LOGINบทที่ 3
เรื่องเหลวไหล
หลังจากพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบจนอาหารที่สั่งไว้มาวางบนโต๊ะ เหอต้าเจิงก็ยังคงทานอาหารเย็นร่วมกับหลานสาว ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอยิ่งนัก ด้วยเจียงเม่ยมีพรสวรรค์ด้านการค้ามิน้อยเลย เมื่อเขาลองหยั่งเชิงนางก็สามารถเสนอความคิดเห็นได้อย่างชาญฉลาด นี่สิถึงจะเหมือนกับสายเลือดของคนตระกูลเหอ
"วันนี้ข้าสนุกมากเลยเจ้าค่ะ แต่คงต้องรีบกลับจวนแล้ว ไว้คราวหน้าข้าจะหาทางไปคารวะท่านตาและท่านยายนะเจ้าคะ ส่วนเรื่องนั้น..." ประโยคท้ายนางมีความลังเลไม่แน่ใจ
"เจ้าวางใจได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าขออย่างไม่มีตกหล่นเลยล่ะ"
"ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ"
"อืม... ไว้พบกันใหม่ วันนี้ข้าเองก็สนุกมากเหมือนกัน"
เหอต้าเจิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำขลับของเจียงเม่ยด้วยความเอ็นดู การได้พบหลานสาวอีกครั้งถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด หากว่าเขานำเรื่องนี้ไปเรียนท่านพ่อกับท่านแม่ พวกท่านทั้งสองคงจะดีใจยิ่งนัก
จวนชินอ๋อง
ภายในห้องหนังสือของจวนชินอ๋อง บุรุษผู้เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผู้มีดวงตาคมกริบดั่งกระบี่ คิ้วเรียวยาวพาดเหนือดวงตาคู่คม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางเฉียบที่ให้ความรู้สึกราวกับตกอยู่ในธารน้ำแข็ง ทว่าที่แก้มซีกซ้ายกลับมีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ยิ่งขับเน้นให้เขาดูน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นไปอีก
เขาคือพระอนุชาของฮ่องเต้ ผู้มีนามว่า 'หรงหมิงฮ่าว' ชินอ๋องผู้พิทักษ์แห่งแคว้นฉิน แม่ทัพใหญ่ผู้กุมกำลังคนมากกว่าสองแสนคน และยังมีหน่วยกิเลนทมิฬไว้ในครอบครอง หากแม้นเขาเกิดก่อกบฏขึ้นมาคงไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้!
ร่างสูงอันกำยำของหรงหมิงฮ่าวกำลังนั่งอ่านเอกสารสำคัญด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอันคมเข้มขมวดคิ้วมุ่นตลอดเวลา ก่อนจะโยนเอกสารฉบับนั้นลงบนโต๊ะ
"พวกตาแก่เฒ่าโลภมากเสียจริง นี่ยังลอบเก็บภาษีกับราษฎร์ลับหลังฝ่าบาทอีก หากมิใช่ว่าข้าสงสัยแล้วส่งคนไปตรวจสอบก็คงไม่รู้เรื่องนี้ เห็นทีข้าคงต้องลงโทษตาแก่เฒ่าพวกนี้ให้หลาบจำเสียบ้าง"
มู่กงกงที่ยืนรอรับใช้พลันหัวเราะเสียงใส "ท่านอ๋องอยากจะทรงจัดการอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ หรือจะให้ตัดลิ้น ตัดมือ ตัดแขน แล้วค่อยประหารเหมือนเมื่อครั้งก่อนพ่ะย่ะค่ะ"
เขาคือขันทีอาวุโสที่คอยรับใช้หรงหมิงฮ่าวตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งยังคอยเป็นมือเป็นเท้าคอยจัดการเรื่องในจวนมาโดยตลอด พี่ชายของเขาก็เป็นขันทีข้างพระวรกายของฮ่องเต้เช่นกัน ฉะนั้นในเมืองหลวงแห่งนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินสองพี่น้องมู่กงกง
"ครานี้ข้าจะให้ราษฎร์เป็นผู้ลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง ในเมื่อชอบเอาเปรียบดีนักก็ลองมาเป็นฝ่ายโดนกระทำเสียบ้าง ให้ราษฎร์ทุบตีกันคนละสองสามทีก็คงดีกระมัง" น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมออกมาจากปากบางเฉียบที่แสยะยิ้มมุมปาก
"ช่างเป็นบทลงโทษที่สาสมยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ"
