เช้าวันรุ่งขึ้นคณะการเดินทางของครอบครัวหยูก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงศาลาเอ้อเทียน ยงเผยกับศิษย์เอกทั้งสองรวมถึงหยูเจียงก็มองเห็นเพียงความรกร้างว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่องรอยใด ๆ ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายใดขึ้น
ย้อนกลับไปกลางดึกของเมื่อคืน หลังจากพระอาทิตย์ลาลับแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาแทนที่ คนของทางการร่วมกับคนคุ้มกันของคนสกุลติงกลุ่มหนึ่งต่างโอบล้อมจัดการกลุ่มโจรร่วมร้อย
โดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้รู้ตัว เสียงฟาดฟันประหัต ประหารกันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของราตรีกาล ครั้นแล้วโจรกลุ่มใหญ่ก็ตกเป็นผู้แพ้ให้กับคนของทางการและกลุ่มคนคุ้มกัน
แม้ทางฝ่ายผู้บุกรุกจะมีบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่เหมือนกับเหล่าโจรโฉดที่เหล่าพี่น้องของมันตกตายกันหลายคน หลังจากจัดการกับกลุ่มคนชั่วเรียบร้อยหัวหน้าคนของทางการก็จัดการเก็บกวาดจนไม่มีผู้ใดคิดว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายขึ้น
กลับมายังปัจจุบัน หลังครอบครัวหยูเดินทางผ่านศาลาเอ้อเทียนจุดนี้มาแล้ว พวกเขากำลังจอดรถม้าตรงบริเวณหน้าทางแยกแห่งหนึ่ง
“ท่านแม่ บ้านเดิมของท่านพ่อไปทางไหนล่ะขอรับ” หยูเจียงเอ่ยถามมารดาออกมาอย่างจนใจ เนื่องจากแม้พวกเขาจะรู้ว่าไปเมืองอะไรแต่เหตุใดจู่ ๆ ทำไมถึงมีทางแยกโผล่มาจากไหนอีกหนึ่งทาง
หนิงอันผู้ไม่รู้ว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้นางก็ถึงกับเอามือกุมขมับ ‘เวรแล้วยัยอันอัน ซวยของแท้ในนิยายของฉันไม่มีเรื่องแบบนี้ซะด้วย ทำยังไงดี’ เด็กหญิงคิดอย่างว้าวุ่นใจ
“แม่ก็จำไม่ได้เสียด้วยสิ ว่าแต่ท่านยงรู้หรือไม่ว่าเมืองซานไห่ไปทางไหน” หญิงชรากล่าวเสียงเนิบน้ำเสียงแสดงความวิตก ดังนั้นนางจึงได้ตัดสินใจหันมาถามชายหนุ่มผู้บังคับรถม้า
“ข้าจำได้ว่าเป็นทางซ้าย แต่ที่ไม่รู้ก็คือจะเป็นทางไปหมู่บ้านเดิมของพวกท่านหรือไม่” ยงเผยตอบตามจริงเพราะหมู่บ้านของครอบครัวหยูเขาเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
เมื่อสองผู้นำของครอบครัวหยูได้ยินคำตอบเช่นนี้ต่างก็พากันหันไปมองบุตร/หลานสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งก้มหัวคอตก อันอันผู้ตกอยู่ในสภาวะสติแตกกำลังคิดรวบรวมสมาธิของตนเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่เช่นกัน
“ท่านยงพวกเราขอปรึกษากันสักครู่ได้หรือไม่ว่าควรจะไปทางไหน” หยูเจียงคิดว่าจะลองถามบุตรีจึงได้กล่าวออกมาเช่นนี้กับคนนอก
ยงเผยทำเพียงพยักหน้า จากนั้นเขาก็เดินนำศิษย์ทั้งสองของตนเข้าป่าเพื่อหวังจะล่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยติดมือกลับมาทำเป็นมื้อเย็น
“ลูกรัก ท่านปู่ได้บอกเส้นทางแก่เจ้าหรือไม่” หยูเจียงเอ่ยถามบุตรสาวเข้าประเด็น
หนิงอันผู้กำลังมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าได้แต่ก้มหน้าใช้ความคิดอย่างหนัก ‘นี่แหละตรงตามคำกล่าวที่ว่าการโกหกหนึ่งครั้งจำต้องโกหกตลอดไป ท่านปู่ที่ว่ามีจริงซะที่ไหนกัน เฮ้อ!’ อันอันได้แต่ถอนใจคิดอย่างกลัดกลุ้ม
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเอาแบบนี้แหละ “นึกออกแล้ว!” เด็กหญิงโพล่งออกมาเสียงดัง
“นึกอะไรออกหรือเจ้า” หยวนฟานเอ่ยถามบุตรสาวพลางเอามือลูบอกของตนป้อย ๆ
เด็กหญิงตัวน้อยส่งสายตาลุแก่โทษไปยังมารดาที่ตัวเองเผลอส่งเสียงดังจนทำให้นางตกใจ
“แม่ไม่เป็นอันใดหรอกเจ้ารีบพูดออกมาเถอะ” มารดาของเจ้าตัวน้อยยกมือลูบหัวเล็กของบุตรสาวเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ข้าขอถามได้หรือไม่พวกเราไม่ได้กลับมายังบ้านเดิมของท่านปู่นานเท่าไหร่แล้วเจ้าคะ” เจ้าตัวน้อยพูดขึ้นทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความจริงจังเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้
“นับตั้งแต่วันที่ข้าถูกขับไล่ออกมาจากบ้านหลังนั้น ตั้งแต่ปู่ของเจ้าเสียไปก็น่าจะยี่สิบกว่าปีได้แล้วมั้ง ข้าจำได้ว่าในตอนนั้นพาพ่อของเจ้าเร่ร่อนไปทั่ว รับจ้างทำงานสารพัดโชคดีที่เขาได้อาจารย์ดีช่วยสั่งสอนวิชาให้ แต่ว่าท่านผู้นั้นก็เดินทางหายตัวไปอย่างลึกลับ
หลังจากที่พ่อของเจ้าได้เข้าสำนักศึกษา นานป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านจะเป็นหรือตาย” หญิงชราเล่าความหลังออกมาด้วยดวงตาเปียกชื้น
“ทะ...ท่านย่าว่าอะไรนะเจ้าคะ ถูกไล่ออกมาอย่างนั้นเหรอ” หนิงอันเอ่ยขึ้นอย่างตกใจในขณะที่ย่าของตนกำลังยกชายเสื้อซับน้ำตา
หญิงชราพยักหน้ารับสีหน้าหม่นเศร้า หนิงอันมองไปยังใบหน้าของบิดาก็เห็นว่าดวงตาของเขาก็แดงเรื่อเช่นเดียวกัน จากนั้นเธอก็มีสีหน้าราวไก่ต้มสุก
“หากเป็นอย่างที่ท่านว่า ข้าคิดว่าที่ท่านปู่ให้เรากลับมายังชนบทอาจจะไม่ได้ต้องการให้เรากลับไปอยู่ร่วมกับคนพวกนั้น ดังนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปอยู่บ้านเดิมของท่านก็ได้ถูกไหมเจ้าคะ” หนิงอันแสดงความคิดเห็นหลังจากไตร่ตรองดีแล้ว
“หลานรักเจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่ เดี๋ยวบอกว่าปู่ของเจ้าให้กลับไปบ้านเดิม สรุปปู่เจ้าเลอะเลือนอย่างนั้นเหรอ” หญิงชราเอ่ยถามหลานสาวสีหน้าไม่เข้าใจ
“ข้าคิดว่าบางทีท่านปู่อาจจะไม่รู้เรื่องว่าท่านย่ากับท่านพ่อโดนไล่ออกมาจึงได้บอกเช่นนั้น แต่ในตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วเราก็มาเลือกทางเดินกันเองเถอะเจ้าค่ะ” หนิงอันแอบยกมือปาดเหงื่อ (แถค่ะงานนี้ต้องแถอย่างเดียวได้โปรดเชื่อข้าเถอะ)
แม่ชรากับลูกชายมองหน้ากันอยู่สักพักทั้งสองจึงได้พยักหน้า “พ่อกับย่าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า” หยูเจียงพยักหน้ากล่าวตอบ
อันอันลอบถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อปัญหาคลี่คลายคนในครอบครัวต่างก็พากันหุงหาอาหาร ในขณะที่กลิ่นของข้าวลอยหอมอยู่ในอากาศกลุ่มของยงเผยก็กลับมา
“โอ้ ท่านอาได้กระต่ายกลับมาด้วยมีไก่ป่าอีก ฝีมือของท่านช่างเยี่ยมยอดยิ่ง” หยูอันมองสัตว์ที่ไร้ลมหายใจในมือของชายหนุ่มหนวดรกยกนิ้วกล่าวประจบ
“เจ้าไม่กลัว” ยงเผยย้อนถามเด็กหญิงสีหน้าแสดงความแปลกใจ
“เหตุใดข้าต้องกลัวล่ะเจ้าคะ” หนิงอันย้อนสีหน้าฉงนมองกระต่ายที่เลือดสีแดงฉานสลับกับใบหน้าของคนถามไปมา
จู่ ๆ ชายหนุ่มเจ้าของกระต่ายก็เปลี่ยนเรื่องทำให้หนิงอันเบิกตากว้างมองเขาคล้ายเห็นผี “เจ้าตัวเล็กอยากฝึกวรยุทธไหม”
ยงเผยมองใบหน้าเล็กของเด็กน้อยคนนี้แล้วนึกอยากจะเขกหัวนางเสียจริง “ว่ายังไง เหตุใดเจ้าถึงตกใจเช่นนี้” เขาข่มกลั้นอารมณ์ถามเสียงห้วน
“ท่านอา ท่านคงไม่ได้ล้อข้าเล่นหรอกใช่ไหม” หนิงอันถามชายหนุ่มพลางกลืนน้ำลายลงคอไปด้วย
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะในนิยายต้นฉบับของตนนั้นยงเผยผู้นี้เป็นเพียงคนต่อรถม้าธรรมดาแล้วทำไมตอนนี้ถึงได้
“เด็กน้อยเจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียแล้ว อาจารย์ของพวกเราเป็นผู้เยี่ยมยุทธคนหนึ่งในยุทธภพเชียวนะ วิชาของข้าเป็นเขาสอนให้ แม้จะยังไม่เก่งกาจก็เถอะ” จือฉีได้ทีคุยโว
‘เรื่องนี้ข้าก็รู้อยู่หรอกแต่ไม่ใช่ว่าอาจารย์ของท่านเป็นจอมยุทธเดียวดายหรอกหรือ แต่เอ๊ะ...เหตุใดท่านก็ไม่เหมือนที่ข้าบรรยายไว้ด้วยล่ะ หมดกันจอมยุทธสุดคูลมาดนิ่ง’ หนิงอันโอดครวญแต่ไร้ซึ่งน้ำตา
“เจ้าเก็บไปคิดก่อนก็ได้ เพราะข้าเห็นว่าเจ้ามีความกล้า ฉลาดเฉลียวผิดกับเด็กทั่วไปก็เลยกล่าวชวน อีกอย่างตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้เป็นลูกของขุนนางแล้วอย่างน้อยการมีวรยุทธติดตัวหากถึงเวลาคับขันเจ้าก็ยังสามารถเอาตัวรอดได้” ยงเผยกล่าวแสดงความจริงใจออกมายืดยาว
หนิงอันคิดตามคำพูดของเขานางก็เริ่มไขว้เขวมาบ้างแล้วเหมือนกัน ‘จะฝึกหรือไม่ฝึกดีนะ’ นางถามตัวเองในใจ
ดังนั้นหลังจากมื้อเย็นจบลงเจ้าตัวเล็กก็มีสีหน้าครุ่นคิดจนกระทั่งเข้านอน ภายในฝันของเจ้าตัว หนิงอันตัวน้อยกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนซึ่งนางไม่รู้ว่าคือที่ไหน
เสียงข่มขู่ของสัตว์ชนิดหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง เด็กหญิงหันกลับไปมองก็เห็นหมาป่าตัวเขื่องสีดำดวงตาแดงก่ำ มันกำลังแยกเขี้ยวขาววาววับน้ำลายไหลราวกับทำนบแตก
“เจ้าหมาบ้าไปนะข้าไม่ใช่อาหารของเจ้าสักหน่อย อย่านะ! อย่ามากินข้า มะ....ไม่” ในฝันนั้นหนิงอันตะโกนพร้อมกับวิ่งหนี แต่แล้วนางก็หกล้มทำให้หมาป่าตัวร้ายกระโจนเข้ามาหาตน
เฮือก!! หนิงอันสะดุ้งตกใจตื่นก็พบว่าในตอนนี้มีนางอยู่คนเดียว ก่อนที่จะมีเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดดังอยู่นอกรถม้า
“ลูกรักหนีไป” เสียงของผู้เป็นแม่ตะโกนก้องพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดตามมาทำให้หนิงอันหวาดกลัวจนตัวสั่น
“ข้าบอกแล้วให้เจ้าฝึกวรยุทธก็ไม่เชื่อ หากเจ้ามีฝีมือคนในครอบครัวคงไม่ตกตายแบบนี้หรอก ฮ่า ๆ” เสียงนั้นเหมือนเสียงของปีศาจตามมาหลอกหลอนนาง
เด็กหญิงจึงได้แต่ยกมือปิดหูของตนแน่นกรีดร้องออกมาจนสุดเสียง “ลูกรัก! ลืมตาสิเจ้าเป็นอะไร” หยวนฟานพยายามปลุกลูกน้อยให้ลืมตาตื่นด้วยใจอันร้อนรุ่ม
“หลานย่าตื่นเร็วเข้า พวกเราอยู่กับเจ้าที่นี่ย่อมไม่มีใครทำอันตรายเจ้าได้ลืมตาเถอะ” หญิงชรานำผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปยังหน้าผากของหลานสาวกล่าวอย่างเป็นทุกข์
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” หยูเจียงได้แต่ส่งเสียงกระวนกระวายใจอยู่ภายนอกตัวรถม้าถามไถ่ด้วยความกังวล
ในความฝันซ้อนฝันของเจ้าตัวเด็กหญิงได้ยินกระแสเสียงอันอบอุ่นความเป็นห่วงอันคุ้นเคย ในที่สุดคนตัวเล็กก็ลืมตา
“ท่านแม่ ท่านย่า” หนิงอันโอบกอดแม่ของตนแน่นร้องไห้โฮเสียงดัง “ลูกรักเจ้าเพียงฝันร้ายอย่าร้องเลย ใจแม่จะขาด” หยวนฟานกอดตอบลูกสาวในขณะเดียวกันก็กล่าวปลอบลูกน้อยไปด้วย เช่นเดียวกับผู้เป็นย่าที่ยกมือลูบหลังของหลานตัวเล็กอย่างเป็นห่วง
หยูเจียงผู้อยากจะขึ้นไปโอบกอดลูกสาวใจแทบขาดได้แต่ยืนรอด้วยความอดทน จนเมื่อเขาได้ยินเสียงของบุตรสาวอันเป็นที่รักชายหนุ่มจึงได้วางใจของตนลงในที่สุด
เช้าวันต่อมา หนิงอันผู้มีดวงตาคล้ายมีแพนด้าจึงได้เดินโงนเงนซ้ายขวามาหาผู้ที่ตนนึกชังที่เป็นต้นเหตุทำให้นางฝันร้าย
“ท่านอา ข้าตกลงจะฝึกวรยุทธ์กับท่าน แต่ท่านต้องรับปากข้าว่าข้าคนนี้จะต้องเก่งจนสามารถปกป้องคนในครอบครัวได้ ไม่เช่นนั้นท่านอย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบ” เด็กหญิงวัยสี่ขวบกล่าวอย่างโอหัง
“จะ....เจ้ากล้าสบประมาทข้าอย่างนั้นเหรอ ได้! ข้าคนนี้รับปากหากเจ้าไม่เก่งข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้าเลย แต่เจ้าอย่ามาร้องขอความเมตตาทีหลังก็แล้วกันหึหึ” ยงเผยหัวเราะในลำคอ สีหน้าแฝงความเจ้าเล่ห์
หากหนิงอันรู้ว่าคำพูดของตนทำให้นางเข้าสู่ภาวะลำบากในภายหลังนางคงจะไม่กล่าววาจาเช่นนั้นออกไปอย่างแน่นอน
ท่าทางของชายหนุ่มหนวดรกได้ทำให้หนิงอันรวมถึงศิษย์ทั้งสองของเขามีสีหน้าหวาดหวั่นขนอ่อนตั้งชัน
หลังกินมื้อเช้าเรียบร้อยการเดินทางของครอบครัวหยูกับการเริ่มชีวิตใหม่จึงได้เริ่มขึ้น ยงเผยพาพวกเขามายังเมืองซานไห่ แม้เมืองนี้จะไม่ใหญ่โตเหมือนเมืองหลวงแต่ก็ไม่เล็ก
“ท่านจะอยู่ในเมืองหรือจะไปอยู่นอกเมืองดี” ยงเผยเอ่ยถามหยูเจียงในระหว่างที่รอทหารตรวจคนเข้าเมือง
หยูเจียงรู้สึกลังเล แม้ในเมืองจะค่อนข้างสะดวกแต่สำหรับครอบครัวของตนที่ต้องเริ่มตั้งถิ่นฐานใหม่ อีกทั้งคนก็ยังเยอะไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่เนื่องจากค่าใช้จ่ายน่าจะสูง
“ท่านเผยทราบหรือไม่ว่าหมู่บ้านใดอยู่ใกล้เมืองมากที่สุดพวกเราก็ไปอยู่ที่นั่นกันเถอะ” หยูเจียงตัดสินใจซึ่งหนิงอันเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของบิดา
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบแต่ข้าคิดว่าทหารหรือชาวบ้านน่าจะทราบ ท่านลองไปถามเขาดูดีหรือไม่” ยงเผยกล่าวตรงไปตรงมา
“นายท่านเรื่องนี้ให้บ่าวจัดการเองขอรับ” พ่อบ้านรุ่ยเป็นผู้กล่าวอาสาหลังจากได้ยินบทสนทนานี้
ครั้นแล้วชายวัยกลางคนก็เดินกลับมาหลังจากเดินไปไม่นาน “หมู่บ้านไหลชุนขอรับอยู่ห่างจากตัวเมืองไปเพียงสิบห้าลี้”
“ท่านเผย ข้าคิดว่าพวกเราลองไปหมู่บ้านไหลชุนกันดูเถอะ” หยูเจียงตัดสินใจ
ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาทำการบันทึกชื่อแซ่ผ่านประตูเมืองแห่งนี้เรียบร้อย ยงเผยก็พาพวกเขาเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านไหลชุนตามคำบอกของชาวบ้านทันที
หนิงอันได้แต่ครุ่นคิดในระหว่างการเดินทางเพราะในบทของตัวประกอบที่ตนเขียนนั้นมีบรรยายถึงเมืองซานไห่เอาไว้แค่ไม่กี่หน้า เนื่องจากเธอได้ให้ยงเผยพาพระเอกมาที่เมืองแห่งนี้
และได้เขียนเอาไว้ว่าให้คนผู้นี้พบกับบุคคลสำคัญที่ตามหา ดังนั้นจึงทำให้พระเอกได้ช่วยเหลือเขาไว้อย่างไม่ตั้งใจ
มาบัดนี้เมืองซานไห่ได้อยู่ต่อหน้าของนางแล้ว ‘ไม่คิดว่าเมืองแห่งนี้จะดูยิ่งใหญ่และสวยงามมากขนาดนี้’ หนิงอันพึมพำเหตุที่ในตอนนั้นนางไม่ได้บอกเรื่องเมืองแห่งนี้ออกไปก็เพราะนางอยู่ในร่างเด็ก
อีกทั้งยังอยู่แต่ในจวน และนางไม่อยากจะแอบอ้างท่านปู่กำมะลออีกหากไม่จำเป็น ส่วนเรื่องของท่านย่านั้นเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะนางไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
‘สรุปในตอนนี้ข้ายังอยู่ในนิยายของตนไหม หรือว่าไม่กัน’ หนิงอันคิดอย่างสับสน