Masukบทที่ 4
นกยวนยาง วันต่อมาเจียงซูฉีก็ได้นั่งรถม้าไปเยือนที่จวนตระกูลเสิ่น วันนี้นางตั้งใจแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดีที่สุด เนื่องจากองค์รัชทายาทจะเสด็จมาด้วย ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นและประหม่ายิ่งนัก "วันนี้ข้างดงามแล้วหรือยัง" เจียงซูฉีเอ่ยถามรั่วจูเสียงใส "คุณหนูของบ่าวงดงามที่สุดเลยเจ้าค่ะ หากองค์รัชทายาทได้เห็นจะต้องตกตะลึงในความงดงามของคุณหนูเป็นแน่เจ้าค่ะ" เจียงซูฉีพลันยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ "ใช่แล้วล่ะเพราะในเมืองหลวงนี้ข้างดงามที่สุด ว่าแต่เจ้านำพัดที่นังเจียงเม่ยวาดมาแล้วใช่หรือไม่" "บ่าวนำมาแล้วเจ้าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ" "ดีมาก เช่นนั้นก็ไปกันเถิด" เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่นางต้องการ เจียงซูฉีจึงได้ก้าวลงมาจากรถม้าที่มีตราประทับของจวนตระกูลเจียง หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูอ่อนที่ปักลวดลายดอกเหลียนฮวาพลันปรากฏสู่สายตาของทุกคน ทันทีที่นางเผยโฉมทุกคนในงานต่างหันมามองนางเป็นตาเดียว คุณหนูรองตระกูลเจียงช่างงดงามอ่อนหวานนัก ความงามของนางเปรียบดั่งดอกเหลียนฮวาที่เบ่งบานท่ามกลางแสงตะวันที่เจิดจ้า "ฉีเอ๋อร์เจ้ามาแล้วหรือ วันนี้เจ้ายังคงงดงามมิเปลี่ยนไปเลยนะ" 'เสิ่นเยว่สือ' บุตรีของท่านเสนาบดีกรมคลังรีบเดินมารับสหายทันที ใบหน้างามเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดด้วยรอยยิ้มกว้าง คุณหนูเสิ่นผู้นี้แม้ไม่ได้งดงามมากนัก ทว่านางมีผิวกายขาวเนียนละเอียดดั่งหยก ตัวเล็กบอบบาง ตา จมูก และริมฝีปากรับกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ "เจ้าเองก็งดงามมากจริง ๆ" ทั้งสองทักทายกันด้วยความสนิทสนม ก่อนจะจูงมือพากันไปนั่งยังโต๊ะที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว นั่งรอไม่นานองค์รัชทายาทก็เสด็จมาถึงแล้ว ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนเพื่อถวายความเคารพแก่ผู้สูงศักดิ์ 'หรงป๋อไฉ่' องค์รัชทายาทผู้มีใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก เครื่องหน้าของเขาราวกับเป็นผลงานชิ้นเอกของท่านเทพ คิ้วดกดำพาดเหนือดวงตาคู่คมที่เปล่งประกายเจิดจ้า จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักหนา ที่เพียงแค่ยกยิ้มก็ทำเอาใจของสตรีสั่นไหวอย่างรุนแรง ทุกอิริยาบถของเขาให้ความรู้สึกสูงสง่ายิ่งนัก สมแล้วที่ภายภาคหน้าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์แห่งแคว้นฉิน "องค์รัชทายาทช่างเป็นบุรุษที่สูงส่งยิ่งนัก ไม่รู้ว่าสตรีใดจะมีวาสนาได้ครอบครองหัวใจของพระองค์กัน" เสิ่นเยว่สือลอบมองใบหน้าของหรงป๋อไฉ่ด้วยความหลงใหล ตัวนางเองก็อยากจะเข้าไปยืนตรงจุดนั้นเหลือเกิน เจียงซูฉีลอบเบะปากใส่สหายอย่างดูแคลน ใบหน้าเช่นนี้หรือที่จะมัดใจองค์รัชทายาทได้ "นั่นน่ะสิ พระองค์ช่างเป็นบุรุษที่เก่งเรื่องการปกครองนัก ไม่ว่าราชกิจใดล้วนจัดการได้อย่างง่ายดาย สตรีที่จะครองใจองค์รัชทายาทคงต้องเป็นสตรีที่เพียบพร้อมมิต่างกันเป็นแน่" "ข้าก็คิดเหมือนกันกับเจ้า" เสิ่นเยว่สือลอบมองสหายด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก นางรู้หรอกว่าเจียงซูฉีนั้นอยากจะได้หัวใจขององค์รัชทายาท ทว่ามีแค่ความงามอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ เจียงซูฉีที่มีดีแค่รูปโฉมงดงาม ที่มีความสามารถแค่เล่นพิณพอได้กับวาดภาพที่งดงามมากหน่อย จะเทียบเคียงนางที่ชำนาญศาสตร์ทั้งสี่ได้อย่างไรกันเล่า! งานเลี้ยงน้ำชาชมดอกโบตั๋นในครั้งนี้ยังเป็นงานที่ให้หนุ่มสาวได้สนทนากันด้วย หลังจากชื่นชมดอกโบตั๋นแล้วก็มีการแสดงความสามารถของคุณชายและคุณหนู โดยครั้งนี้เจียงซูฉีได้จัดเตรียมพัดที่วาดลวดลายงดงามมาด้วย นางตั้งใจจะมอบให้กับฮูหยินใหญ่และสหาย ส่วนอีกอันนั้น... เมื่อถึงคราวที่เจียงซูฉีจะต้องออกมาแสดงความสามารถ นางก็ได้ให้สาวใช้หยิบพัดที่วาดด้วยลายดอกโบตั๋นออกมา "ข้าไม่ได้เตรียมการแสดงมาด้วย ทว่าได้ตั้งใจวาดภาพบนพัดเพื่อมอบให้กับฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ เพื่อแสดงความขอบคุณที่เสิ่นฮูหยินเชิญให้ข้ามาร่วมดื่มชาชมดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่งนี้ ช่างถือเป็นเกียรติต่อข้ายิ่งนักเจ้าค่ะ หวังว่าเสิ่นฮูหยินจะไม่รังเกียจฝีมืออันต่ำต้อยของข้านะเจ้าคะ" พัดที่วาดด้วยลวดลายดอกโบตั๋นสีแดงช่างดูสะดุดตานัก ดอกโบตั๋นดอกใหญ่ที่บานสะพรั่งนั้นคล้ายกับของจริงเหลือเกิน ยิ่งมีผึ้งตัวน้อยบินเหนือดอกโบตั๋น ยิ่งทำให้ดอกโบตั๋นบนพัดงดงามจับใจ "ฝีมือคุณหนูรองเจียงช่างประณีตและงดงามจนหาผู้ใดเทียบได้ ช่างเป็นคุณหนูที่ใส่ใจผู้อาวุโสอย่างข้านัก" รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นฮูหยินบ่งบอกว่านางถูกใจพัดดอกโบตั๋นนี้มาก "ขอบคุณเสิ่นฮูหยินที่ชื่นชอบเจ้าค่ะ แต่นอกจากพัดดอกโบตั๋นนี้ ข้ายังมีพัดดอกเหลียนฮวาที่จะมอบให้กับสือเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ" รั่วจูหยิบพัดในกล่องที่วาดลวดลายดอกเหลียนฮวาส่งให้กับเจียงซูฉี จากนั้นนางก็เดินไปมอบให้กับสหายด้วยรอยยิ้มหวาน เสิ่นเยว่สือรับมาถือไว้ด้วยความชอบใจ ดอกเหลียนฮวานี้ช่างงดงามนัก การใช้สีแต่งแต้มบนพัดของเจียงซูฉีช่างประณีตละเอียดอ่อนเหลือเกิน "ภาพดอกเหลียนฮวาของเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก ข้าถูกใจจริง ๆ เลย" เสิ่นเยว่สือรับพัดมากางดูด้วยความชอบใจ เหล่าสตรีชนชั้นสูงต่างเข้ามาขอดูภาพวาดบ้าง ต่างส่งเสียงชื่นชมเจียงซูฉีมิขาดปาก ในตอนนั้นเองที่เจียงซูฉีหยิบพัดอีกอันขึ้นมา นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าขององค์รัชทายาทหนุ่ม ก่อนจะยื่นพัดให้กับขันทีคนสนิทของเขา "หม่อมฉันทราบว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาด้วย จึงได้วาดภาพต้นหลิวลู่ลมบนพัดเพื่อมอบให้กับพระองค์เพคะ หากทรงไม่รังเกียจ..." "ขอบใจคุณหนูรองเจียงมาก" หรงป๋อไฉ่แย้มยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะหยิบพัดจากมือขันทีขึ้นมากาง เขามองลวดลายของต้นไผ่ลู่ลมนี้อย่างนึกชื่นชม คุณหนูรองเจียงผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดาเลย "ขอบพระทัยที่ทรงรับไว้เพคะ" เจียงซูฉีพลันคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ทว่าเพียงไม่นานรอยยิ้มบนใบหน้าของนางพลันแข็งค้าง "เอ่อ... คุณหนูรองเจียง ข้าคิดว่าคงมิอาจรับพัดอันนี้ของเจ้าได้แล้วล่ะ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย" สีหน้าของหรงป๋อไฉ่มิสู้ดีนัก หากเป็นการวาดภาพต้นหลิวลู่ลมธรรมดาเขาก็คงรับไว้แล้ว ทว่ากลับมีรูปนกยวนยางที่คลอเคลียกันอยู่ด้วย คราแรกเขาก็เกือบจะมองไม่เห็นแล้ว "พะ เพราะอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ" ดวงตาคู่สวยพลันเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา "นั่นสิเพคะองค์รัชทายาท หรือว่าพัดของคุณหนูรองเจียงมีปัญหา เช่นนั้นหม่อมฉันขอดูหน่อยนะเพคะ" ไม่รอให้องค์รัชทายาททรงอนุญาต เสิ่นฮูหยินพลันเดินไปหาเขาทันที หรงป๋อไฉ่ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรจึงได้ยื่นพัดให้กับเสิ่นฮูหยิน จากนั้นเขาก็หยิบน้ำชาขึ้นมาดื่ม ครานี้เขาคงต้องทำให้หญิงงามร่ำไห้เสียแล้ว แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางทำเรื่องไม่เข้าท่าเสียแล้ว "นี่มัน... นกยวนยางนี่! คุณหนูรองเจียง จะ เจ้าตั้งใจวาดนกยวนยางเพื่อมอบให้กับองค์รัชทายาทหรือ" "อะไรนะ!!" เจียงซูฉีได้ยินเช่นนั้นพลันตกตะลึง ด้วยนกยวนยางนั้นสื่อถึงคู่แต่งงาน หรือคู่รักที่จะครองรักกันไปตราบนานเท่านาน ซึ่งภาพนกยวนยางนี้ควรเป็นสามีภรรยาที่มอบให้แก่กันเท่านั้น ทว่าบนพัดอันนั้นกลับมีรูปนกยวนยางอยู่ด้วย เช่นนี้ชื่อเสียงของนางก็มัวหมองเสียแล้วน่ะสิ! ได้อย่างไรกัน ทำไมนังเจียงเม่ยถึงวาดรูปนกยวนยางเล่า แล้วทำไมนางถึงไม่เห็น!! "ทำไมเจ้าถึงได้ทำสีหน้าตกใจเช่นนั้นเล่า หรือว่า... ภาพวาดบนพัดพวกนี้เจ้าไม่ได้เป็นคนวาดด้วยตนเอง" หรงป๋อไฉ่ที่จับสังเกตใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเจียงซูฉีจึงไม่ปล่อยโอกาส เขาก็รู้สึกว่าภาพวาดนี้มันงดงามมาก มากเสียจนไม่คิดว่าคุณหนูที่อายุน้อยเช่นนางจะวาดได้ด้วยตนเอง แต่การที่นางนำผลงานของผู้อื่นมาแอบอ้างว่าเป็นของตนเองก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย "มะ หม่อมฉันเป็นคนวาดด้วยตนเองเพคะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพัดขององค์รัชทายาทถึงได้มีรูปนกยวนยางด้วยเพคะ มะ หม่อมฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะเพคะ" "เช่นนั้นเจ้าก็พิสูจน์โดยการวาดภาพต้นหลิวลู่ลมให้ทุกคนในที่นี้ได้เห็นกับตาเสียสิ" เจียงซูฉีพลันมีสีหน้าซีดเผือด นางตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว!บทที่ 18สตรีผู้นี้ไม่ได้เจียงเม่ยวางมือลงบนสายพิณอย่างนุ่มนวล ก่อนที่นางจะเริ่มบรรเลงบทเพลงเสนาะหูให้ผู้คนในลานกว้างได้รับฟัง เสียงพิณของนางให้ความรู้สึกล่องลอย ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางปุยเมฆสีขาวนุ่ม ร่างกายเบาบางเคล้าคลอไปกับเสียงพิณที่นิ้วเรียวบางตั้งใจบรรเลง เมื่อสายพิณเสียงสุดท้ายจบลงทุกคนต่างมองมาทางเจ้าของใบหน้างดงามด้วยความตกตะลึง"ฝีมือการดีดพิณของคุณหนูใหญ่เจียงเยี่ยมยอดนัก มิทราบว่าเจ้าได้อาจารย์ที่ไหนเป็นผู้ฝึกสอนหรือ" ไป๋อิงฮวาตรัสถามด้วยความสงสัย เสียงดีดพิณนี้ช่างคล้ายคลึงกับคนที่พระนางรู้จักนัก"กราบทูลฮองเฮา หม่อมฉันศึกษาจากตำราที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้เพคะ""เจ้าไม่มีอาจารย์ฝึกสอนหรือ""เพคะ หม่อมฉันโง่เขลาจึงมิอาจเรียนร่วมกับน้องรองที่มากความสามารถได้เพคะ"ประโยคเดียวของนางก็ทำให้ผู้คนรู้แจ้งถึงความเป็นอยู่ของนางในจวนตระกูลเจียง ดูท่าว่านางคงจะถูกฮูหยินใหญ่กลั่นแกล้งมิน้อยเลย ทว่าหยกงามยังไงก็เป็นหยกงามอยู่วันยังค่ำสินะหลังจากนางกำนัลนำพิณไปเก็บ แล้วนำกระดานหมากมาวาง เจียงเม่ยจึงได้เริ่มเดินหมากด้วยความสามารถอันน้อยนิด ด้วยนางไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน ส่วนในชาติก่อนก็เคยแต่เล
บทที่ 17คัดเลือกพระชายาหญิงสาวที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทจะต้องเป็นสตรีบริสุทธิ์ มีฐานะชาติตระกูลที่ดีโดยให้ถือกำเนิดจากภรรยาเอกและภรรยารองเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องมีหน้าตางดงามหมดจด ไม่มีไฝฝ้าหรือรอยแผลเป็นให้ระคายสายตา กิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวานสมกับเป็นสตรีชนชั้นสูง เมื่อผ่านการคัดเลือกรอบแรก หลังจากนั้นจึงตรวจสุขภาพร่างกายของพวกนาง หากแม้นว่าร่างกายผิดปกติจนมิอาจให้กำเนิดทายาทได้ก็จะถูกคัดออกไป และเมื่อพวกนางผ่านเกณฑ์นี้แล้วต่อไปก็จะเป็นการทดสอบความสามารถด้านศิลปะ ดนตรี เขียนกลอน ปักผ้า และการเดินหมากล้อม หลังจากนั้นก็จะให้องค์รัชทายาทและฮองเฮาทรงตัดสินว่าจะแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นพระชายา ซึ่งการทดสอบความสามารถนั้นจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้านี้เจียงลู่ที่รู้ข่าวว่าเจียงเม่ยผ่านรอบแรกได้อย่างฉลุย เขาก็รีบตรงมาหานางที่เรือนทันที พร้อมกับสั่งให้พ่อบ้านนำเงินมาให้นางถึงหนึ่งหีบ เพื่อให้นางนำไปซื้อเครื่องประดับที่จะใช้ในอีกสามวันข้างหน้านี้ร้านฮวาฮวาเจียงเม่ยมาที่ร้านฮวาฮวาซึ่งเป็นร้านขายเครื่องประดับที่ขึ้นชื่อของเมืองหลวง นางต้องการมาให้เจ้าของร้า
