“มิมีสิ่งใดทั้งนั้นท่านพ่อ ข้าเพียงแค่เบื่อหน่ายก็เท่านั้น ขอถามท่านพ่อจะให้ข้าไปอยู่กับญาติ เอ่อของแม่รองจริง ๆ งั้นรึ” ซูหยามองหน้าผู้เป็นพ่อที่บัดนี้มองนางราวกับเห็นผี นางเพียงคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะถามถึงบ้านที่นางนั้นต้องไปอยู่
“อืม ตระกูลจางนั้นมิได้เลวร้ายเป็นตระกูลใหญ่เพียงแต่อยู่ชนบทก็เท่านั้น เจ้าเดินทางไม่เกินสามวันก็ถึงแล้ว ซานเฉิงแม้จะชนบทหน่อยแต่ว่าก็อากาศดี ที่นั่นอากาศเย็นตลอดทั้งปียังไงเจ้าเตรียมชุดหนา ๆ ไปเสียเยอะหน่อยก็แล้วกัน เอาล่ะในเมื่อเจ้าตัดสินใจว่าจะไปข้าก็ไม่ขัดข้อง บางทีการที่เจ้าได้ไปทบทวนตัวเองเสียหน่อยอาจจะทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้นก็ได้ เอาไว้ให้เรื่องที่เจ้าก่อผู้คนลืมกันไปแล้วก็ค่อยกลับมาก็แล้วกัน รึว่าอยากกลับเมื่อไหร่ก็ให้ส่งจดหมายกลับมาข้าจะรีบไปรับกลับในทันทีรู้รึไม่” หลินเจียงนั้นเขาเป็นห่วงซูเหยาอยู่มาก เช่นไรก็ลูกของเขา แม่แต่สุนัขมันยังรักลูกมันแล้วมีหรือที่เขาจะไม่รัก พอพูดกับผู้เป็นบุตรสาวออกไปเช่นนั้นใจแกร่งเองก็ไหวยวบอยู่ไม่น้อย พลันดวงตาก็คลอเคลียด้วยน้ำวาววับ ชายสูงวัยกลั้นมันไว้จนบัดนี้เกรงว่าแดงก่ำแล้วกระมัง จึงเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นมิได้สบตาผู้เป็นบุตรสาวโดยตรง
“เจ้าค่ะท่านพ่อ เช่นนั้นวันนี้ลูกขอไปเดินซื้อของเสียหน่อย” ซูเหยารับคำพร้อมทำความเคารพผู้เป็นบิดา แม้อาลัยท่านย่าอยู่มากแต่การไปครั้งนี้นางขอไปพักกายพักใจเสียหน่อย หากลืมเรื่องเลวร้ายนี้หมดสิ้นแล้วจึงจะหวนคืนได้แต่หวังว่าท่านย่าจะสุขภาพแข็งแรงรอนางกลับมา
“เยว่ถานไปกันเถอะ วันนี้ข้าจะไปหาซื้อผ้าและด้ายไว้เยอะหน่อย จะได้มีงานทำแก้เบื่อไม่รู้ว่าไปที่ซานเฉิงจะมีสิ่งใดให้ข้าพอทำได้บ้าง หวังว่าที่นั่นจะไม่น่าเบื่อจนเกินไป”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ซูเหยานั่งรอเยว่ถานอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับจูงกันเดินออกไปจากจวน หลังจากที่ไม่ได้ย่างกายออกไปเลยตลอดหลายวัน ส่วนอีกฟากของเรือนเยว่หลันสองแม่ลูกที่ยืนมองอยู่ก็ลอบยิ้มสะใจ แม่ในใจนึกฉงนเล็กน้อยที่นางสามารถลุกจากเตียงมาได้ รึยานั่นจะมีอะไรผิดพลาด แต่ช่างเถอะ!
“ได้สิ ได้มีอะไรทำแน่ หึซื้อผ้าซื้อด้ายเช่นนั้นรึ ฮ่า ๆ เกรงว่าจะไม่มีเวลาได้ทำสิ่งใดเลยต่างหากนอกจากปลูกผักทำสวนแลกข้าว ฮ่า ๆ แม่นมอวิ๋นที่ข้าให้ไปทำส่งไปแล้วรึยัง” ซูฉีหันมาถามไถ่สาวใช้คู่ใจว่าจดหมายที่นางลอบส่งไปให้ตระกูลจางนั้นทำสำเร็จแล้วรึไม่ หึ!ตระกูลจางนั่นใช่ญาติของนางเสียที่ไหนเล่า ญาติอุปโลกน์ขึ้นมาก็เท่านั้น หึ ๆ
วันนี้อากาศหลังฝนตกแลดูชุ่มฉ่ำพื้นถนนเปียกชื้นต้นไม้ข้างทางมีละอองหยดน้ำเกาะวาววับ หลังคากระเบื้องถูกอาบฉาบเคลือบด้วยสายฝนจนดำวาววับยามต้องกับแสงตะวันยามเช้า สายลมพัดโชยไอเย็นจากละอองฝนลอยเข้าปะทะร่างซูเหยาจนผ้าคลุมไหล่ผืนบางโบกสะบัดเย้ายวน ภาพโฉมงามเดินเด่นปะปนท่ามกลางผู้คนอยู่นั้นทำให้ซูเหยากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนได้ไม่ยาก รวมไปถึงเหล่าบัณฑิตขุนนางที่วันนี้นัดแนะดื่มกินปรึกษาหาลือข้องานราชการอยู่ชั้นบนโรงเตี๊ยม
“นั่นคุณหนูบ้านไหนเล่าช่างงดงามยิ่งนัก”
