Войтиบทที่ 3
เรื่องเหลวไหล
หลังจากพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบจนอาหารที่สั่งไว้มาวางบนโต๊ะ เหอต้าเจิงก็ยังคงทานอาหารเย็นร่วมกับหลานสาว ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอยิ่งนัก ด้วยเจียงเม่ยมีพรสวรรค์ด้านการค้ามิน้อยเลย เมื่อเขาลองหยั่งเชิงนางก็สามารถเสนอความคิดเห็นได้อย่างชาญฉลาด นี่สิถึงจะเหมือนกับสายเลือดของคนตระกูลเหอ
"วันนี้ข้าสนุกมากเลยเจ้าค่ะ แต่คงต้องรีบกลับจวนแล้ว ไว้คราวหน้าข้าจะหาทางไปคารวะท่านตาและท่านยายนะเจ้าคะ ส่วนเรื่องนั้น..." ประโยคท้ายนางมีความลังเลไม่แน่ใจ
"เจ้าวางใจได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าขออย่างไม่มีตกหล่นเลยล่ะ"
"ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ"
"อืม... ไว้พบกันใหม่ วันนี้ข้าเองก็สนุกมากเหมือนกัน"
เหอต้าเจิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำขลับของเจียงเม่ยด้วยความเอ็นดู การได้พบหลานสาวอีกครั้งถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด หากว่าเขานำเรื่องนี้ไปเรียนท่านพ่อกับท่านแม่ พวกท่านทั้งสองคงจะดีใจยิ่งนัก
จวนชินอ๋อง
ภายในห้องหนังสือของจวนชินอ๋อง บุรุษผู้เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผู้มีดวงตาคมกริบดั่งกระบี่ คิ้วเรียวยาวพาดเหนือดวงตาคู่คม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางเฉียบที่ให้ความรู้สึกราวกับตกอยู่ในธารน้ำแข็ง ทว่าที่แก้มซีกซ้ายกลับมีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ยิ่งขับเน้นให้เขาดูน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นไปอีก
เขาคือพระอนุชาของฮ่องเต้ ผู้มีนามว่า 'หรงหมิงฮ่าว' ชินอ๋องผู้พิทักษ์แห่งแคว้นฉิน แม่ทัพใหญ่ผู้กุมกำลังคนมากกว่าสองแสนคน และยังมีหน่วยกิเลนทมิฬไว้ในครอบครอง หากแม้นเขาเกิดก่อกบฏขึ้นมาคงไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้!
ร่างสูงอันกำยำของหรงหมิงฮ่าวกำลังนั่งอ่านเอกสารสำคัญด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอันคมเข้มขมวดคิ้วมุ่นตลอดเวลา ก่อนจะโยนเอกสารฉบับนั้นลงบนโต๊ะ
"พวกตาแก่เฒ่าโลภมากเสียจริง นี่ยังลอบเก็บภาษีกับราษฎร์ลับหลังฝ่าบาทอีก หากมิใช่ว่าข้าสงสัยแล้วส่งคนไปตรวจสอบก็คงไม่รู้เรื่องนี้ เห็นทีข้าคงต้องลงโทษตาแก่เฒ่าพวกนี้ให้หลาบจำเสียบ้าง"
มู่กงกงที่ยืนรอรับใช้พลันหัวเราะเสียงใส "ท่านอ๋องอยากจะทรงจัดการอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ หรือจะให้ตัดลิ้น ตัดมือ ตัดแขน แล้วค่อยประหารเหมือนเมื่อครั้งก่อนพ่ะย่ะค่ะ"
เขาคือขันทีอาวุโสที่คอยรับใช้หรงหมิงฮ่าวตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งยังคอยเป็นมือเป็นเท้าคอยจัดการเรื่องในจวนมาโดยตลอด พี่ชายของเขาก็เป็นขันทีข้างพระวรกายของฮ่องเต้เช่นกัน ฉะนั้นในเมืองหลวงแห่งนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินสองพี่น้องมู่กงกง
"ครานี้ข้าจะให้ราษฎร์เป็นผู้ลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง ในเมื่อชอบเอาเปรียบดีนักก็ลองมาเป็นฝ่ายโดนกระทำเสียบ้าง ให้ราษฎร์ทุบตีกันคนละสองสามทีก็คงดีกระมัง" น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมออกมาจากปากบางเฉียบที่แสยะยิ้มมุมปาก
"ช่างเป็นบทลงโทษที่สาสมยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ"
มู่กงกงเข้ามารินน้ำชาให้กับหรงหมิงฮ่าว ราวกับว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของชินอ๋อง เขาได้ยินจนชินชาเสียแล้ว
"ข้าน้อยลู่คงพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
เสียงจากนอกประตูทำให้มือที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบหยุดชะงัก "เข้ามาได้"
ลู่คงมีใบหน้าเล็กเรียวคมสัน ดวงตาหรี่เล็กก้มต่ำลงกับพื้นด้วยความนอบน้อม หลังจากเขาคารวะท่านอ๋องแล้วก็เอ่ยรายงานเรื่องที่ถูกสั่งไว้ทันที
"ทูลท่านอ๋อง ข้าน้อยลอบติดตามสตรีผู้นั้นไป จนทราบว่าแท้จริงแล้วนางคือเจียงเม่ย คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจียงของท่านเสนาบดีเจียงลู่แห่งกรมยุติธรรมพ่ะย่ะค่ะ วันนี้นางไปขอพบนายท่านเหอแห่งกลุ่มการค้าตระกูลเหอพ่ะย่ะค่ะ"
หลังจากนั้นลู่คงก็เล่าบทสนทนาที่แอบฟังตั้งแต่ต้นจนจบให้กับหรงหมิงฮ่าวฟัง คิ้วกระบี่เลิกขึ้นด้วยความสนใจกับคำรายงาน ก่อนที่มุมปากจะขยับยกขึ้นเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น
"เจ้าบอกว่านางร้องไห้เช่นนั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเองก็แปลกใจนักเพราะดูจากการที่นางจัดการพวกอันธพาลแล้ว นางไม่น่าจะเป็นสตรีที่ร้องไห้ง่าย ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ"
ลู่คงผู้เห็นฉากงิ้วของเจียงเม่ยก็เกือบจะหลงเชื่อไปแล้วว่านางคือสตรีอ่อนแอที่น่าสงสาร ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นท่าจับทุ่มคนของนาง เขาก็คงคิดว่าไม่ใช่คนเดียวกันเป็นแน่
มู่กงกงที่มีสายตากว้างไกลพลันเอ่ยขึ้น "บ่าวเฒ่าเคยได้ยินชื่อคุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้มาบ้าง ได้ความว่านางเกิดจากฮูหยินรองที่มาจากตระกูลคหบดี เดิมทีนางคือภรรยาคนแรกของท่านเสนาบดีเจียงที่คอยช่วยเหลือในการสอบจอหงวน ทว่าหลังจากสอบได้ตำแหน่งจอหงวน กลับแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลหลี่ที่เกิดจากฮูหยินรอง เวลานั้นตระกูลหลี่เรืองอำนาจมากทำให้ท่านเสนาบดีเจียงยกนางขึ้นมาเป็นฮูหยินเอกพ่ะย่ะค่ะ แต่นอกจากเรื่องนี้ยังมีข่าวลือว่าคุณหนูใหญ่เจียงโง่เขลาเบาปัญญา เกียจคร้านการเรียน มีนิสัยหยาบคายแข็งกระด้าง ทั้งยังชอบทำร้ายบ่าวไพร่ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าไม่เคยเชื่อถือข่าวลือ แต่ข้าเชื่อถือคำรายงานของลู่คงมากกว่า ดูท่าว่าคุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้คงจะใช้ชีวิตในจวนอย่างยากลำบาก ทำให้นางต้องหันหน้ามาพึ่งพิงตระกูลเหอ" นิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะหนังสืออย่างใช้ความคิด
"ท่านอ๋องสนใจนางหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือว่านางมีหน้าตางดงามจนท่านอ๋องอยากจะรับนางมาเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"
ดวงตาของมู่กงกงพลันเปล่งประกายอย่างเจิดจ้า ชีวิตนี้ของเขาไม่ขออะไรแล้ว ขอแค่ได้อยู่ร่วมงานมงคลของท่านอ๋อง และช่วยเลี้ยงบุตรชายหญิงของท่านอ๋องเท่านั้นเอง
"พูดจาเหลวไหล ข้ายังไม่เคยเห็นหน้านางเลยสักครั้ง เพียงแค่เห็นว่านางน่าสนใจเท่านั้นเอง"
หรงหมิงฮ่าวปฏิเสธทันควัน เขาก็แค่สนใจกระบวนท่าของนาง หาได้คิดอยากจะได้นางมาเป็นพระชายาไม่ ด้วยตัวเขามิอยากจะมีจุดอ่อนให้ตนเองต้องพลาดพลั้งศัตรู คนเช่นเขาสมควรที่จะอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต!
มู่กงกงพลันรู้สึกห่อเหี่ยว ก่อนจะหันมากระซิบถามลู่คงที่ยืนนิ่ง "เจ้าเห็นหน้าคุณหนูใหญ่เจียงหรือไม่ นางหน้าตาเป็นเช่นไร งดงามหรือว่าอัปลักษณ์"
"ข้าน้อยไม่เห็นขอรับ ด้วยตอนที่แอบฟังข้าน้อยอยู่ห้องข้าง ๆ และคุณหนูใหญ่เจียงก็สวมผ้าคลุมหน้าตลอดเวลาขอรับ"
"เฮ้อ... ช่างน่าเสียดายนัก"
หรงหมิงฮ่าวส่ายหน้าให้กับมู่กงกง หากนับกันตามจริงตัวเขาอายุ 28 แล้ว ส่วนนางก็เป็นสตรีแรกแย้มที่เพิ่งอายุ 18 เขาและนางอายุห่างกันตั้ง 10 ปีเชียว จะแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยาได้อย่างไรกัน
ช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี!
สามวันให้หลังเจียงเม่ยก็ได้นำพัดที่วาดเสร็จแล้วไปมอบให้กับเจียงซูฉี อีกฝ่ายรับมาถือไว้แล้วตรวจดูอีกครั้ง เมื่อพบว่าพัดทั้งสามอันล้วนวาดลวดลายได้อย่างงดงามนัก การลงสีก็สวยงามจนภาพที่อยู่บนพัดราวกับของจริง นางก็ยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ ด้วยนางจะถือโอกาสนี้มอบพัดที่วาดเสร็จแล้วให้กับสหายของตน และฮูหยินใหญ่ของท่านเสนาบดีกรมคลัง เพื่อทำให้นางมีชื่อเสียงที่ดีงามในหมู่ฮูหยินของเหล่าขุนนาง
"ก็เพียงแค่นี้ นับว่าเจ้ายังฉลาดพอสมควร หากตั้งใจทำตั้งแต่คราแรกก็ไม่ต้องถูกลงโทษเช่นนั้นหรอก"
เจียงซูฉีแสยะยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ ตัวนางอายุน้อยกว่าเจียงเม่ย 1 ปี ทว่านางมิเคยให้ความเคารพเจียงเม่ยในฐานะพี่สาวเลยสักครั้งเดียว
"มิทราบว่าน้องรองจะนำพัดทั้งสามนี้ไปมอบให้กับผู้ใดหรือ"
เจียงซูฉีที่ชื่นชมภาพวาดบนพัดพลันหันขวับด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มที่งดงามบังเกิดความไม่พอใจทันที
"คนเช่นเจ้าจะอยากรู้ไปทำไม แค่ทำตามคำสั่งของข้าก็พอแล้ว"
"ข้าแค่คิดว่าภาพบนพัดอาจจะไม่เหมาะ..." สมกับผู้รับน่ะสิ!
"ไสหัวไปซะ ข้าไม่อยากฟังความเห็นของเจ้า"
"ข้าเข้าใจแล้ว"
เจียงเม่ยแสร้งเชื่อฟังน้องสาวตัวดีอย่างดี ทว่าใบหน้างามที่ก้มต่ำนั้นกำลังแสยะยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย...
ตอนพิเศษ 5ภรรยาข้าใครกล้าแตะเพิ่งผ่านพ้นไปแค่วันเดียว สองฝาแฝดแห่งจวนชินอ๋องก็ได้สร้างวีรกรรมมากมายนัก ทำให้คนในวังหลวงหัวหมุนกันไปตาม ๆ เลย ทว่ากลับมีคนผู้หนึ่งที่กำลังรู้สึกขอบคุณกับการมาเยือนของเด็กน้อย ความสัมพันธ์ที่มีเพียงผลประโยชน์ร่วมกันของสองสามีภรรยาคู่นี้ ในที่สุดก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกขั้น หลังจากโจวไป๋จวี๋กลับตำหนักบูรพา นางก็พบว่าหรงป๋อไฉ่ได้รอนางอยู่ก่อนแล้ว และจากนั้นทั้งสองก็ได้เปิดใจและใช้ค่ำคืนร่วมกันอย่างเร่าร้อนทะเลสาบชงชิงหรงหมิงฮ่าวพาเจียงเม่ยมาเที่ยวชมทะเลสาบชงชิงแห่งแดนทักษิณ แม้จะต้องใช้เวลาเดินทางถึงสิบวัน ทว่าเมื่อได้มาถึงแล้วกลับรู้สึกว่าดียิ่งนัก ทะเลสาบชงชิงล้อมรอบไปด้วยต้นเหมยฮวาที่ออกดอกบานสะพรั่งไปทั่ว ทะเลสาบมีน้ำใสแวววาวที่ใสกระจ่างดั่งกับส่องกระจก เห็นตัวปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายไปมา บรรยากาศโดยรอบก็สดชื่นบริสุทธิ์ยิ่งนัก สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดแห่งแคว้นฉิน"ชอบหรือไม่"หรงหมิงฮ่าวสวมกอดภรรยาจากทางด้านหลัง ปลายคางสากวางลงบนบ่าเล็กของนาง จมูกโด่งคมสันพลันสัมผัสกับแก้มขาวเนียนละเอียด"ไม่คิดเลยว่าจะมีทะเลสาบที่สวยงามมากถึง
ตอนพิเศษ 4เพื่อนเล่นของเจ้าก้อนแป้งน้อยฮองเฮาตามไปสนทนากับฮ่องเต้ยังห้องหนังสือ พระนางนั่งบนเก้าอี้ที่ปูด้วยพรมชั้นดูเพื่อรอฟังว่าพระสวามีมีสิ่งใดจะตรัสกับพระนาง "ชินอ๋องพาพระชายาออกท่องเที่ยวประมาณหนึ่งเดือน เช่นนั้นข้าจะขอฝากฝังให้ฮองเฮาช่วยดูแลเด็กน้อยทั้งสองได้หรือไม่ แม้ว่าเสด็จแม่จะทรงรับปากชินอ๋องไปแล้ว แต่หากมีฮองเฮาเข้ามาช่วยแบ่งเบาก็ถือว่าดียิ่ง""ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้เอง ฝ่าบาททรงวางพระทัยหม่อมฉันจะดูแลท่านหญิงน้อยและท่านชายน้อยเป็นอย่างดีเลยเพคะ และจะให้จวี๋เอ๋อร์มาช่วยด้วยอีกแรง มิแน่ว่าหากนางได้คลุกคลีกับเด็กน้อยทั้งสองแล้ว นางอาจจะมีข่าวดีในเร็ววันก็ได้นะเพคะ""เช่นนั้นก็ดี ข้าขอฝากฮองเฮาด้วยนะ""เพคะ"ไป๋อิงฮวาแย้มยิ้มหวาน หลังจากพระนางพูดคุยกับฝ่าบาทจบแล้วจึงได้กลับไปหาหรงจินหยางและหรงจินเยว่ "กรี๊ดด! ท่านชายนี่ไม่ได้นะเพคะ อย่า ๆ เพคะ""ท่านหญิงอย่าทรงวิ่งไปทางนู้นเพคะ"ฮองเฮาที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าพลันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงโวยวาย พระนางทรงหยุดยืนอยู่กับที่ก่อนจะเห็นร่างเล็กป้อมวิ่งมาทางพระนาง ผมแกละทั้งสองข้างที่มีผมอยู่น้อยนิดพลิ้วไหวอย่างน่าเอ็นดูเสียจริ
ตอนพิเศษ 3ซุกซนเหลือเกินวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก นับตั้งแต่เจ้าก้อนแป้งน้อยทั้งสองถือกำเนิด พวกเขาก็อายุได้ 1 ขวบปีแล้ว และวันนี้เองที่เจียงเม่ยกับหรงหมิงฮ่าวจะต้องจากลูก ๆ ไปไกล"ท่านพี่... เราจะไปกันจริง ๆ หรือเพคะ" เจียงเม่ยที่ไม่เคยห่างลูกไปไหนพลันน้ำตาเอ่อคลออย่างใจหาย หรงหมิงฮ่าวที่มีหัวใจหนักแน่นดั่งหินผาจำต้องเอ่ยเสียงเคร่งขรึมกับภรรยาของตน"ใช่แล้ว น้องหญิงไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เสด็จแม่จะต้องทรงดูแลอาหยางกับเยว่เอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอน" "แต่หม่อมฉันก็ยังเป็นห่วงทั้งสองอยู่ดีนะเพคะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเราต้องห่างพวกเขามากถึงเพียงนี้" น้ำเสียงของเจียงเม่ยเจือไปด้วยความกังวล"วางใจเถิด... ลูก ๆ ของเราอยู่ที่วังหลวงจะต้องปลอดภัยและสนุกมากเป็นแน่ แทนที่น้องหญิงจะกังวลเรื่องพวกเขา มิสู้เป็นกังวลผู้คนในวังหลวงไม่ดีกว่าหรือ" หรงหมิงฮ่าวพลันหลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงวีรกรรมของเจ้าก้อนแป้งน้อย พวกเขาเพิ่งจะอายุแค่เพียง 1 ขวบปี แต่กลับทำให้คนในจวนหัวหมุนกันไปตาม ๆ กันเลย แม้แต่มู่กงกงเองยังขอยอมแพ้กับความซุกซนของพวกเขา นับตั้งแต่เด็กทั้งสองเดินได้ผู้คนในจวนชินอ๋องก็ไม่มีวันได้สุ
ตอนพิเศษ 2รสชาติเป็นเช่นไรวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่นานเจียงเม่ยก็ได้ให้กำเนิดเจ้าก้อนแป้งน้อยออกมาถึงสองคน โดยคนแรกคือทารกเพศชายผู้มีร่างกายอ้วนท้วมสมบูรณ์ดี ส่วนคนที่สองคือทารกเพศหญิงที่ร้องไห้เสียงดังลั่นห้อง ทั้งสองมีใบหน้าละม้ายคล้ายบิดาและมารดาอย่างละนิดละหน่อย"เหนื่อยหรือไม่น้องหญิง" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยดังออกมาจากปากของหรงหมิงฮ่าว เขามองดูภรรยารักที่เพิ่งผ่านพ้นการคลอดบุตรที่แสนยากลำบากด้วยความหนักอึ้งในหัวใจ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการคลอดลูกจะหนักหนาสำหรับสตรีมากถึงเพียงนี้"เจ็บแต่ก็มีความสุขมากเพคะ ท่านพี่ไม่ต้องคิดมากนะเพคะ ขอเพียงหม่อมฉันพักผ่อนเยอะ ๆ ทานของบำรุงมิให้ขาดร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้วเพคะ" ใบหน้าที่ซีดเผือดคลี่ยิ้มหวานส่งมาให้ผู้เป็นพระสวามี แม้การคลอดเจ้าก้อนแป้งน้อยทั้งสองจะทุกข์ทรมานจนมิอาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ทว่าตัวนางกลับรู้สึกยินดีที่จะน้อมรับความเจ็บปวดนี้เอาไว้ทั้งหมดหรงหมิงฮ่าวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งบังเกิดความรู้สึกรักใคร่ต่อภรรยายิ่งนัก นางช่างแสนดีเหลือเกิน ทั้งที่เขาได้ยินเสียงนางกรีดร้องอย่างทรมานถึงเพียงนั้น แต่น
ตอนพิเศษ 1สุขสมหลังจากทุกคนในจวนชินอ๋องรู้ข่าวการตั้งครรภ์ของเจียงเม่ย ทุกคนล้วนปลื้มปีติกับข่าวอันน่ายินดีนี้เป็นอย่างมาก มู่กงกงผู้ชราแล้วถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดคนแก่เช่นเขาก็มีบุญวาสนาที่จะได้เลี้ยงดูท่านหญิงน้อยท่านชายน้อยแล้ว และแน่นอนว่าเมื่อฮ่องเต้และไทเฮาทรงทราบ ทั้งสองพระองค์ก็ได้ส่งของบำรุงร่างกายมายังจวนชินอ๋องมิได้ขาด ทั้งยังทรงเสด็จมาเยือนถึงจวนชินอ๋องด้วยสีพระพักตร์ของจ้าวจิงอี้เต็มไปด้วยความยินดี พระนางทรงลูบท้องที่ยังคงแบนราบของเจียงเม่ยอย่างอ่อนโยน "อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มีอาหารที่อยากทานหรือไม่""หม่อมฉันมีอาการอาเจียนบ้างเป็นบางครั้งเพคะ ส่วนมากก็จะง่วงนอนเสียมากกว่า ส่วนอาหารที่ชอบนั้น..." สายตาของเจียงเม่ยพลันหันไปสบตากับสามีโดยพลัน ด้วยไม่ว่าสิ่งใดที่นางอยากจะทาน เพียงเอ่ยปากร้องขอคำเดียวนางก็จะได้ทานในทันที เพราะพระสวามีของนางผู้นี้ได้ให้ลู่จงและลู่จิงไปหามาให้ในทันที โดยมีคำสั่งเด็ดขาดว่าจะต้องนำอาหารที่นางอยากจะทานมามอบให้ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งเค่อ มิเช่นนั้นจะโดนทำโทษสถานหนัก เรื่องนี้สร้างความลำบากใจให้กับเจียงเม่ยเป็นอย่างมากฮ่
บทส่งท้ายหลายวันผ่านไปหลังจากสืบสวนคนทั้งหมดจึงได้ข้อสรุปว่า ซ่งหยางคือผู้บงการเรื่องทุกอย่าง เขากับใต้เท้าจั่วร่วมมือกันค้าเกลือเถื่อนตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน แต่เหอชิวเหยากลับล่วงรู้ความลับนั้น ซ่งหยางจึงให้นางเลือกว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือเลือกจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป แต่เพราะความหวาดระแวงทำให้ซ่งหยางวางแผนสังหารนาง โดยใช้หลี่หลินถงเป็นเครื่องมือ ซึ่งเจียงลู่คือผู้รู้เห็นทุกการกระทำของภรรยาแต่ก็ทำเป็นเมินเฉย ภายหลังจากที่เหอชิวเหยาตาย ซ่งหยางกับใต้เท้าจั่วก็ได้หยุดการค้าเกลือเถื่อน ก่อนจะกลับมาค้าขายอีกครั้งเมื่อ 1 ปีก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาสามารถหลบหูหลบตาจากทางการได้ อันเนื่องมาจากใต้เท้าจั่วได้ปล่อยเงินกู้กับเหล่าขุนนางทั้งหลาย ทำให้พวกเขาใช้จุดนี้ในการหลบเลี่ยงสายตาจากทางการ แต่หลังจากที่รู้ตัวว่าชินอ๋องสืบสาวเรื่องนี้จนพบหลักฐาน พวกเขาก็ได้ส่งจั่วเฉิงให้มายุแยงเจียงซูเหวินให้จ้างนักฆ่าไปสังหารเจียงเม่ย เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจในการหลบหนี แต่เพราะองค์รัชทายาทจึงสามารถจับกุมตัวพวกเขาเอาไว้ได้ทันในตอนที่กำลังหลบหนี ฮ่องเต้ที่ได้อ่านคำสารภาพผิดทั้งหมดจึงได้สั่งตัดสินโทษป