มู่กงกงเข้ามารินน้ำชาให้กับหรงหมิงฮ่าว ราวกับว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของชินอ๋อง เขาได้ยินจนชินชาเสียแล้ว
"ข้าน้อยลู่คงพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
เสียงจากนอกประตูทำให้มือที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบหยุดชะงัก "เข้ามาได้"
ลู่คงมีใบหน้าเล็กเรียวคมสัน ดวงตาหรี่เล็กก้มต่ำลงกับพื้นด้วยความนอบน้อม หลังจากเขาคารวะท่านอ๋องแล้วก็เอ่ยรายงานเรื่องที่ถูกสั่งไว้ทันที
"ทูลท่านอ๋อง ข้าน้อยลอบติดตามสตรีผู้นั้นไป จนทราบว่าแท้จริงแล้วนางคือเจียงเม่ย คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจียงของท่านเสนาบดีเจียงลู่แห่งกรมยุติธรรมพ่ะย่ะค่ะ วันนี้นางไปขอพบนายท่านเหอแห่งกลุ่มการค้าตระกูลเหอพ่ะย่ะค่ะ"
หลังจากนั้นลู่คงก็เล่าบทสนทนาที่แอบฟังตั้งแต่ต้นจนจบให้กับหรงหมิงฮ่าวฟัง คิ้วกระบี่เลิกขึ้นด้วยความสนใจกับคำรายงาน ก่อนที่มุมปากจะขยับยกขึ้นเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น
"เจ้าบอกว่านางร้องไห้เช่นนั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเองก็แปลกใจนักเพราะดูจากการที่นางจัดการพวกอันธพาลแล้ว นางไม่น่าจะเป็นสตรีที่ร้องไห้ง่าย ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ"
ลู่คงผู้เห็นฉากงิ้วของเจียงเม่ยก็เกือบจะหลงเชื่อไปแล้วว่านางคือสตรีอ่อนแอที่น่าสงสาร ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นท่าจับทุ่มคนของนาง เขาก็คงคิดว่าไม่ใช่คนเดียวกันเป็นแน่
มู่กงกงที่มีสายตากว้างไกลพลันเอ่ยขึ้น "บ่าวเฒ่าเคยได้ยินชื่อคุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้มาบ้าง ได้ความว่านางเกิดจากฮูหยินรองที่มาจากตระกูลคหบดี เดิมทีนางคือภรรยาคนแรกของท่านเสนาบดีเจียงที่คอยช่วยเหลือในการสอบจอหงวน ทว่าหลังจากสอบได้ตำแหน่งจอหงวน กลับแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลหลี่ที่เกิดจากฮูหยินรอง เวลานั้นตระกูลหลี่เรืองอำนาจมากทำให้ท่านเสนาบดีเจียงยกนางขึ้นมาเป็นฮูหยินเอกพ่ะย่ะค่ะ แต่นอกจากเรื่องนี้ยังมีข่าวลือว่าคุณหนูใหญ่เจียงโง่เขลาเบาปัญญา เกียจคร้านการเรียน มีนิสัยหยาบคายแข็งกระด้าง ทั้งยังชอบทำร้ายบ่าวไพร่ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าไม่เคยเชื่อถือข่าวลือ แต่ข้าเชื่อถือคำรายงานของลู่คงมากกว่า ดูท่าว่าคุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้คงจะใช้ชีวิตในจวนอย่างยากลำบาก ทำให้นางต้องหันหน้ามาพึ่งพิงตระกูลเหอ" นิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะหนังสืออย่างใช้ความคิด
"ท่านอ๋องสนใจนางหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือว่านางมีหน้าตางดงามจนท่านอ๋องอยากจะรับนางมาเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"
ดวงตาของมู่กงกงพลันเปล่งประกายอย่างเจิดจ้า ชีวิตนี้ของเขาไม่ขออะไรแล้ว ขอแค่ได้อยู่ร่วมงานมงคลของท่านอ๋อง และช่วยเลี้ยงบุตรชายหญิงของท่านอ๋องเท่านั้นเอง
"พูดจาเหลวไหล ข้ายังไม่เคยเห็นหน้านางเลยสักครั้ง เพียงแค่เห็นว่านางน่าสนใจเท่านั้นเอง"
หรงหมิงฮ่าวปฏิเสธทันควัน เขาก็แค่สนใจกระบวนท่าของนาง หาได้คิดอยากจะได้นางมาเป็นพระชายาไม่ ด้วยตัวเขามิอยากจะมีจุดอ่อนให้ตนเองต้องพลาดพลั้งศัตรู คนเช่นเขาสมควรที่จะอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต!
มู่กงกงพลันรู้สึกห่อเหี่ยว ก่อนจะหันมากระซิบถามลู่คงที่ยืนนิ่ง "เจ้าเห็นหน้าคุณหนูใหญ่เจียงหรือไม่ นางหน้าตาเป็นเช่นไร งดงามหรือว่าอัปลักษณ์"
"ข้าน้อยไม่เห็นขอรับ ด้วยตอนที่แอบฟังข้าน้อยอยู่ห้องข้าง ๆ และคุณหนูใหญ่เจียงก็สวมผ้าคลุมหน้าตลอดเวลาขอรับ"
"เฮ้อ... ช่างน่าเสียดายนัก"
หรงหมิงฮ่าวส่ายหน้าให้กับมู่กงกง หากนับกันตามจริงตัวเขาอายุ 28 แล้ว ส่วนนางก็เป็นสตรีแรกแย้มที่เพิ่งอายุ 18 เขาและนางอายุห่างกันตั้ง 10 ปีเชียว จะแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยาได้อย่างไรกัน
ช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี!
สามวันให้หลังเจียงเม่ยก็ได้นำพัดที่วาดเสร็จแล้วไปมอบให้กับเจียงซูฉี อีกฝ่ายรับมาถือไว้แล้วตรวจดูอีกครั้ง เมื่อพบว่าพัดทั้งสามอันล้วนวาดลวดลายได้อย่างงดงามนัก การลงสีก็สวยงามจนภาพที่อยู่บนพัดราวกับของจริง นางก็ยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ ด้วยนางจะถือโอกาสนี้มอบพัดที่วาดเสร็จแล้วให้กับสหายของตน และฮูหยินใหญ่ของท่านเสนาบดีกรมคลัง เพื่อทำให้นางมีชื่อเสียงที่ดีงามในหมู่ฮูหยินของเหล่าขุนนาง
"ก็เพียงแค่นี้ นับว่าเจ้ายังฉลาดพอสมควร หากตั้งใจทำตั้งแต่คราแรกก็ไม่ต้องถูกลงโทษเช่นนั้นหรอก"
เจียงซูฉีแสยะยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ ตัวนางอายุน้อยกว่าเจียงเม่ย 1 ปี ทว่านางมิเคยให้ความเคารพเจียงเม่ยในฐานะพี่สาวเลยสักครั้งเดียว
"มิทราบว่าน้องรองจะนำพัดทั้งสามนี้ไปมอบให้กับผู้ใดหรือ"
เจียงซูฉีที่ชื่นชมภาพวาดบนพัดพลันหันขวับด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มที่งดงามบังเกิดความไม่พอใจทันที
"คนเช่นเจ้าจะอยากรู้ไปทำไม แค่ทำตามคำสั่งของข้าก็พอแล้ว"
"ข้าแค่คิดว่าภาพบนพัดอาจจะไม่เหมาะ..." สมกับผู้รับน่ะสิ!
"ไสหัวไปซะ ข้าไม่อยากฟังความเห็นของเจ้า"
"ข้าเข้าใจแล้ว"
เจียงเม่ยแสร้งเชื่อฟังน้องสาวตัวดีอย่างดี ทว่าใบหน้างามที่ก้มต่ำนั้นกำลังแสยะยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย...
บทที่ 3เรื่องเหลวไหลหลังจากพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบจนอาหารที่สั่งไว้มาวางบนโต๊ะ เหอต้าเจิงก็ยังคงทานอาหารเย็นร่วมกับหลานสาว ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอยิ่งนัก ด้วยเจียงเม่ยมีพรสวรรค์ด้านการค้ามิน้อยเลย เมื่อเขาลองหยั่งเชิงนางก็สามารถเสนอความคิดเห็นได้อย่างชาญฉลาด นี่สิถึงจะเหมือนกับสายเลือดของคนตระกูลเหอ "วันนี้ข้าสนุกมากเลยเจ้าค่ะ แต่คงต้องรีบกลับจวนแล้ว ไว้คราวหน้าข้าจะหาทางไปคารวะท่านตาและท่านยายนะเจ้าคะ ส่วนเรื่องนั้น..." ประโยคท้ายนางมีความลังเลไม่แน่ใจ"เจ้าวางใจได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าขออย่างไม่มีตกหล่นเลยล่ะ""ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ""อืม... ไว้พบกันใหม่ วันนี้ข้าเองก็สนุกมากเหมือนกัน"เหอต้าเจิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำขลับของเจียงเม่ยด้วยความเอ็นดู การได้พบหลานสาวอีกครั้งถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด หากว่าเขานำเรื่องนี้ไปเรียนท่านพ่อกับท่านแม่ พวกท่านทั้งสองคงจะดีใจยิ่งนักจวนชินอ๋องภายในห้องหนังสือของจวนชินอ๋อง บุรุษผู้เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผู้มีดวงตาคมกริบดั่งกระบี่ คิ้วเรียวยาวพาดเหนือดวงตาคู่คม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางเฉียบที่ใ
บทที่ 2คำเตือนจากหลานสาวเจียงเม่ยเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นกิจการของตระกูลเหอ ตระกูลฝั่งมารดาของนางนั่นเอง ในนิยายคนตระกูลเหอล้วนดีกับนางทุกคน โดยเฉพาะท่านตากับท่านยายที่รักใคร่หลานสาวที่ต้องสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก ทว่าเพราะถูกฮูหยินใหญ่ข่มขู่และหวาดกลัวตระกูลหลี่ ทำให้ไม่กล้าแพร่งพรายความทุกข์ระทมที่อยู่ในจวนตระกูลเจียงเลย กว่าตระกูลเหอจะล่วงรู้ชะตาชีวิตอันน่าสงสารของเจียงเม่ยก็เป็นช่วงท้ายเรื่องแล้ว "เชิญขอรับ มิทราบว่าต้องการเป็นห้องรับรองส่วนตัวหรือไม่ขอรับ"ผู้ดูแลร้านรีบเข้ามาต้อนรับเจียงเม่ยด้วยท่าทางนอบน้อม "ช่วยไปเรียนท่านลุงว่าข้าเจียงเม่ยต้องการพบหน้าท่านลุงสักครา"หลงจู๊พลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคุณหนูใหญ่เจียง ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นสตรีร้ายกาจ ชอบรังแกบ่าวไพร่ในเรือน และเป็นสตรีที่เกียจคร้านการเล่าเรียน แม้แต่สำนักศึกษาก็ยังไม่ไป น้อยคนนักที่จะเคยได้พบนาง"ขออภัยขอรับ ข้าน้อยต้องไปเรียนนายท่านเสียก่อน มิรู้ว่านายท่านจะว่างมาพบคุณหนูใหญ่เจียงหรือไม่นะขอรับ" สายตาที่หลงจู๊ใช้มองเจียงเม่ยมีความกังขา ไม่รู้ว่าการมาของเจียงเม่ยนั้