“นั่นหนะหรือ คุณหนูใหญ่ตระกูลหลิน หลินซูเหยา ได้ยินว่าหลายวันก่อนสร้างเรื่องขึ้นจนเสนาบดีหลินโบยด้วยตัวเองเชียวนะ นางหนะหยาบกระด้างแม้รูปโฉมงดงามก็สู้น้องสาวนางไม่ได้หรอก หลินชิงเยว่หนะงามไปทั้งกริยาทั้งรูปโฉม”
“พอ ๆ คุณชายกู้ก็เจ้านะหมายตานางไว้อยู่แล้วมิใช่หรอกรึ จะเช่นไรก็ช่างการได้ปราบสาวงามพยศย่อมตื่นเต้นกว่า ฮ่า ๆ”
“เฮ้ย ๆ เลิกเพ้อเจ้อ ๆ นางหนะทั้งพี่ทั้งน้องมิสนใจชายตาดูพวกเจ้าหรอก นู่นพวกนางหนะต่างก็หมายใจจะแต่งเข้าจวนหยางจวิ้นอ๋องกันทั้งนั่นแหละ นั้นพูดถึงก็มาเลย” ในขณะที่บุรุษในโรงเตี๊ยมกำลังถกถียงกันเรื่องสาวงาม ด้านล่างบริเวณถนนทางเดินก็มีม้าสามตัววิ่งตรงเข้ามาจากประตูเมือง เสียงสตรีกรีดร้องเยินยอก็พลันเซ็งแซ่ขึ้นจนพวกเขาเกิดนึกไม่ชอบใจ
“คุณหนู หยางจวิ้นอ๋องเจ้าค่ะ”
“อืม ช่างเถอะ” ซูเหยามิใคร่ใส่ใจแม้กระทั่งจะหันไปมอง นางยังคงเลือกซื้อดอกไม้ต่อไป ดอกอวี้จินเชียงสีแดงสดนี่ต่างหากที่กำลังดึงดูดความสนใจของนาง
หยางจวิ้นอ๋องควบม้าวิ่งมาอย่างเร็วก่อนจะชะลอความเร็วลงกว่าครึ่งเมื่อเริ่มเข้าสู่ประตูเมือง คราแรกตั้งใจพักอยู่ในค่ายทหารแต่หานกงกงกลับลืมเตรียมดอกโมลี่ให้ซะนี่ เช่นนั้นจึงได้ควบม้ากลับมาพักที่ตำหนักของตน หลัง ๆ เกรงว่าเขาคงเสพติดกลิ่นของมันเข้าแล้วกระมัง ที่หากมิได้กลิ่นก็จะนอนมิหลับช่างน่าแปลกประหลาด และอาการนี้เขาพึ่งมาเริ่มเป็นหลังจาก สายตาคมมองดูซูเหยาที่มิสนใจแม้แต่จะหันมามองตน เพียงเห็นนางจากที่ไกลลิ่วเขาก็มองออกแล้วว่าเป็นนาง
‘ยังโกรธข้าอยู่เช่นนั้นรึ’
ยิ่งม้าวิ่งใกล้จุดที่นางยืนอยู่เขาก็ยิ่งชะลอความเร็วจนกลายเป็นว่าตอนนี้ม้าเดินย่อง ขนาดควบม้าเดินช้าเช่นนี้นางยังมิยอมหันกลับมามองเช่นนั้นรึ นี้ก็ชัดเจนแล้วเมื่อแน่ใจชัดแล้ว จ้าวหยางก็กระตุกควบม้าเร่งความเร็วมุ่งตรงกลับตำหนักด้วยความขุ่นมัวในใจ
“ไปแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
“อืม เยว่ถานไปร้านด้านนั้นกัน”
“เจ้าค่ะ”
สองนายบ่าวเดินตะเวนซื้อของจนมืดค่ำถึงกลับถึงจวน ข้าวของมากมายถูกนำมาแยกก่อนจะเก็บใส่หีบเพื่อนำไปยังซานเฉิง และยังมิทันที่ซูเหยาจะได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สาวใช้ในเรือนก็มาแจ้งว่ามีคนมาขอพบโดยมิได้แจ้งชื่อแซ่ว่าเป็นผู้ใด บอกเพียงแต่ว่ารอที่ประตูเล็กข้างเรือนของนาง
ซูเหยาขมวดคิ้วน้อย ๆ นึกเช่นไรก็นึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ด้วยความมิได้เฉลียวใจจึงบอกเยว่ถานให้จัดของต่อ ส่วนนางนั้นจะออกไปดูเสียหน่อย
ซูเหยาเดินลัดมาตามกำแพงจวนใหญ่เวลานี้ความมืดเริ่มโรยตัว ผู้คนในจวนต่างก็มัววุ่นวายกับการเตรียมอาหารและจัดการกับงานของตน ผู้คนในจวนจึงดูบางตามิพุ่งพล่าน ซูเหยาเดินถือโคมไฟชั่งใจเพียงครู่ก่อนจะเดินออกประตูไป และทันทีที่นางโผล่พ้นประตูก็ต้องตกใจจนสิ้นเมื่อถูกมือใหญ่ปิดปากนางแน่น ก่อนจะส่งนางขึ้นม้าพร้อมกันกับเขานั้นตวัดตัวขึ้นนั่งซ้อนแล้วเร่งควบม้าวิ่งไปอย่างเร็ว
“อื้อ นี่! ท่านอ๋องปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยสิ หยุดเดี๋ยวนี้” ซูเหยาคราแรกตกใจแต่เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ยิ่งโมโห อารมณ์นางตอนนี้ทั้งโกธรทั้งเกลียด ทั้งน้อยใจ
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน