว่าสุราดีขนาดนี้จอกเดียวอาจมิพอ จึงเผลอยื่นไปด้านหน้า และจ้าวหยางนั้นก็ไม่รอช้าและหวงแต่อย่างใด เขายกกาทองเทสุราให้นางอย่างเอาใจ นางดื่มเขาดื่มก่อนจะลอบกระตุกยิ้มอย่างพอใจที่นางตกหลุมพรางตนในที่สุด
‘ไม่สนใจข้าเช่นนั้นรึซูเหยา วันนี้ข้าจะลงโทษเจ้าให้เข็ดหลาบ’
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน