Share

บทที่ 8

อันอันหยุดน้ำตาของตัวเองลงอย่างฉับพลัน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังพลางตะโกนถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“เจ้าเป็นใครคนหรือผี” ใจเต้นตุบตับในอกข้างซ้ายรัวเหมือนกลองศึกก็ไม่ปาน

“เจ้าสิผี ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผีนั่นแหละ ข้าคือผู้รับใช้ของเทพเสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่เลยนะเจ้าเด็กมนุษย์ตัวเหม็น” น้ำเสียงอันหยิ่งผยองโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน

อันอันคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ทำให้นางผู้ปากไวอดที่จะย้อนออกไปไม่ได้เช่นกัน

“แหม ๆ ท่านเทพผู้รับใช้เสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่หากท่านเก่งกาจจริงดั่งที่ว่าเห็นทีคงไม่ต้องร้องขอให้เด็กอย่างข้าช่วยหรอกกระมั้ง” สิ้นคำของเด็กหญิง

สัตว์เทพก็ถึงกับอยากจะกระอักเลือดออกมา ‘หน็อยยัยเด็กตัวแสบกล้ายอกย้อนข้าเชียวหรือ หากหลุดออกไปได้ข้าจะทรมานเจ้าให้หนำใจเลย’

สัตว์ตัวเล็กคิดอย่างเดือดดาลโดยลืมคำเตือนทั้งหลายไปหมดสิ้นแล้ว “เสี่ยวเฮยความผิดของเจ้ามากยิ่ง

จงลงไปจองจำอยู่บนโลกมนุษย์จนกว่าจะมีผู้มีดวงชะตากำราบเจ้าได้มาปลดปล่อยเถอะ” นี่คือเสียงของผู้เป็นนายของมัน ก่อนที่เจ้าตัวจะมาถูกจองจำยังสถานที่ลึกลับแห่งนี้

สิ่งสุดท้ายที่ตนจำได้ก็คือเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอร้องอย่างบ้าคลั่ง “หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้างูดินตัวนั้นสิมันมาหาเรื่องข้าก่อนนะ” ถ้อยคำนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของตัวเอง

โดยที่เต่าตัวน้อยสีดำนี้ไม่ได้รู้เลยว่าเจ้างูดินเทพรับใช้ของชิงหลงก็ถูกลงโทษเช่นเดียวกัน แต่จะไปอยู่ภพภูมิไหนนั้นไม่มีใครทราบได้

กลับมายังปัจจุบันอันอันผู้รอการโต้กลับของสัตว์เทพก็หน้ามุ่ยอย่างขัดใจ “เจ้ากระอักเลือดตายไปแล้วเหรอ” คำกล่าวของนางทำให้สัตว์เทพอยากจะขบหัวของเด็กหญิงอีกครั้ง

“เจ้าสิตาย ข้าอยู่มานานเป็นพันปียังรอดมาได้ทุกครั้ง กับคำพูดแค่ไม่กี่ประโยคของเด็กยังไม่หย่านมเช่นเจ้าจะทำอะไรข้าได้” น้ำเสียงนั้นยังคงไว้ซึ่งความเย่อหยิ่ง

“เอาเถอะท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ข้าไม่อยากเถียงกับท่านแล้ว ว่าแต่ท่านจะให้ช่วยอะไรรีบบอกมา ข้ายังต้องตามหาคนอีก” อันอันคร้านจะต่อล้อเถียงพูดขึ้นอย่างเบื่อหน่าย

“ห๊ะ! เจ้าจะหยุดก็หยุดง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ” กุยเฮยร้องเสียงสูงถามออกมาอย่างตกใจ

“ท่านจะเอายังไงก็ว่ามา ว่าแต่ท่านเป็นเทพหรือมารเอา ดี ๆ นะข้าไม่อยากช่วยสิ่งไม่ดี” หนิงอันพูดขึ้นก่อนย้อนถามออก มาอย่างกังขา

“เป็นเทพสิ ข้าจะหลอกเจ้าทำไมหากข้าโกหกขอให้ไม่ได้กลับสวรรค์” คำพูดนี้ทำให้ท้องฟ้าด้านนอกร้องครืนเป็นการยืนยัน

“เทพก็เทพตอนนี้ท่านอยู่ตรงไหนล่ะ แล้วจะให้ข้าช่วยยังไง” อันอันลุกขึ้นยืนเต็มความสูงปัดฝุ่นที่กระโปรงของตนในขณะถามออกไป

“อยู่หลังขอนไม้ที่เห็ดพวกนั้นเกาะอยู่ เจ้าเดินเข้ามาก็จะเห็นข้าเอง” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงหลายส่วนเมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้เต็มใจช่วยตน

“อ่า เห็นแล้วท่านเป็นเต่าอย่างนั้นเหรอสมแล้วที่เป็นเทพรับใช้ของเสวียนอู่” เด็กหญิงตัวน้อยนั่งยองพิจารณาเต่าดำตัวน้อยที่ถูกบางสิ่งพันธนาการพูดออกมา

“เจ้าไม่ตกใจ ไม่กลัวเลยเหรอที่เห็นข้า” เต่าดำตัวน้อยถามเด็กหญิงอย่างสงสัย

“ไม่อ่ะ เรื่องของข้าน่าตกใจกว่าของท่านเยอะ เลยมีภูมิคุ้มกันมากพอ” หนิงอันปฏิเสธโดยที่มือน้อยก็กำลังแกะสิ่งที่พันรอบตัวของเต่าดำไปด้วย

กุยเฮยมองหน้าเด็กน้อยพลางคิดตามด้วยความอยากรู้ มีเรื่องอะไรที่น่าตกใจมากกว่าเต่าพูดได้อีกกันและอะไรคือภูมิคุ้มกัน ครั้นพอเจ้าตัวได้ยินคำพูดของอันอันมันก็มีสติกลับคืนมา

“เราทั้งสองจะต้องกล่าวยอมรับพันธะของกันจากนั้นเมื่อเจ้าหยดเลือดของตนลงบนหัวของข้าแล้วสิ่งเหล่านี้จะหายไป” กุยเฮยอธิบาย

“อะไรนะ! หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าข้าไม่ต้องรับเลี้ยงเจ้าอีกตัวหรอกเหรอ ตอนนี้ครอบครัวของข้ากำลังถังแตกเจ้ามีประโยชน์อะไรจะให้ข้าเลี้ยงดู” หนิงอันอุทานเสียงดังก่อนที่จะจงใจเอ่ยกวนประสาทเต่าตัวน้อยเนื่องจากในนิยายนั้นไม่มีเรื่องเช่นนี้

“จะ...เจ้าจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว ข้าผู้นี้แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าท่านเสวียนอู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้อ่อนปวกเปียกให้ใครมากล่าวหาเช่นนี้ได้หรอกนะ ตัวข้ากุยเฮยเป็นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศ

ภายในตัวมีทั้งธาตุน้ำและธาตุดิน สามารถควบคุมให้ฝนตกก็ได้ ให้ภูเขาพังทลายก็ได้จะทำให้อุดมสมบูรณ์ก็ได้

อีกทั้งข้ายังสามารถกลืนกินสิ่งที่เจ้าต้องการเก็บและเรียกออกมาโดยไม่ทำเสียหายทำนายฟ้าดินได้แม่นยำ” กุยเฮยยังขายตนเองไม่ทันจบก็ถูกเสียงของเด็กหญิงขัดคอขึ้นอย่างกะทันหัน

“หยุดก่อน” อันอันรีบพูดขึ้นต่อทันที “เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้อย่างนั้นเหรอเรื่องนี้จะเกินจริงไปหน่อยมั้ง” เด็กหญิงย้อนถามอย่างกังขา

“ข้าจะแสดงให้เจ้าดู” กุยเฮยพูดด้วยความโมโหจากนั้นเขาก็พลันปิดเปลือกตาลง เพียงชั่วหนึ่งจิบชาด้านนอกก็เกิดปรากฏการณ์ผิดฤดูขึ้น

ท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึนจากนั้นฝนที่ไม่ตกมานานก็กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กลุ่มมนุษย์ที่อยู่ด้านนอกต่างวิ่งหาที่หลบฝนกันให้วุ่นวาย

อันอันได้ยินเสียงฝนเสียงฟ้าก็อ้าปากค้างอย่างลืมตน ‘ฮ่า ๆ หากมีฝนใยจะต้องกลัวความแห้งแล้งอีกอย่างนั้นเหรอ’ ความคิดนี้นางได้แต่เก็บงำไว้

“เอาละท่านกุยเฮยผู้ยิ่งใหญ่ข้าเชื่อเจ้าแล้ว ท่านรีบให้ฝนหยุดตกก่อนเถอะไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าในการเดินลงเขา” หนิงอันรีบกล่าวประจบเต่าดำตัวน้อยอย่างรู้งาน

“นังหนูเจ้ารู้จักเอาใจข้าแล้วนับว่ายังมีตา เอาละฝนหยุดแล้วคราวนี้เราจะมาทำพันธะสัญญาได้หรือยัง ข้าอยากออกไปชมโลกกว้างจะแย่ อยู่ในนี้อุดอู้ชะมัด” กุยเฮยพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“ได้สิ หลังจากเราทำสัญญาต่อกันแล้วท่านอย่าลืมเก็บเทพเจ้าแห่งชีวิตพวกนี้ให้ข้านะโกยให้หมดเลย เพราะอยู่ในที่แคบเช่นนี้น่าเสียดายแย่” หนิงอันต่อลอง

“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าจงกล่าวคำสัญญากับข้าเถอะ” กุยเฮยตัวน้อยกล่าวตัดบท

หลังกล่าวคำสัญญาเรียบร้อย อันอันจะเป็นนายของมันแต่เรื่องนี้เต่าตัวน้อยไม่คิดบอก

“ต่อมาคราวนี้ก็มาถึงการหยดเลือด” คำพูดของเต่าน้อยทำให้หนิงอันตกใจ “ข้าจะกรีดนิ้วได้ยัง...โอ้ยเจ็บ ๆ เจ้าเสี่ยวเฮยทำบ้าอะไร” หนิงอันกรีดร้องมองเลือดบนนิ้วของตนอย่างเจ็บปวด

“เจ้ารีบหยดเลือดลงมาเร็วสิหรือจะให้ข้ากัดนิ้วของเจ้าอีกรอบ อยากเจ็บตัวข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ” เต่าตัวน้อยผู้ปากกล้ารีบสั่งเจ้านายคนใหม่

“อะ..อ๋อ หากคราวหน้าเจ้าจะทำอะไรแบบนี้ช่วยบอกให้ข้าเตรียมใจก่อนสิ” อันอันบ่นในขณะที่หยดเลือดสีแดงลงบนหัวของเต่าตัวน้อยสีดำสนิท

พลันรอบตัวของเธอกับเต่าดำก็เกิดแสงสว่างสีทองอยู่ชั่วพริบตาก่อนที่แสงนั้นจะหายเข้าไปในหัวของทั้งคนและสัตว์

“พิธีเสร็จสิ้นต่อไปนี้เจ้าอยากพูดอะไรกับข้าทำเพียงแค่เรียกชื่อข้าและก็นึกในหัวก็พอ ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะมองว่าเจ้าวิปลาสเอาได้” กุยเฮยกล่าวเตือนนายคนใหม่อย่างหวังดี

“โอเค” เด็กหญิงตอบทำให้กุยเฮยไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กคนนี้พูดเพราะเจ้าตัวอยู่แต่ในยุคอดีตยังไม่เคยไปยุคอนาคต

‘เค...อะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจ’ เต่าน้อยสื่อสารทางความคิด ‘โอเค ก็แปลว่าข้าเข้าใจแล้วแบบนี้ไง เอาเถอะอย่ามัวเสียเวลาเจ้ารีบกวาดเห็ดพวกนั้นเถอะ’ หนิงอันอธิบายพร้อมกับตัดบทออกมาในคราวเดียว

เมื่อเก็บเทพเจ้าแห่งชีวิตทุกสีเรียบร้อย การเดินตามหาเด็กชายก็ดำเนินต่อไป ‘เจ้าเคยเห็นเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในนี้ไหม’ หนิงอันถามเต่าตัวน้อยที่เกาะอยู่บนบ่า

‘ไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงฝีเท้า ข้าคิดว่าเขาอยู่ห่างจากเราไม่ไกลหากไม่โดนเขมือบไปเสียก่อน’ คำพูดของเต่าดำทำให้ อันอันขนอ่อนลุกชัน

‘หมายความว่ายังไง’ หนิงอันถามออกมาอย่างติดขัด

‘ก็หมายความว่าที่แห่งนี้เป็นถ้ำงูนะสิ เหตุใดต้องให้ตีความออกมาอีก เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ’ กุยเฮยกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน ‘งู! อย่างนั้นเหรอ ซวยแล้วข้าไม่ชอบสัตว์ที่ตัวลื่น ๆ แบบนั้น’ หนิงอันกรีดร้อง

เสียงอันโหยหวนของนางยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ยงฮ่าว ผู้คิดว่ามีปีศาจหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิมจนเขาไม่ยอมขยับกาย

แต่แล้วเด็กชายก็ได้ยินเสียงขู่ของบางอย่างดังอยู่ด้าน หน้าพร้อมกับเสียงครูดกับพื้นดิน

เขาจึงค่อย ๆ เงยศีรษะเล็กของตนขึ้น ดวงตาของเด็กชายเบิกโพลงจ้องมองสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ด้านหน้าอย่างตื่นตะลึง “งะ...งู!” เขาร้องเสียงหลงทำให้หนิงอันรีบวิ่งมายังต้นเสียงทันที

“บ้าไปแล้วนี่มันอนาคอนดาชัด ๆ กุยเฮยหาวิธีเร็วไม่งั้นพวกเราได้กลายเป็นมื้อค่ำของมันแน่” หนิงอันพูดเสียงดังด้วยความลืมตัวเมื่อมองเห็นหัวงูตัวใหญ่กำลังอ้าปากกว้างน้ำลายหยดลงพื้นแหมะ ๆ หมายจะกินเหยื่อตรงหน้า

เต่าตัวน้อยทำเสียงฟู่ ๆ ฟ่อ ๆ ออกมาจากนั้นงูตัวนั้นก็สงบลง หนิงอันแม้จะมึนงงแต่เวลานี้ที่สำคัญคือต้องไปลากเจ้าเด็กคนนั้นออกมาก่อน

ไวเท่าความคิดเด็กหญิงจึงรีบวิ่งไปคว้าคอเสื้อด้านหลังของเด็กชายผู้ที่ยังนั่งตัวสั่นเทาทันที

นางรีบลากเขาออกมาด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนโดยที่เด็กชายไม่สามารถขัดขืนได้ (ไม่ใช่ไม่อยากขัดขืน แต่ข้าไม่มีเรี่ยวแรงต่างหาก) นี่คือความคิดของเขา

“เจ้ามีสติสักทีสิ หากอยากเป็นอาหารของมันอยู่ก็จง นิ่งต่อไปหากไม่ก็รีบวิ่งตามข้ามา” หนิงอันตะคอกใส่คนอายุมากกว่าพร้อมกับวิ่งนำไปข้างหน้า

สองเท้าของยงฮ่าวเองก็รีบตามติดเด็กหญิงมาอย่างไม่ลดละจนกระทั่งเด็กทั้งสองถึงทางออก “พวกเรารีบไปก่อนเจ้าค่ะ” หนิงอันรีบวิ่งไปหาพ่อของตนตะโกนขึ้นเสียงดัง

กุยเฮยได้แต่ลอบหัวเราะในใจ (เจ้าอยากข่มข้าดีนัก หากข้าไม่เอาคืนจะได้อย่างไร) กุยเฮยไม่รู้เลยว่าผลการกระทำในวันนี้จะทำให้ตนถูกหนิงอันเอาคืนได้เจ็บแสบไม่แพ้กัน

