แชร์

บทที่ 6

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-23 20:42:04

เสียงฝีเท้าม้าผสานกับเสียงล้อเกวียนของตัวรถบด ถนนดินลูกรังเดินเข้ามาในหมู่บ้านอย่างเชื่องช้า หนิงอันจึงเปิดหน้าต่างออกดูแต่แล้ว

“แค่ก ๆ” เสียงไอยามฝุ่นฟุ้งเข้าปากและจมูกทำให้เด็กหญิงผู้มีวิญญาณมาจากอนาคตจำต้องปิดหน้าต่างทันที

“เจ้าช่างซนเสียจริง” ผู้เป็นย่าเอ่ยติงแกมสงสารยามเห็นท่าทางของหลานสาวผู้กำลังไอหน้าดำหน้าแดง

ผู้เป็นมารดาจึงได้นำผ้าเช็ดหน้าของตนมาเช็ดใบหน้าอันเลอะฝุ่นสีแดงให้ลูกน้อยอย่างเบามือ

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เจ้าตัวเล็กกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างทำให้หญิงต่างวัยทั้งสองอดรู้สึกเอ็นดูในความน่ารักนี้ไม่ได้จึงทำให้พวกนางยิ้มออกมา

ยงเผยบังคับรถม้าจนกระทั่งมองเห็นชาวบ้านชายหนุ่มจึงได้หยุดรถม้าลง ชาวบ้านวัยกลางคนสามสี่คนต่างมองมาทางพวกเขาอย่างสงสัย

“คารวะท่านอาทั้งหลาย ข้าน้อยมีนามว่ายงเผยข้าขอรบกวนพวกท่านสักครู่เถิด คือครอบครัวของนายท่านอยากทราบว่าหากต้องการมาอยู่หมู่บ้านแห่งนี้จะต้องทำอย่างไรขอรับ” ยงเผยพูดจาสุภาพไม่ถือว่านอบน้อมจนเกินควร

ทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย ด้วยความกลัวว่าคนพวกนี้จะนำความเดือดร้อนมาให้ตนซึ่งเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา

แม้กระนั้นหนึ่งในกลุ่มของพวกเขาก็ยังแนะนำออกไปด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ “ท่านอาอย่าได้หวาดกลัวต่อข้าและครอบครัวเลยขอรับ พวกข้าก็เป็นเพียงคนเร่ร่อนธรรมดาเพียงเท่านั้น” น้ำเสียงเรียบเรื่อยประดุจน้ำไหลเอื่อยพูดขึ้นอย่างสุภาพ

ทำให้ชาวบ้านทั้งสี่ต่างรู้สึกดีขึ้น “หากว่าพวกเจ้าอยากมาอยู่ในหมู่บ้านของเรานั้น จำต้องไปติดต่อยังหัวหน้าหมู่บ้าน

เอาเป็นว่าพวกเราจะพาไปก็แล้วกัน แต่หมู่บ้านของเรานั้นจัดว่าเป็นหมู่บ้านแห้งแล้งมากกว่าที่อื่น

ไม่ทราบว่าท่านคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือที่จะพาครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่” เมื่อความหวาดกลัวเริ่มบรรเทาชาวบ้านคนนี้ก็ชวนชายหนุ่มผู้ยอมเดินจูงม้ามากับพวกตนตามตรง

“เรื่องนี้ข้าคงต้องลองขอสนทนากับหัวหน้าหมู่บ้านของพวกท่านก่อนขอรับ ขอบคุณท่านอาสำหรับความห่วงใยนี้” หยูเจียงยกยิ้มพูดกับเขาจากใจ

หนิงอันเมื่อได้ยินบทสนทนาทำให้นางคิดว่าเหตุใดถึงเป็นดั่งเช่นชาวบ้านคนนั้นกล่าว เนื่องจากกำแพงเมืองที่นางเห็นก่อนเข้ามานั้นช่างใหญ่โตแข็งแรงแล้วเหตุใดหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากเมืองไม่มากถึงได้ประสบปัญหาเช่นนี้กัน

ในขณะที่นางกำลังคิดสงสัยอยู่นั้นเสียงของชายคนเดิมก็ดังขัดขึ้นอีกครั้ง “เรือนด้านหน้านี่แหละเป็นของหัวหน้าหมู่บ้าน อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว ข้ามีนามว่าชงแซ่โป ไม่ทราบว่าเจ้ามีนามว่าอะไรอย่างนั้นเหรอ” ชายวัยกลางคนกล่าวแนะนำตัวในขณะเดินไปด้านหน้าเคียงข้างหยูเจียง

“ข้าน้อยมีนามว่าเจียง แซ่หยูขอรับ ท่านอาข้าขอถามท่านเพื่อเป็นความรู้สักหน่อยเถอะ ไม่ทราบว่าหมู่บ้านของท่านชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอันใดกันหรือขอรับ” หยูเจียงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาเพราะตั้งแต่ที่เขาเดินมากับคนกลุ่มนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความแห้งแล้งทุกหย่อมหญ้า

“ในเมื่อเจ้าจะมาอยู่ที่นี่แล้วข้าจะบอกตามตรงก็แล้วกัน เผื่อว่าเจ้าคิดจะเปลี่ยนใจย้ายไปอยู่ที่อื่นที่เจริญมากกว่านี้” คำพูดของโปชงได้ทำให้ผู้ที่เดินมาด้วยกันอีกสามสี่คนต่างพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง

“หมู่บ้านแห่งนี้ชื่อว่าไหลชุน แม้ว่าจะใกล้เมืองกว่าหมู่บ้านอื่น แต่ทว่าพื้นดินกลับแตกระแหงอย่างที่เจ้าเห็น น้ำในแม่น้ำก็มีไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก

ซึ่งเรื่องนี้พวกข้ากับหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ดังนั้นในตอนนี้หมู่บ้านแห่งนี้จึงเกือบจะกลายเป็นหมู่บ้านร้างเลยก็ว่าได้ เพราะเหลือผู้คนอาศัยอยู่เพียงสามสิบกว่าครัวเรือนเท่านั้น

อาชีพส่วนใหญ่ก็ขึ้นเขา ล่าสัตว์ เก็บผักป่า ขุดหาสมุนไพรไปขาย ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ายังเป็นโชคดีของคนในหมู่บ้านอยู่บ้าง หากไม่มีป่าอันอุดมสมบูรณ์แล้วละก็พวกเราคงได้อดตายไปนานแล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความเศร้า

เด็กหนุ่มวัยสิบหกอดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้จึงได้โพล่งออกมา “แล้วเหตุใดพวกท่านถึงยังอยู่ที่นี่กันล่ะขอรับ”

“จือฉี!” ยงเผยตวาดเขาเสียงดุทำให้เด็กหนุ่มหน้าจ๋อยคอหดลงถนัดตา ทำให้สหายอีกคนยิ้มขำให้กับท่าทางของเขา

“ไม่ใช่ว่าไม่อยากย้าย แต่ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางไม่น้อย อีกอย่างหากย้ายไปพวกข้าก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน

จำต้องอยู่ที่นี่กันตามประสา แม้ว่าที่นี่จะยากจนทว่าน้ำมิตรนั้นพวกข้ามีให้เต็มเปี่ยม หากว่าพวกเจ้าได้อยู่ที่นี่จริง ๆ ก็จะได้รู้เอง” ชายวัยเดียวกับโปชงเป็นคนตอบ

ในระหว่างการเดินมายังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้านนั้น ตลอดทางหากเจอชาวบ้าน ทุกคนต่างก็ทักทายปราศรัยกันเป็นอย่างดีตามที่ท่านอาคนนี้กล่าวไม่มีผิด แม้ว่าสายตาของคนเหล่านั้นจะแฝงไว้ด้วยความสงสัยระคนอยากรู้ก็ตาม

“ถึงแล้ว ข้าจะเรียกเขาให้ หัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่าไท่ แซ่อาน อายุอานามก็วัยเดียวกับข้านี่แหละ เจ้าเรียกเขาท่านอาเหมือนข้าก็ได้” โปชงกล่าวแนะ

จากนั้นเขาก็ตะโกนเรียกผู้อยู่ด้านในเสียงดังพร้อมกับยกมือตบบานประตูไม้ที่ใกล้จะชำรุดจนคนในครอบครัวหยูกลัวว่ามันจะหลุดติดมือหรือไม่ก็พังลงตรงหน้า

“มาแล้ว” เสียงทุ้มใหญ่ดังมาจากด้านในก่อนที่บานประตูไม้จะเปิดออก

หยูเจียงมองสำรวจตัวบ้านที่สร้างมาจากดินอย่าง หยาบ ๆ หลังคาทำเพียงมุงหญ้าแห้ง

รอบด้านไม่มีรั้วเช่นเดียวกับเรือนอีกหลายหลังที่พวกเขาเดินผ่านมา ‘นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้ต่างอยู่ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน’ หัวหน้าครอบครัวหยูคิด

เมื่อเปิดประตูบ้านของตนออกชายวัยกลางคนก็ผงะอย่างตกใจ พลางมองหน้าลูกบ้านที่เป็นสหายด้วยสีหน้ามึนงง

หยูเจียงไม่ต้องรอให้ใครแนะนำ ชายหนุ่มจึงได้ประสานมือคารวะชายวัยกลางคนขึ้นก่อนโดยที่คนของตนต่างก็ทำตาม

“ข้าน้อยมีนามว่าเจียงแซ่หยู ขอคารวะท่านอาหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ” ชายหนุ่มประสานมือกล่าวอย่างสุภาพไม่ได้ดู ต่ำต้อยจนเกินไป

“ไม่กล้า ๆ อย่าได้เกรงใจเลย ไม่ทราบว่านายท่านมาหาข้ามีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ” อานไท่รีบกล่าวอย่างเกรงใจเนื่องจากเขาคิดว่าคนกลุ่มนี้จะต้องเป็นผู้ร่ำรวยมาจากไหนอย่างแน่นอน ดังนั้นอย่าได้ทำให้ขุ่นเคืองจะดีกว่า

“ท่านอาเรียกข้าว่าเสี่ยวหยูหรือเสี่ยวเจียงเถอะ ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่ออยากจะสอบถามหากว่าข้าต้องการจะซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยว่าควรทำอย่างไร” ชายหนุ่มกล่าวตรงไปตรงมาสีหน้าไร้แววล้อเล่น

“ยะ..อยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ” อานไท่ย้อนถามสีหน้าตื่นตะลึงคล้ายไม่อยากเชื่อ ในใจนั้นก็คิดว่า ‘เจ้าไม่เห็นสภาพหมู่บ้านของข้าหรือถึงได้พูดเช่นนี้’

“ขอรับ” หยูเจียงพยักหน้าอีกครั้ง

ในขณะที่พวกเขากำลังยืนสนทนากันอยู่ น้ำเสียงเล็กเสียงหนึ่งก็เอ่ยทักชายวัยกลางคนทั้งหลายที่ยืนอยู่อย่างน่ารัก น่าชัง

“คารวะท่านลุงทุกท่านเจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นบุตรของท่านพ่อหยูเจียงมีนามว่าหนิงอัน ท่านลุงจะเรียกข้าว่าอันอันหรือเสี่ยวอันก็ได้” เด็กหญิงค้อมตัวคารวะคนรอบทิศด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง

การปรากฏตัวของเด็กหญิงตัวเล็กได้นำพาให้ผู้ใหญ่บ้านวัยกลางคนรวมถึงชายอีกสี่คนรู้สึกตื่นตะลึงเนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีลูกน้อยติดตามมาด้วย

“ข้าเสียมารยาทแล้ว เจ้ามีครอบครัวมาด้วยก็ไม่บอก แม่หนูตัวเล็กคงจะหนาวแย่ดูหน้าน้อย ๆ นั่นสิแดงก่ำไปหมดแล้ว มาขอเชิญเข้าบ้านก่อน เสี่ยวหม่านเจ้าอยู่ไหนรีบต้มน้ำนำมาให้แขกกินเร็วเข้า” หัวหน้าหมู่บ้านรีบเชื้อเชิญคนกลุ่มนี้อย่างกระตือรือร้น

ความคลางแคลงใจที่มีอยู่แต่เดิมหายไปสิ้น “นายท่านพวกข้าจะรออยู่ที่รถม้าขอรับ” พ่อบ้านรุ่ยกระซิบบอกผู้เป็นนายเนื่องจากบ้านดินด้านหน้านั้นค่อนข้างหลังเล็กคะเนจากสายตาน่าจะมีเพียงสามห้องนอนหนึ่งห้องโถง ไม่น่าจะรับคนของตนได้หมด

“อืม” หยูเจียงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนที่เขาจะเดินไปด้านข้างตัวรถม้าเพื่อรับมารดาและภรรยาสาว

หลังส่งมารดาให้กวนมามาแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปพยุงร่างของภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ด้วยความเป็นห่วง

เนื่องจากใบหน้าของนางค่อนข้างซีด “พ่อหนุ่มภรรยาของเจ้าป่วยอย่างนั้นเหรอ” เสียงอันเป็นกังวลดังมาจากหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง

“คารวะท่านอา ภรรยาของข้านางเพิ่งตั้งครรภ์ได้สองเดือนขอรับ อีกทั้งยังต้องเดินทางไกลจึงทำให้นางค่อนข้างอ่อนเพลีย” หยูเจียงหาได้ปิดบังในเรื่องนี้

“โอ้! ตายแล้วถ้าอย่างนั้นเจ้ารีบพานางมานั่งเถอะ ว่าแต่มียาบำรุงครรภ์มาด้วยหรือไม่ ข้าจะให้สะใภ้ใหญ่ไปต้มนำมาให้นางดื่ม คนกำลังท้องกำลังไส้เดินทางไกลยิ่งต้องบำรุงดูแลให้ดี” ลี่หม่านรีบเข้าไปช่วยพยุงนางหยวนอีกแรง

ครอบครัวหยูทั้งสี่ต่างมองหน้ากันก็มีความยินดีในแววตา อีกทั้งยังคิดเหมือนกัน ‘แม้ว่าหมู่บ้านจะยากจนแล้วอย่างไร ขอแค่ผู้คนเป็นมิตรนี่สิที่สำคัญ แต่เรื่องนี้ก็คงต้องรอดูกันไปอีกสักพัก’

หญิงต่างวัยทั้งสามของครอบครัวหยูรวมถึงกวนมามาผู้ที่จัดว่าอาวุโสต่างได้รับการดูแลต้อนรับเป็นอย่างดีจากหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้

“พ่อหนุ่มข้าไม่ขัดเจ้าหรอกนะ หากอยากจะตั้งรกรากที่นี่ ทว่าเจ้าก็เห็นสภาพความเป็นอยู่และรู้เรื่องราวของคนในหมู่บ้านแล้วเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรล่ะ” อานไท่อดถามออกมาไม่ได้อีกครั้ง

“ข้าตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ขอรับ ไม่ทราบว่าท่านอาพอจะมีที่ดินตรงไหนขายให้ข้าได้รวมถึงที่นาด้วย” หยูเจียงตัดสินใจแล้วจึงได้ตอบอย่างหนักแน่น

“ที่ดินสร้างเรือนนั้นมีหลายแปลงทีเดียว ทั้งที่อยู่ใกล้พวกข้าและห่างออกไปใกล้ชายป่าเจ้าอยากจะไปดูก่อนหรือไม่ ส่วนที่ดินเพาะปลูกนั้นอยู่ใกล้แม่น้ำห่างออกมาครึ่งลี้มีอยู่สองร้อยหมู่ราคาที่ดินตกหมู่ละหนึ่งร้อยอีแปะรวมค่าดำเนินการของทางการนะ ส่วนที่ดินสร้างบ้านนั้นข้าจะพาเจ้าไปดูก่อน

หากถูกใจตรงไหนเราก็ค่อยมาเจรจากัน รับรองว่าขายให้เจ้าตามราคาที่ทางการกำหนดไม่มีการเอาเปรียบอย่างแน่นอน” อานไท่บอกชายหนุ่มอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทางสีหน้าแสดงความจริงใจ

“ท่านอาไม่ต้องจริงจังถึงเพียงนั้นก็ได้ขอรับ” หยูเจียงกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ

ทำให้บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลายเพราะสำหรับชาวบ้านธรรมดานั้นราคาที่ดินเพาะปลูกค่อนข้างสูงทีเดียว หากเทียบกับค่าแรงที่ได้รับเพียงห้าสิบอีแปะต่อเดือนอีกทั้งยังไม่ค่อยมีใครว่าจ้างอีกต่างหาก

ในขณะที่หยูเจียงขยับตัวลุกขึ้น หนิงอันก็เอ่ยเรียกพ่อเสียงใสแววตาเว้าวอน “ข้าขอไปด้วยนะเจ้าคะ” เด็กหญิงสบสายตากับบิดากะพริบตาปริบ ๆ

“ตามใจเจ้า” หยูเจียงยากจะหักใจปฏิเสธบุตรตัวน้อยทำให้เจ้าตัวเล็กพุ่งตัวดุจลูกธนูเข้าสู่อ้อมกอดของบิดาทันที

“การมีบุตรสาวก็ดีนะเจ้าคะ ข้าอยากมีสักคนจัง” หญิงสาวผู้หนึ่งดูจากอายุน่าจะน้อยกว่าหยวนฟานกล่าวเสียงหม่น

“เจ้าอย่าได้คิดมากข้าว่าอีกไม่นานเจ้าก็มี เพราะใน ตอนนี้หมู่บ้านเรามีหยวนซื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว อีกทั้งนางยังตั้งครรภ์อีกด้วยแสดงว่านี่เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ว่าหมู่บ้านของเรานั้นจะต้องมีคนให้กำเนิดบุตรตามมาอีกเป็นแน่” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่สามีเอ่ยปลอบลูกสะใภ้คนที่สองอย่างใจดี

“น้องสาว ไม่ทราบว่าที่เจ้ากล่าวออกมานั้นหมายความว่าอย่างไรกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าหยูเอ่ยถามหญิงวัยกลางคนผู้อายุน้อยกว่าด้วยความใคร่รู้

“เรื่องมันเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าหมู่บ้านของเราเมื่อห้าปีก่อนเกิดอาเพศใดขึ้นก็ไม่ทราบ

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหญิงสาวที่แต่งเข้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้ก็ ไร้บุตร ทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ต่างก็เป็นทุกข์เพราะกลัวจะไร้ซึ่งทายาทสืบสกุล

ทางครอบครัวของข้าเองถือว่ายังโชคดีที่อย่างน้อยก็มีหลานชายคนโตมาหนึ่งคน เอาไว้เมื่อเขากลับมากับบุตรชายข้าจะแนะนำให้พี่สาวได้รู้จัก” หญิงวัยกลางพูดพร้อมกับถอนใจ

หญิงชราบ้านหยูกับลูกสะใภ้ได้แต่รู้สึกเห็นใจชาวบ้านที่นี่ไม่น้อย ทว่าพวกนางก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนช่วย เนื่องจากเรื่องของบุตรนั้นเป็นเรื่องของโชคชะตาทั้งสิ้น

ทางด้านหนิงอันผู้กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าของบิดาบนม้าตัวใหญ่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเนื่องจากชาติก่อนนางไม่เคยขี่ม้ามาก่อน

“ดูท่าทางบุตรของเจ้าจะชอบการขี่ม้านะ” อานไท่ผู้อยู่บนหลังม้าเช่นเดียวกันเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดู

หมู่บ้านแห่งนี้มีเขาบ้านเดียวที่มีม้า แต่กว่าจะได้ม้าตัวนี้มาก็ใช้เงินไปไม่น้อยทีเดียวแต่เพื่อความสะดวกในการเข้าเมืองทำให้ต้องตัดใจซื้อ

อานไท่พาคนครอบครัวหยูที่ตามมาด้วยอีกสองคนคือพ่อบ้านรุ่ยกับยงเผยขี่ม้าช้า ๆ มายังที่ดินแปลงแรกซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน

ที่ดินแปลงนี้มีเรือนร้างในสภาพไม้ผุพังอยู่หนึ่งหลังด้านข้างทั้งสองด้านขนาบด้วยบ้านไม้ในสภาพดีกว่าเพียงเล็กน้อย

“เสี่ยวไท่ เจ้าพาใครมาอย่างนั้นเหรอ” เสียงแหบของชายชราผู้กำลังนั่งสูบยาอยู่หน้าบ้านถามหัวหน้าหมู่บ้านเสียงดัง

อานไท่ทำเพียงยิ้มตอบให้เขาก่อนตอบไปตามความจริง “พานายท่านผู้นี้มาดูที่ดิน ว่าแต่วันนี้ผู้เฒ่าไม่เข้าป่าหรือขอรับ” พร้อมกับย้อนถามชายชราออกมาอย่างสงสัย

ชายชราหลังได้ยินคำตอบของหัวหน้าหมู่บ้านเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปจากยิ้มแย้มกลายเป็นบึ้งตึง และหาได้ตอบคำถามของอานไท่ไม่ทว่าเขากลับพูดอีกเรื่องออกมาแทน

“อานไท่! นี่เจ้ากล้าหลอกให้คนมาซื้อที่ดินอย่างนั้นเหรอ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนพ่อผู้จากไปเร็ว ไม่อย่างนั้นหมู่บ้าน ไหลชุนของเราจะเอาหน้าไปไว้ไหน” ชายชราคนนั้นพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับลุกเดินเข้ามาหาหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเอาเรื่อง

“ผู้เฒ่าใจเย็น ๆ ขอรับ ข้าไม่ได้หลอกใครนะ ไม่เชื่อลองถามพวกเขาได้เลย” ชายวัยกลางคนรีบปฏิเสธจนลิ้นพันกัน

เสียงเอะอะได้ทำให้คนในบ้านทั้งสองฝั่งวิ่งออกจากบ้านของตนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ชายชราผู้ยังมีไม้อยู่ในมือหลังได้ยินคำตอบของลูกอดีตสหายจึงได้หันไปถามหยูเจียงที่ตอนนี้ได้ลงมาจากหลังม้าพร้อมกับบุตรสาวตัวน้อย หนิงอันได้แจกยิ้มอันไร้เดียงสาของตนออกไปจนทั่ว

ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเด็กหญิงต่างพากันยิ้มตามด้วยความเอ็นดู “ท่านลุงฟังก่อนนะขอรับ ท่านอาไท่ไม่ได้หลอกข้า เนื่องจากข้ากับครอบครัวต้องการอยู่ที่นี่จึงได้มาดูที่ทางเพื่อจะสร้างบ้าน” หยูเจียงอธิบายเสียงเรียบเรื่อยอย่างใจเย็น

“พ่อหนุ่มอย่าหาว่าข้ายุ่งเรื่องของเจ้าเลยนะ เนื่องจากหมู่บ้านนี่นะ....” ชายชราทิ้งไม้ในมือกล่าวเรื่องของในหมู่บ้านออกมาด้วยความหวังดี การที่เขาพูดแสดงความจริงใจออกมาแบบนี้ยิ่งทำให้การตัดสินใจของหยูเจียงแน่วแน่มากขึ้น

ส่วนหนิงอันตอนนี้ได้กลายเป็นหลานรักของคนรอบข้างไปแล้ว “เสี่ยวอันเจ้าหนาวหรือไม่ หิวไหมยายมีมันเทศเผา” หญิงชราคนหนึ่งผู้ซึ่งรับรู้เรื่องราวของครอบครัวนี้เรียกเด็กน้อยพร้อมยื่นมันเผาให้อย่างใจดี

“อันอันตัวน้อยเจ้าช่างน่ารักเสียจริง ข้ามีถุงมือเล็กขนาดเจ้าอยู่พอดีข้าจะไปหยิบมาให้นะ” หญิงสาวผู้ซึ่งแต่งงานมานานสะใภ้ของแม่เฒ่าพูดขึ้นก่อนที่นางจะหายลับเข้าไปในบ้าน

หนิงอันรับรู้ได้ถึงความจริงใจอันแสนบริสุทธิ์ของคนเหล่านี้เป็นอย่างมากทำให้นางอดน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้ ‘ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาช่างลำบากแต่ก็ไม่ขาดซึ่งน้ำใจ’

เด็กหญิงแม้อยากจะปฏิเสธความมีน้ำใจของพวกเขา ทว่าเมื่อมองสบตาแห่งความจริงใจแล้วทำให้นางไม่กล้าปริปากจึงได้แต่ย่อตัวขอบคุณพวกเขาอย่างน่ารัก

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 56

    เช่นเดียวกับฉงซานในตอนนี้ก็ได้หายจากอาการบาดเจ็บแล้วเช่นกัน ส่วนผึ้งตัวน้อยผู้มีฤทธิ์มากนะหรือ ตอนนี้พวกมันต่างอยู่ในสภาวะเซื่องซึมท่ามกลางความเงียบจู่ ๆ เสียงของกุยเฮยก็ดังขึ้นในหัวของอันอัน ‘ยินดีด้วยเด็กน้อยต่อไปนี้เจ้าได้มีผึ้งฝูงใหญ่เป็นสหายเพิ่ม’ คำพูดของเต่าตัวน้อยทำให้หนิงอันหันหลังกลับไปมอ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 55

    “พี่สาม พี่สี่ พี่มู่ตานพวกท่านจะไปกับข้าหรือไม่” หลังคุยกับกุยเฮยเรียบร้อยอันอันจึงได้หันหลังกลับไปถามพี่ทั้งสามที่กำลังดูหลุมดักปลาอย่างสนใจ “ไปไหนอย่างนั้นหรือ” ยงฮ่าวเอ่ยถามสีหน้าแสดงความสงสัย“ฉงซานจะพาเราไปหาของดีเจ้าค่ะ” อันอันตอบจากนั้นจึงเห็นผู้เป็นพี่ทั้งสามพยักหน้าตกลงครั้นแล้วการเดินทา

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 54

    มู่ตานรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เป็นนายรวมถึงเด็กทั้งสองใจดีกับตนไม่คิดว่านางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ หลังจากการฝึกของครึ่งวันจบลง เด็กหญิงก็ชวนบรรดา พี่ ๆ เดินขึ้นเขาเพื่อไปดูโรงงานผลิตเกลือที่ตอนนี้มีชาวบ้านบางส่วนได้ขึ้นมาทำงานบ้างแล้ว “สวัสดีท่านอาทั้งหลาย” เด็กทั้งสี่กล

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 53

    ยามเหม่าของวันต่อมา อันอันผู้กำลังนอนหลับสบายก็ถูกให้ปลุกด้วยเสียงของคู่หูเต่าตัวน้อยตามเดิม ‘เด็กน้อยตื่น หากไม่ตื่นข้าจะกัดหูของเจ้านะ’ เสียงเล็กคล้ายเด็กของกุยเฮยข่มขู่ ‘อย่านะ! ข้าตื่นแล้ว กุยเฮยนับวันเจ้ายิ่งโหดร้ายกับข้ายิ่ง’ อันอันสะดุ้งตื่นรีบยกมือปิดหูกล่าวตัดพ้อ ‘ข้

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 52

    “หากเป็นแบบนี้ทั้งเจ้าและท่านเจ้าเมืองคนใหม่คงจะลำบากไม่น้อยทีเดียว” แม่ผู้ชราของชายหนุ่มกล่าวออกมาสีหน้าแสดงความกังวล “ท่านแม่อย่าได้ห่วง แม้ว่างานจะหนักเพียงใด หากว่าผู้คนร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกันย่อมผ่านไปได้ เท่าที่ข้ากับท่านเจ้าเมืองได้พูดคุยกับชาวเมืองในวันนี้ทุกคนก็พร้อมยินดีให้ความ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 51

    ตกเย็นภายในวันเดียวกัน เมื่ออันอันได้กลับมาถึงเรือนของอานไท่เด็กหญิงก็รีบก้าวขาสั้น ๆ ของตนไปยังหลังบ้านทันที หนิงอันมองซ้ายแลขวาเพื่อหาอะไรบางอย่างแต่แล้ว“เด็กน้อยเจ้ามองหาอะไร” กุยเฮยเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย “หากุ้งนะสิ ข้ามัวแต่ยุ่ง ๆ เลยลืมของอร่อยไปเลย” อันอันพึมพำโดยไม่ได้สื่อสารทางความคิดออกไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status