LOGINบทที่ 2
คำเตือนจากหลานสาว
เจียงเม่ยเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นกิจการของตระกูลเหอ ตระกูลฝั่งมารดาของนางนั่นเอง ในนิยายคนตระกูลเหอล้วนดีกับนางทุกคน โดยเฉพาะท่านตากับท่านยายที่รักใคร่หลานสาวที่ต้องสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก ทว่าเพราะถูกฮูหยินใหญ่ข่มขู่และหวาดกลัวตระกูลหลี่ ทำให้ไม่กล้าแพร่งพรายความทุกข์ระทมที่อยู่ในจวนตระกูลเจียงเลย กว่าตระกูลเหอจะล่วงรู้ชะตาชีวิตอันน่าสงสารของเจียงเม่ยก็เป็นช่วงท้ายเรื่องแล้ว
"เชิญขอรับ มิทราบว่าต้องการเป็นห้องรับรองส่วนตัวหรือไม่ขอรับ"
ผู้ดูแลร้านรีบเข้ามาต้อนรับเจียงเม่ยด้วยท่าทางนอบน้อม
"ช่วยไปเรียนท่านลุงว่าข้าเจียงเม่ยต้องการพบหน้าท่านลุงสักครา"
หลงจู๊พลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคุณหนูใหญ่เจียง ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นสตรีร้ายกาจ ชอบรังแกบ่าวไพร่ในเรือน และเป็นสตรีที่เกียจคร้านการเล่าเรียน แม้แต่สำนักศึกษาก็ยังไม่ไป น้อยคนนักที่จะเคยได้พบนาง
"ขออภัยขอรับ ข้าน้อยต้องไปเรียนนายท่านเสียก่อน มิรู้ว่านายท่านจะว่างมาพบคุณหนูใหญ่เจียงหรือไม่นะขอรับ"
สายตาที่หลงจู๊ใช้มองเจียงเม่ยมีความกังขา ไม่รู้ว่าการมาของเจียงเม่ยนั้นเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
"ข้าจะรอที่ห้องรับรอง หากท่านลุงไม่ว่างข้าก็จะนั่งทานอาหารที่นี่"
"ขะ เข้าใจแล้วขอรับ เช่นนั้นเชิญคุณหนูด้านนี้เลยขอรับ"
หลงจู๊รีบนำทางเจียงเม่ยไปยังห้องรับรองชั้นสอง จากนั้นรีบปลีกตัวไปเรียนให้นายท่านใหญ่ทราบทันที
เจียงเม่ยนั่งจิบชารอไม่นานนัก ประตูของห้องรับรองพลันเปิดออกกว้าง พร้อมการปรากฏกายของบุรุษวัยกลางคนที่นางเรียกขานว่าท่านลุง ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยพลันคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่นใจดี ร่างกายที่สูงใหญ่ทว่ามีพุงยื่นออกมาทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามเจียงเม่ย ดวงตากลมโตที่แจ่มใสกวาดตามองหลานสาวที่ไม่ได้พบกันมานานถึงหนึ่งปีกว่าอย่างสำรวจ
"ข้าไม่คิดว่าเม่ยเอ๋อร์จะมาพบลุงเช่นข้าที่นี่ เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเยี่ยมท่านตากับท่านยายเลยเล่า หรือเป็นเพราะร่างกายของเจ้ายังไม่หายดีนัก"
'เหอต้าเจิง' นายท่านใหญ่ผู้ควบคุมกิจการของตระกูลเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน แม้น้ำเสียงจะมีความเอื้อเอ็นดูในตัวหลานสาว แต่เพราะนางหายหน้าไปนานจึงทำให้เขาอดจะรู้สึกคลางแคลงใจไม่ได้ และเพราะที่ผ่านมาล้วนมีแต่ข่าวลือที่ไม่ดีกับนาง กอปรกับการที่นางหายหน้าหายตาไปเลย จึงทำให้เขารู้สึกไม่ดีต่อหลานสาว ด้วยคิดว่านางที่เกิดในตระกูลขุนนางใหญ่ พยายามปลีกตัวห่างจากคนตระกูลเหอเพราะเป็นเพียงตระกูลของคหบดี
"ข้า... ข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ ที่ข้าแอบมาพบท่านลุงเวลานี้ก็ถือว่าเสี่ยงมากแล้วเจ้าค่ะ"
เจียงเม่ยลอบหยิกแขนของตนเพื่อให้น้ำตาไหลออกมา นางพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ตนเองดูน่าสงสารที่สุด ต้องขอบคุณที่เจ้าของร่างนี้มีใบหน้าเรียบร้อยอ่อนหวาน เวลาที่ขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางเบะปากและสะอื้นจึงทำให้ดูน่าสงสารจับใจ
เหอต้าเจิงได้ยินเช่นนั้นพลันขมวดคิ้วมุ่น เขารีบไต่ถามหลานสาวเป็นการใหญ่
"เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าไปไม่ได้เล่า"
ดวงตาคู่สวยกะพริบหนึ่งคราพลันปรากฏหยาดน้ำตาสีใสไหลลงมาทันที "ฮะ ฮูหยินใหญ่ไม่ยอมให้ข้ามาพบคนตระกูลเหอเจ้าค่ะ หากข้าขัดคำสั่งพวกเขาจะลงโทษข้า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมิอาจไปเยี่ยมเยือนท่านตาท่านยายที่จวนตระกูลเหอเจ้าค่ะ"
ปัง!!