บทที่ 1ไสหัวไปหลังจากกลับมาที่เรือนของตน เจียงเม่ยก็หยิบพัดทั้งสามขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าพัดทั้งสามล้วนเป็นพัดที่ทำจากกระดาษเนื้อดีอันขึ้นชื่อของเมืองหลวงทั้งสิ้น นางพยายามขุดคุ้ยความทรงจำของนางเอก จึงได้พบว่าเจียงซูฉีต้องการนำพัดพวกนี้ไปอวดในงานเลี้ยงน้ำชาชมดอกโบตั๋น โดยงานเลี้ยงนี้จัดขึ้นที่จวนท่านเสนาบดีกรมคลัง ซึ่งนางไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วย'อืม... ไม่เคยวาดภาพซะด้วยสิ จะทำยังไงต่อดีล่ะเนี่ย'เจียงเม่ยหยิบพู่กันขึ้นมาแตะแต้มสีที่สาวใช้จัดเตรียมไว้ให้ ทว่าทันทีที่นางจับพู่กัน จู่ ๆ มือของนางก็ตวัดวาดลวดลายบนพัดอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็บังเกิดภาพวาดดอกโบตั๋นสีแดงที่งดงามจับใจ เจียงเม่ยวางพู่กันในมือลงด้วยความตกตะลึง ก่อนจะผุดยิ้มกว้างด้วยความยินดี'อ่า... สวรรค์ไม่ได้ใจร้ายเกินไปสินะ ยังให้สกิลนางเอกติดตัวมาด้วย หึ ๆ อย่างนี้ก็ยิ่งน่าสนุกน่ะสิ'เจียงเม่ยเหยียดยิ้มกว้างด้วยความยินดี นางจัดการวาดภาพดอกโบตั๋นบนพัดนั้นจนแล้วเสร็จ หยิบผลงานของตนเองขึ้นมาดูด้วยความถูกใจ แม้จะไม่มีความรู้เรื่องการวาดภาพ แต่ฝีพู่กันและการลงสีของนางถือว่าลายเส้นมั่นคง รูปวาดมีมิติราวกับมีชีวิตอย่า
บทนำ"เอาล่ะเด็ก ๆ วันนี้ก็ทำให้เต็มที่เลยนะ ครูเป็นกำลังใจให้ ถ้าการแข่งครั้งนี้คว้าที่ 1 มาได้ ครูจะพาไปเลี้ยงไอศกรีมเลย""เย้! ครูดาวใจดีที่สุดเลยครับ"เด็กชายกลุ่มใหญ่ในชุดกีฬาสีเสื้อสีแดงโห่ร้องเสียงดังก้องด้วยความยินดี วันนี้คือการแข่งขันฟุตบอลในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4- 6 ซึ่งการแข่งรอบนี้คือการแข่งรอบชิงชนะเลิศ โดยมีครูดาวผู้เป็นนักศึกษาครูฝึกสอนปีสุดท้ายเป็นผู้ฝึกซ้อมพวกเขาด้วยตนเอง ครูดาวคือคุณครูพละแสนสวยขวัญใจของนักเรียน"ไป ๆ ทำให้เต็มที่เลยนะ"ครูดาวปรบมือให้สัญญาณเด็ก ๆ วิ่งเข้าสู่สนาม พวกเด็ก ๆ ต่างหันมาโบกมือยิ้มร่า ก่อนจะรีบวิ่งลงไปยังสนามด้วยหัวใจอันตื่นเต้นการแข่งขันล่วงเข้าสู่นาทีสุดท้ายแล้วซึ่งเด็ก ๆ ต่างทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ผลคะแนนอยู่ที่ 1-1 ในช่วงสุดท้ายของเกมกัปตันทีมของสีแดงกำลังเลี้ยงบอลเพื่อยิงเข้าประตูของฝ่ายตรงข้าม ครูดาวลุ้นระทึกด้วยความตื่นเต้น เธอยืนอยู่ข้างสนามท่ามกลางแสงแดดอันเจิดจ้าอย่างไม่นึกร้อนทว่าในตอนที่ลูกบอลพุ่งตรงเข้าประตูของทีมสีเหลืองนั้น ครูดาวกลับรู้สึกว่าร่างของเธอผิดปกติ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง ในตอน