เมื่อกลุ่มของหนิงอันวิ่งออกมาได้สักพักก็เจอเข้ากับกลุ่มของอานไท่ที่พาชายฉกรรจ์เดินป่าเข้ามาตามหาพวกเขา

“พวกท่านหนีอะไรกันมาอย่างนั้นเหรอ” อานไท่เป็นผู้เปิดปากหลังจากที่คนเหล่านี้ได้พักหายใจหายคอโดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่วิ่งจนลืมวัยของตน

“ไม่รู้ แหก ๆ” เสียงหอบเหนื่อยของชายชราตอบออกมา

“ห๊ะ! ไม่รู้แต่ท่านพากันวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายนี่นะ” อานไท่ย้อนถามสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจ

“เรื่องนี้” ท่านผู้เฒ่าเปิดปากพลางหันศีรษะไปทางเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังอาปากหอบหายใจ

ยงฮ่าวเป็นผู้ตอบออกมาเสียงตื่นหลังจากรู้สึกดีขึ้น “งะ...งูขอรับ มันตัวใหญ่มากข้ากับนางก็เลยพาทุกคนวิ่งหนีออกมา”

คำกล่าวของเด็กชายได้ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนมองหน้าของเขาสีหน้าเริ่มแสดงความกังวล “จะ... เจ้าคงไม่ได้โกหกกระมั้ง” น้ำเสียงสั่นของชาวบ้านชายคนหนึ่งย้อนถาม

“จริงสิขอรับ ไม่เชื่อก็ถามนางได้เลยตัวมันใหญ่มากกว่าขาของชายคนนั้นอีก” ยงฮ่าวกล่าวยืนยันเสียงหนักพร้อมกับชี้นิ้วไปยังต้นขาของยงเผยและหันใบหน้าน้อยไปทางอันอันด้วย

“จริงที่สุดเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบไปกันก่อนเถอะ หากมันตามมาทันข้าไม่อยากจะคิด” หนิงอันกล่าวพร้อมกับเอามือลูบแขนของตนไปมา

“ลูกรักเจ้ามาขึ้นหลังพ่อแบบนี้จะเร็วกว่า” หยูเจียงนั่งยองหันหลังให้บุตรีในขณะพูด

เด็กหญิงทำตามอย่างเชื่อฟังเนื่องจากร่างกายเล็ก ๆ ของนางในยามนี้ช่างเหนื่อยยิ่ง

ยงฮ่าวรู้สึกอิจฉานางยิ่งที่มีบิดาให้ความรัก ผิดกับตัวเขาที่มีแต่มารดาอีกทั้งมารดาก็ยังตัวบอบบางจึงไม่สามารถแบกเขาเยี่ยงนั้นได้

“ข้าจะแบกเจ้าเอง” ยงเผยเดินมายืนข้างบุตรชายกล่าวเสียงอ่อนแม้ว่าเด็กคนนี้จะยังไม่ยอมรับตนก็ตาม

เด็กชายแหงนหน้ามองชายร่างใหญ่แววตาของเขาทอประกายสับสนริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

หนิงอันผู้มองเห็นภาพนี้นางจึงได้พูดขึ้นมาลอย ๆ “เจ้าจะไม่ยอมรับจริง ๆ เหรอ” คำพูดนั้นกระแทกใจของยงฮ่าวเข้า อย่างจัง เด็กชายนิ่งคิด (ข้าควรจะยอมรับไหม แต่เขาทำให้ท่านแม่ลำบากมาตั้งหลายปีเชียวนะ)

ในระหว่างที่เด็กน้อยนิ่งเงียบอยู่นั้น ยงเผยจึงได้ถือวิสาสะยกตัวของเขาขึ้น ชายหนุ่มอุ้มคนตัวเล็กไว้แนบอกแกร่ง ทำให้เด็กชายผู้ตกใจที่จู่ ๆ ตัวลอยขึ้นอย่างกะทันหันรีบเอามือโอบรอบคอของคนร่างสูงทันที

(นี่คืออ้อมกอดของบิดาอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงได้ดูแข็งแกร่งยิ่งนักผิดกับอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของมารดายิ่ง) ความคิดของเด็กชายวนเวียนอยู่เช่นนี้จนกระทั่งออกมาจากป่าอย่างปลอดภัย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 56

    เช่นเดียวกับฉงซานในตอนนี้ก็ได้หายจากอาการบาดเจ็บแล้วเช่นกัน ส่วนผึ้งตัวน้อยผู้มีฤทธิ์มากนะหรือ ตอนนี้พวกมันต่างอยู่ในสภาวะเซื่องซึมท่ามกลางความเงียบจู่ ๆ เสียงของกุยเฮยก็ดังขึ้นในหัวของอันอัน ‘ยินดีด้วยเด็กน้อยต่อไปนี้เจ้าได้มีผึ้งฝูงใหญ่เป็นสหายเพิ่ม’ คำพูดของเต่าตัวน้อยทำให้หนิงอันหันหลังกลับไปมอ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 55

    “พี่สาม พี่สี่ พี่มู่ตานพวกท่านจะไปกับข้าหรือไม่” หลังคุยกับกุยเฮยเรียบร้อยอันอันจึงได้หันหลังกลับไปถามพี่ทั้งสามที่กำลังดูหลุมดักปลาอย่างสนใจ “ไปไหนอย่างนั้นหรือ” ยงฮ่าวเอ่ยถามสีหน้าแสดงความสงสัย“ฉงซานจะพาเราไปหาของดีเจ้าค่ะ” อันอันตอบจากนั้นจึงเห็นผู้เป็นพี่ทั้งสามพยักหน้าตกลงครั้นแล้วการเดินทา

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 54

    มู่ตานรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เป็นนายรวมถึงเด็กทั้งสองใจดีกับตนไม่คิดว่านางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ หลังจากการฝึกของครึ่งวันจบลง เด็กหญิงก็ชวนบรรดา พี่ ๆ เดินขึ้นเขาเพื่อไปดูโรงงานผลิตเกลือที่ตอนนี้มีชาวบ้านบางส่วนได้ขึ้นมาทำงานบ้างแล้ว “สวัสดีท่านอาทั้งหลาย” เด็กทั้งสี่กล

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 53

    ยามเหม่าของวันต่อมา อันอันผู้กำลังนอนหลับสบายก็ถูกให้ปลุกด้วยเสียงของคู่หูเต่าตัวน้อยตามเดิม ‘เด็กน้อยตื่น หากไม่ตื่นข้าจะกัดหูของเจ้านะ’ เสียงเล็กคล้ายเด็กของกุยเฮยข่มขู่ ‘อย่านะ! ข้าตื่นแล้ว กุยเฮยนับวันเจ้ายิ่งโหดร้ายกับข้ายิ่ง’ อันอันสะดุ้งตื่นรีบยกมือปิดหูกล่าวตัดพ้อ ‘ข้

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 52

    “หากเป็นแบบนี้ทั้งเจ้าและท่านเจ้าเมืองคนใหม่คงจะลำบากไม่น้อยทีเดียว” แม่ผู้ชราของชายหนุ่มกล่าวออกมาสีหน้าแสดงความกังวล “ท่านแม่อย่าได้ห่วง แม้ว่างานจะหนักเพียงใด หากว่าผู้คนร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกันย่อมผ่านไปได้ เท่าที่ข้ากับท่านเจ้าเมืองได้พูดคุยกับชาวเมืองในวันนี้ทุกคนก็พร้อมยินดีให้ความ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 51

    ตกเย็นภายในวันเดียวกัน เมื่ออันอันได้กลับมาถึงเรือนของอานไท่เด็กหญิงก็รีบก้าวขาสั้น ๆ ของตนไปยังหลังบ้านทันที หนิงอันมองซ้ายแลขวาเพื่อหาอะไรบางอย่างแต่แล้ว“เด็กน้อยเจ้ามองหาอะไร” กุยเฮยเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย “หากุ้งนะสิ ข้ามัวแต่ยุ่ง ๆ เลยลืมของอร่อยไปเลย” อันอันพึมพำโดยไม่ได้สื่อสารทางความคิดออกไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status