บทที่ 16ปะทะฝีปากหลังจากจัดการงานศพของเจียงซูฉีเรียบร้อยแล้ว จวนตระกูลเจียงก็ได้ถึงคราวเปลี่ยนแปลง เมื่อเจียงซูเหวินที่ควรจะกลับไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาที่เมืองเฉิงตูนั้น กลับย้ายกลับมาศึกษาเล่าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงแทน โดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงมารดาที่เพิ่งสูญเสียพี่สาวไป เจียงลู่ได้ยินเช่นนั้นแม้จะนึกเสียดายโอกาสอันดีที่จะได้สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูล อันเนื่องจากสำนักศึกษาที่เมืองเฉิงตูนั้นมีชื่อเสียงมากนัก ทว่าตัวเขานั้นตามใจเจียงซูเหวินมาก ด้วยเขาคือบุตรชายเพียงคนเดียวที่จะต้องสืบทอดตระกูลเจียงต่อจากเขาเจียงซูเหวินที่รู้ดีว่าเจียงลู่ตามใจเขามาก เขาจึงใช้โอกาสนี้ในตอนที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อเอ่ยเรื่องสำคัญ"ท่านพ่อขอรับ ข้าเห็นควรว่าพี่หญิงใหญ่ก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว เราควรจะรีบเสาะหาเจ้าบ่าวให้พี่หญิงใหญ่ดีหรือไม่ขอรับ"เจียงลู่ที่กำลังทานอาหารอย่างสำราญใจวางตะเกียบลงทันที "เหตุใดเจ้าถึงอยากจะให้พี่สาวของเจ้ารีบแต่งงานออกไปเล่า""ก็เพราะการตายของพี่รองอาจจะส่งผลกระทบกับการแต่งงานของพี่หญิงใหญ่ก็ได้นี่ขอรับ ข้าเกรงว่าเราจะหาเจ้าบ่าวดี ๆ ไม่ได้อีกแล้ว คุณชายใหญ่ตระกูลลั่วแห่งเมืองเป
บทที่ 15แหวนหยกที่ถอดไม่ออกข่าวการตายของเจียงซูฉีโด่งดังในชั่วข้ามคืน ทุกคนต่างตกใจเมื่อได้ทราบข่าวนี้ เช่นเดียวกับน้องชายเพียงคนเดียวของเจียงซูฉี 'เจียงซูเหวิน' คุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลเจียง ผู้มีสิทธิ์สืบทอดตระกูลเจียงคนต่อไป เขาคือเด็กหนุ่มเลือดร้อนเจ้าแผนการที่มีอายุเพียง 15 เท่านั้นเมื่อรู้ว่าพี่สาวได้จากไปแล้วจึงตกใจมาก เขาเร่งเดินทางจากสำนักศึกษาแห่งเมืองเฉิงตูที่อยู่ทางทิศบูรพาเพื่อกลับมายังเมืองหลวงทันที"ฮือ ๆ อาเหวินของแม่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ฮือ ๆ แม่ไม่เหลือใครอีกแล้ว มีเพียงเจ้าเท่านั้น"ทันทีที่หลี่หลินถงเห็นหน้าบุตรชายก็โผเข้ากอดเขาอย่างหาที่พึ่งพิง มีเพียงเจียงซูเหวินเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างนาง และเขาจะต้องหาทางช่วยกำจัดเจียงเม่ยเป็นแน่ เพราะตัวเขารักและเทิดทูนเจียงซูฉีเป็นอย่างมาก"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ เหตุใดพี่รองถึงได้ตาย เรื่องนี้มีเงื่อนงำใช่หรือไม่ขอรับ"หลี่หลินถงสะดุ้งโหยง ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าของตน นางเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างไม่มีตกหล่นให้กับบุตรชายได้ฟัง รวมถึงแผนการของนางที่ได้วางเอาไว้ด้วย เจียงซูเหวินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดถึงกับปวดหัว
บทที่ 14ซ่งหยางจวนตระกูลซ่งซ่งหยางและคนของเขากลับมาถึงจวนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะมีชินอ๋องและองค์รัชทายาทเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยังดีที่พวกเขายังไม่ได้ทันลงมือทำอะไรไปมาก มิเช่นนั้นคงได้เผยพิรุธออกมาเป็นแน่ "ส่งคนไปจับตาดูจวนตระกูลเจียงด้วย หากมีเรื่องอันใดให้รีบมารายงานข้าทันที""ขอรับนายท่าน" บ่าวชายออกไปทำตามคำสั่งโดยไวเมื่อซ่งหยางเข้ามาในห้องหนังสือ เขาก็นั่งมองป้ายหยกของเขาที่ได้คืนกลับมาในตอนที่เข้าไปช่วยเจียงเม่ย คราแรกคิดว่าตัวเขาคงจะทำหายไปเสียแล้วแต่นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจียงเม่ยจะเก็บเอาไว้ให้ โชคดีจริง ๆ ที่ป้ายหยกของเขาไม่ได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชินอ๋อง มิเช่นนั้นคงมีเรื่องวุ่นวายเป็นแน่"นายท่านขอรับ คนของเราส่งของเรียบร้อยแล้วขอรับ แม้ว่าครั้งก่อนจะเกิดปัญหาขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับคนของแคว้นเหลียงขอรับ พวกเขายังบอกว่าครั้งหน้าขอเพิ่มจำนวนเป็นเท่าตัวขอรับ"บุรุษวัยกลางคนรับฟังคำรายงานจากคนของตนอย่างอารมณ์ดี เรื่องในวันนี้ทำให้เขาได้ครุ่นคิดอะไรได้มากมายเชียวล่ะ"หึ ๆ ช่างเป็นเรื่องดีนัก เราทำการค้ากับคนแคว้นเหลียงมาหลายสิบปีแล้ว แค่ติดข
บทที่ 13ความผิดของเจ้าเช้าวันนั้นหรงป๋อไฉ่ได้พาตัวเจียงซูฉีกลับมายังจวนตระกูลเจียงได้สำเร็จ ทว่าช่างน่าเสียดายนักที่เขามิอาจช่วยนางเอาไว้ได้ทัน ตอนที่เขาไปถึงรังโจรก็พบว่านางได้ขาดใจตายไปเสียแล้ว เมื่อตรวจสอบสภาพศพก็พบว่าช่างน่าอเนจอนาถยิ่งนัก สภาพศพของนางมีแต่ร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกาย ไม่มีพื้นที่ใดเลยที่จะไม่มีรอยเขียวช้ำ รอยขบกัด และสาเหตุที่นางตายก็เพราะถูกบีบคอจนตายนั่นเอง เขาคาดว่านางน่าจะต่อสู้กับโจรอย่างสุดกำลัง แต่แรงสตรีมิอาจสู้แรงบุรุษได้ เพราะเช่นนั้นนางจึงถูกโจรที่โมโหจนขาดสติแล้วพลั้งมือบีบคอนางจนตาย ทว่าก่อนนางตายคงได้รับความทุกข์ทรมานมาก ด้วยสิ่งที่สตรีหวงแหนมากที่สุดได้ถูกโจรผู้นั้นพรากไปเสียแล้ว ส่วนหัวหน้าโจรผู้นั้นเขาก็ได้จับตัวนำกลับมาสอบสวนที่เมืองหลวง"ฉีเอ๋อร์ของแม่ ฉีเอ๋อร์ของแม่ นะ นี่..."หลี่หลินถงยืนแข็งค้างด้วยความตะลึงงัน นางมองดูร่างที่ไร้วิญญาณของบุตรสาวที่ถูกวางอยู่บนพื้นด้วยความตกใจ เรี่ยวแรงที่เคยมีมาแทบจะไม่หลงเหลือแล้ว ร่างกายอันสั่นเทิ้มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาร่างที่หลับตาสนิทราวกับคนนอนหลับด้วยความไม่แน่ใจ มือเรียวของนางเอื้อมไปอังจมูกของเจีย







