อันอันหยุดน้ำตาของตัวเองลงอย่างฉับพลัน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังพลางตะโกนถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“เจ้าเป็นใครคนหรือผี” ใจเต้นตุบตับในอกข้างซ้ายรัวเหมือนกลองศึกก็ไม่ปาน
“เจ้าสิผี ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผีนั่นแหละ ข้าคือผู้รับใช้ของเทพเสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่เลยนะเจ้าเด็กมนุษย์ตัวเหม็น” น้ำเสียงอันหยิ่งผยองโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน
อันอันคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ทำให้นางผู้ปากไวอดที่จะย้อนออกไปไม่ได้เช่นกัน
“แหม ๆ ท่านเทพผู้รับใช้เสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่หากท่านเก่งกาจจริงดั่งที่ว่าเห็นทีคงไม่ต้องร้องขอให้เด็กอย่างข้าช่วยหรอกกระมั้ง” สิ้นคำของเด็กหญิง
สัตว์เทพก็ถึงกับอยากจะกระอักเลือดออกมา ‘หน็อยยัยเด็กตัวแสบกล้ายอกย้อนข้าเชียวหรือ หากหลุดออกไปได้ข้าจะทรมานเจ้าให้หนำใจเลย’
สัตว์ตัวเล็กคิดอย่างเดือดดาลโดยลืมคำเตือนทั้งหลายไปหมดสิ้นแล้ว “เสี่ยวเฮยความผิดของเจ้ามากยิ่ง
จงลงไปจองจำอยู่บนโลกมนุษย์จนกว่าจะมีผู้มีดวงชะตากำราบเจ้าได้มาปลดปล่อยเถอะ” นี่คือเสียงของผู้เป็นนายของมัน ก่อนที่เจ้าตัวจะมาถูกจองจำยังสถานที่ลึกลับแห่งนี้
สิ่งสุดท้ายที่ตนจำได้ก็คือเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอร้องอย่างบ้าคลั่ง “หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้างูดินตัวนั้นสิมันมาหาเรื่องข้าก่อนนะ” ถ้อยคำนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของตัวเอง
โดยที่เต่าตัวน้อยสีดำนี้ไม่ได้รู้เลยว่าเจ้างูดินเทพรับใช้ของชิงหลงก็ถูกลงโทษเช่นเดียวกัน แต่จะไปอยู่ภพภูมิไหนนั้นไม่มีใครทราบได้
กลับมายังปัจจุบันอันอันผู้รอการโต้กลับของสัตว์เทพก็หน้ามุ่ยอย่างขัดใจ “เจ้ากระอักเลือดตายไปแล้วเหรอ” คำกล่าวของนางทำให้สัตว์เทพอยากจะขบหัวของเด็กหญิงอีกครั้ง
“เจ้าสิตาย ข้าอยู่มานานเป็นพันปียังรอดมาได้ทุกครั้ง กับคำพูดแค่ไม่กี่ประโยคของเด็กยังไม่หย่านมเช่นเจ้าจะทำอะไรข้าได้” น้ำเสียงนั้นยังคงไว้ซึ่งความเย่อหยิ่ง
“เอาเถอะท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ข้าไม่อยากเถียงกับท่านแล้ว ว่าแต่ท่านจะให้ช่วยอะไรรีบบอกมา ข้ายังต้องตามหาคนอีก” อันอันคร้านจะต่อล้อเถียงพูดขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
“ห๊ะ! เจ้าจะหยุดก็หยุดง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ” กุยเฮยร้องเสียงสูงถามออกมาอย่างตกใจ
“ท่านจะเอายังไงก็ว่ามา ว่าแต่ท่านเป็นเทพหรือมารเอา ดี ๆ นะข้าไม่อยากช่วยสิ่งไม่ดี” หนิงอันพูดขึ้นก่อนย้อนถามออก มาอย่างกังขา
“เป็นเทพสิ ข้าจะหลอกเจ้าทำไมหากข้าโกหกขอให้ไม่ได้กลับสวรรค์” คำพูดนี้ทำให้ท้องฟ้าด้านนอกร้องครืนเป็นการยืนยัน
“เทพก็เทพตอนนี้ท่านอยู่ตรงไหนล่ะ แล้วจะให้ข้าช่วยยังไง” อันอันลุกขึ้นยืนเต็มความสูงปัดฝุ่นที่กระโปรงของตนในขณะถามออกไป
“อยู่หลังขอนไม้ที่เห็ดพวกนั้นเกาะอยู่ เจ้าเดินเข้ามาก็จะเห็นข้าเอง” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงหลายส่วนเมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้เต็มใจช่วยตน
“อ่า เห็นแล้วท่านเป็นเต่าอย่างนั้นเหรอสมแล้วที่เป็นเทพรับใช้ของเสวียนอู่” เด็กหญิงตัวน้อยนั่งยองพิจารณาเต่าดำตัวน้อยที่ถูกบางสิ่งพันธนาการพูดออกมา
“เจ้าไม่ตกใจ ไม่กลัวเลยเหรอที่เห็นข้า” เต่าดำตัวน้อยถามเด็กหญิงอย่างสงสัย
“ไม่อ่ะ เรื่องของข้าน่าตกใจกว่าของท่านเยอะ เลยมีภูมิคุ้มกันมากพอ” หนิงอันปฏิเสธโดยที่มือน้อยก็กำลังแกะสิ่งที่พันรอบตัวของเต่าดำไปด้วย
กุยเฮยมองหน้าเด็กน้อยพลางคิดตามด้วยความอยากรู้ มีเรื่องอะไรที่น่าตกใจมากกว่าเต่าพูดได้อีกกันและอะไรคือภูมิคุ้มกัน ครั้นพอเจ้าตัวได้ยินคำพูดของอันอันมันก็มีสติกลับคืนมา
“เราทั้งสองจะต้องกล่าวยอมรับพันธะของกันจากนั้นเมื่อเจ้าหยดเลือดของตนลงบนหัวของข้าแล้วสิ่งเหล่านี้จะหายไป” กุยเฮยอธิบาย
“อะไรนะ! หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าข้าไม่ต้องรับเลี้ยงเจ้าอีกตัวหรอกเหรอ ตอนนี้ครอบครัวของข้ากำลังถังแตกเจ้ามีประโยชน์อะไรจะให้ข้าเลี้ยงดู” หนิงอันอุทานเสียงดังก่อนที่จะจงใจเอ่ยกวนประสาทเต่าตัวน้อยเนื่องจากในนิยายนั้นไม่มีเรื่องเช่นนี้
“จะ...เจ้าจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว ข้าผู้นี้แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าท่านเสวียนอู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้อ่อนปวกเปียกให้ใครมากล่าวหาเช่นนี้ได้หรอกนะ ตัวข้ากุยเฮยเป็นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศ
ภายในตัวมีทั้งธาตุน้ำและธาตุดิน สามารถควบคุมให้ฝนตกก็ได้ ให้ภูเขาพังทลายก็ได้จะทำให้อุดมสมบูรณ์ก็ได้
อีกทั้งข้ายังสามารถกลืนกินสิ่งที่เจ้าต้องการเก็บและเรียกออกมาโดยไม่ทำเสียหายทำนายฟ้าดินได้แม่นยำ” กุยเฮยยังขายตนเองไม่ทันจบก็ถูกเสียงของเด็กหญิงขัดคอขึ้นอย่างกะทันหัน
“หยุดก่อน” อันอันรีบพูดขึ้นต่อทันที “เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้อย่างนั้นเหรอเรื่องนี้จะเกินจริงไปหน่อยมั้ง” เด็กหญิงย้อนถามอย่างกังขา
“ข้าจะแสดงให้เจ้าดู” กุยเฮยพูดด้วยความโมโหจากนั้นเขาก็พลันปิดเปลือกตาลง เพียงชั่วหนึ่งจิบชาด้านนอกก็เกิดปรากฏการณ์ผิดฤดูขึ้น
ท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึนจากนั้นฝนที่ไม่ตกมานานก็กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กลุ่มมนุษย์ที่อยู่ด้านนอกต่างวิ่งหาที่หลบฝนกันให้วุ่นวาย
อันอันได้ยินเสียงฝนเสียงฟ้าก็อ้าปากค้างอย่างลืมตน ‘ฮ่า ๆ หากมีฝนใยจะต้องกลัวความแห้งแล้งอีกอย่างนั้นเหรอ’ ความคิดนี้นางได้แต่เก็บงำไว้
“เอาละท่านกุยเฮยผู้ยิ่งใหญ่ข้าเชื่อเจ้าแล้ว ท่านรีบให้ฝนหยุดตกก่อนเถอะไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าในการเดินลงเขา” หนิงอันรีบกล่าวประจบเต่าดำตัวน้อยอย่างรู้งาน
“นังหนูเจ้ารู้จักเอาใจข้าแล้วนับว่ายังมีตา เอาละฝนหยุดแล้วคราวนี้เราจะมาทำพันธะสัญญาได้หรือยัง ข้าอยากออกไปชมโลกกว้างจะแย่ อยู่ในนี้อุดอู้ชะมัด” กุยเฮยพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“ได้สิ หลังจากเราทำสัญญาต่อกันแล้วท่านอย่าลืมเก็บเทพเจ้าแห่งชีวิตพวกนี้ให้ข้านะโกยให้หมดเลย เพราะอยู่ในที่แคบเช่นนี้น่าเสียดายแย่” หนิงอันต่อลอง
“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าจงกล่าวคำสัญญากับข้าเถอะ” กุยเฮยตัวน้อยกล่าวตัดบท
หลังกล่าวคำสัญญาเรียบร้อย อันอันจะเป็นนายของมันแต่เรื่องนี้เต่าตัวน้อยไม่คิดบอก
“ต่อมาคราวนี้ก็มาถึงการหยดเลือด” คำพูดของเต่าน้อยทำให้หนิงอันตกใจ “ข้าจะกรีดนิ้วได้ยัง...โอ้ยเจ็บ ๆ เจ้าเสี่ยวเฮยทำบ้าอะไร” หนิงอันกรีดร้องมองเลือดบนนิ้วของตนอย่างเจ็บปวด
“เจ้ารีบหยดเลือดลงมาเร็วสิหรือจะให้ข้ากัดนิ้วของเจ้าอีกรอบ อยากเจ็บตัวข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ” เต่าตัวน้อยผู้ปากกล้ารีบสั่งเจ้านายคนใหม่
“อะ..อ๋อ หากคราวหน้าเจ้าจะทำอะไรแบบนี้ช่วยบอกให้ข้าเตรียมใจก่อนสิ” อันอันบ่นในขณะที่หยดเลือดสีแดงลงบนหัวของเต่าตัวน้อยสีดำสนิท
พลันรอบตัวของเธอกับเต่าดำก็เกิดแสงสว่างสีทองอยู่ชั่วพริบตาก่อนที่แสงนั้นจะหายเข้าไปในหัวของทั้งคนและสัตว์
“พิธีเสร็จสิ้นต่อไปนี้เจ้าอยากพูดอะไรกับข้าทำเพียงแค่เรียกชื่อข้าและก็นึกในหัวก็พอ ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะมองว่าเจ้าวิปลาสเอาได้” กุยเฮยกล่าวเตือนนายคนใหม่อย่างหวังดี
“โอเค” เด็กหญิงตอบทำให้กุยเฮยไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กคนนี้พูดเพราะเจ้าตัวอยู่แต่ในยุคอดีตยังไม่เคยไปยุคอนาคต
‘เค...อะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจ’ เต่าน้อยสื่อสารทางความคิด ‘โอเค ก็แปลว่าข้าเข้าใจแล้วแบบนี้ไง เอาเถอะอย่ามัวเสียเวลาเจ้ารีบกวาดเห็ดพวกนั้นเถอะ’ หนิงอันอธิบายพร้อมกับตัดบทออกมาในคราวเดียว
เมื่อเก็บเทพเจ้าแห่งชีวิตทุกสีเรียบร้อย การเดินตามหาเด็กชายก็ดำเนินต่อไป ‘เจ้าเคยเห็นเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในนี้ไหม’ หนิงอันถามเต่าตัวน้อยที่เกาะอยู่บนบ่า
‘ไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงฝีเท้า ข้าคิดว่าเขาอยู่ห่างจากเราไม่ไกลหากไม่โดนเขมือบไปเสียก่อน’ คำพูดของเต่าดำทำให้ อันอันขนอ่อนลุกชัน
‘หมายความว่ายังไง’ หนิงอันถามออกมาอย่างติดขัด
‘ก็หมายความว่าที่แห่งนี้เป็นถ้ำงูนะสิ เหตุใดต้องให้ตีความออกมาอีก เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ’ กุยเฮยกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน ‘งู! อย่างนั้นเหรอ ซวยแล้วข้าไม่ชอบสัตว์ที่ตัวลื่น ๆ แบบนั้น’ หนิงอันกรีดร้อง
เสียงอันโหยหวนของนางยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ยงฮ่าว ผู้คิดว่ามีปีศาจหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิมจนเขาไม่ยอมขยับกาย
แต่แล้วเด็กชายก็ได้ยินเสียงขู่ของบางอย่างดังอยู่ด้าน หน้าพร้อมกับเสียงครูดกับพื้นดิน
เขาจึงค่อย ๆ เงยศีรษะเล็กของตนขึ้น ดวงตาของเด็กชายเบิกโพลงจ้องมองสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ด้านหน้าอย่างตื่นตะลึง “งะ...งู!” เขาร้องเสียงหลงทำให้หนิงอันรีบวิ่งมายังต้นเสียงทันที
“บ้าไปแล้วนี่มันอนาคอนดาชัด ๆ กุยเฮยหาวิธีเร็วไม่งั้นพวกเราได้กลายเป็นมื้อค่ำของมันแน่” หนิงอันพูดเสียงดังด้วยความลืมตัวเมื่อมองเห็นหัวงูตัวใหญ่กำลังอ้าปากกว้างน้ำลายหยดลงพื้นแหมะ ๆ หมายจะกินเหยื่อตรงหน้า
เต่าตัวน้อยทำเสียงฟู่ ๆ ฟ่อ ๆ ออกมาจากนั้นงูตัวนั้นก็สงบลง หนิงอันแม้จะมึนงงแต่เวลานี้ที่สำคัญคือต้องไปลากเจ้าเด็กคนนั้นออกมาก่อน
ไวเท่าความคิดเด็กหญิงจึงรีบวิ่งไปคว้าคอเสื้อด้านหลังของเด็กชายผู้ที่ยังนั่งตัวสั่นเทาทันที
นางรีบลากเขาออกมาด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนโดยที่เด็กชายไม่สามารถขัดขืนได้ (ไม่ใช่ไม่อยากขัดขืน แต่ข้าไม่มีเรี่ยวแรงต่างหาก) นี่คือความคิดของเขา
“เจ้ามีสติสักทีสิ หากอยากเป็นอาหารของมันอยู่ก็จง นิ่งต่อไปหากไม่ก็รีบวิ่งตามข้ามา” หนิงอันตะคอกใส่คนอายุมากกว่าพร้อมกับวิ่งนำไปข้างหน้า
สองเท้าของยงฮ่าวเองก็รีบตามติดเด็กหญิงมาอย่างไม่ลดละจนกระทั่งเด็กทั้งสองถึงทางออก “พวกเรารีบไปก่อนเจ้าค่ะ” หนิงอันรีบวิ่งไปหาพ่อของตนตะโกนขึ้นเสียงดัง
กุยเฮยได้แต่ลอบหัวเราะในใจ (เจ้าอยากข่มข้าดีนัก หากข้าไม่เอาคืนจะได้อย่างไร) กุยเฮยไม่รู้เลยว่าผลการกระทำในวันนี้จะทำให้ตนถูกหนิงอันเอาคืนได้เจ็บแสบไม่แพ้กัน
เมื่อกลุ่มของหนิงอันวิ่งออกมาได้สักพักก็เจอเข้ากับกลุ่มของอานไท่ที่พาชายฉกรรจ์เดินป่าเข้ามาตามหาพวกเขา
“พวกท่านหนีอะไรกันมาอย่างนั้นเหรอ” อานไท่เป็นผู้เปิดปากหลังจากที่คนเหล่านี้ได้พักหายใจหายคอโดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่วิ่งจนลืมวัยของตน
“ไม่รู้ แหก ๆ” เสียงหอบเหนื่อยของชายชราตอบออกมา
“ห๊ะ! ไม่รู้แต่ท่านพากันวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายนี่นะ” อานไท่ย้อนถามสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจ
“เรื่องนี้” ท่านผู้เฒ่าเปิดปากพลางหันศีรษะไปทางเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังอาปากหอบหายใจ
ยงฮ่าวเป็นผู้ตอบออกมาเสียงตื่นหลังจากรู้สึกดีขึ้น “งะ...งูขอรับ มันตัวใหญ่มากข้ากับนางก็เลยพาทุกคนวิ่งหนีออกมา”
คำกล่าวของเด็กชายได้ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนมองหน้าของเขาสีหน้าเริ่มแสดงความกังวล “จะ... เจ้าคงไม่ได้โกหกกระมั้ง” น้ำเสียงสั่นของชาวบ้านชายคนหนึ่งย้อนถาม
“จริงสิขอรับ ไม่เชื่อก็ถามนางได้เลยตัวมันใหญ่มากกว่าขาของชายคนนั้นอีก” ยงฮ่าวกล่าวยืนยันเสียงหนักพร้อมกับชี้นิ้วไปยังต้นขาของยงเผยและหันใบหน้าน้อยไปทางอันอันด้วย
“จริงที่สุดเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบไปกันก่อนเถอะ หากมันตามมาทันข้าไม่อยากจะคิด” หนิงอันกล่าวพร้อมกับเอามือลูบแขนของตนไปมา
“ลูกรักเจ้ามาขึ้นหลังพ่อแบบนี้จะเร็วกว่า” หยูเจียงนั่งยองหันหลังให้บุตรีในขณะพูด
เด็กหญิงทำตามอย่างเชื่อฟังเนื่องจากร่างกายเล็ก ๆ ของนางในยามนี้ช่างเหนื่อยยิ่ง
ยงฮ่าวรู้สึกอิจฉานางยิ่งที่มีบิดาให้ความรัก ผิดกับตัวเขาที่มีแต่มารดาอีกทั้งมารดาก็ยังตัวบอบบางจึงไม่สามารถแบกเขาเยี่ยงนั้นได้
“ข้าจะแบกเจ้าเอง” ยงเผยเดินมายืนข้างบุตรชายกล่าวเสียงอ่อนแม้ว่าเด็กคนนี้จะยังไม่ยอมรับตนก็ตาม
เด็กชายแหงนหน้ามองชายร่างใหญ่แววตาของเขาทอประกายสับสนริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น
หนิงอันผู้มองเห็นภาพนี้นางจึงได้พูดขึ้นมาลอย ๆ “เจ้าจะไม่ยอมรับจริง ๆ เหรอ” คำพูดนั้นกระแทกใจของยงฮ่าวเข้า อย่างจัง เด็กชายนิ่งคิด (ข้าควรจะยอมรับไหม แต่เขาทำให้ท่านแม่ลำบากมาตั้งหลายปีเชียวนะ)
ในระหว่างที่เด็กน้อยนิ่งเงียบอยู่นั้น ยงเผยจึงได้ถือวิสาสะยกตัวของเขาขึ้น ชายหนุ่มอุ้มคนตัวเล็กไว้แนบอกแกร่ง ทำให้เด็กชายผู้ตกใจที่จู่ ๆ ตัวลอยขึ้นอย่างกะทันหันรีบเอามือโอบรอบคอของคนร่างสูงทันที
(นี่คืออ้อมกอดของบิดาอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงได้ดูแข็งแกร่งยิ่งนักผิดกับอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของมารดายิ่ง) ความคิดของเด็กชายวนเวียนอยู่เช่นนี้จนกระทั่งออกมาจากป่าอย่างปลอดภัย