"สตรีแซ่หลี่น่ะหรือที่สั่งห้ามเจ้า ช่างน่าตายนัก! ถือสิทธิ์อะไรมาห้ามมิให้เจ้ามาคารวะผู้อาวุโสของตระกูลฝั่งมารดากัน"
เหอต้าเจิงขบกรามแน่นอย่างเหลืออด ภายในใจที่เคยคลางแคลงหลานสาวพลันอ่อนยวบลงในบัดดล ไม่มีแล้วความกังขาในตัวหลานสาว มีแต่ความสงสารและโกรธเคืองหลี่หลินถง และตัวเขาเองที่ไม่นึกสงสัยสิ่งใดเลย
"ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ คราแรกข้าจึงต่อต้านและไปบอกท่านพ่อ ทะ ทว่า... ท่านพ่อบอกว่าท่านแม่สิ้นใจไปแล้ว คนตระกูลเหอก็เป็นเพียงตระกูลพ่อค้า พวกเราตระกูลเจียงมิสมควรไปข้องแวะด้วย เพราะจะถือว่าลดตัวไปข้องเกี่ยวกับพวกพ่อค้าที่หามีเกียรติอันใดไม่เจ้าค่ะ"
เจียงเม่ยยังคงใส่ไฟไม่หยุด แม้ว่าความจริงพวกเขาจะไม่ได้พูดรุนแรงถึงขั้นนี้ ทว่าการกระทำที่สั่งห้ามนางไปเยือนจวนตระกูลเหอนั้นล้วนเป็นความจริง
หลี่หลินถงเป่าหูบิดาของนางว่าคนตระกูลเหอหยาบคายไร้การศึกษา เกรงว่านางจะติดนิสัยเช่นนั้นจึงไม่ให้นางไปเยือนตระกูลเหออีก ส่วนจุดประสงค์ที่แท้จริงของหลี่หลินถงคือต้องการมิให้เจียงเม่ยมีคนหนุนหลังนั่นเอง
"ดี! ดีเหลือเกินเจ้าคนแซ่เจียง ถือสิทธิ์ว่าตนเองมีหน้าที่การงานใหญ่โตจึงได้ดูหมิ่นพวกข้าถึงเพียงนี้ คงลืมไปแล้วกระมังว่าเงินที่ใช้สอยในการสอบจอหงวนครั้งนั้นนั้นได้มาจากผู้ใด"
"ท่านลุง ยะ อย่าโกรธไปเลยนะเจ้าคะ ที่ข้ามาที่นี่เพราะยังมีเรื่องสำคัญอยากจะมาเตือนท่านลุงเจ้าค่ะ"
เหอต้าเจิงที่โกรธจนหน้าแดงก่ำหันกลับมามองหลานสาวทันที ดวงหน้าหวานที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตากัดริมฝีปากแน่น ดวงตาของนางที่เคยหม่นแสงพลันฉายแววจริงจังขึ้นมา
"เรื่องอันใดหรือ"
"ข้าได้ยินมาว่าแป้งทาหน้าขาวจากพวกชาวทะเลที่ท่านลุงตั้งใจจะลงทุนนั้นมีสารตะกั่วเจ้าค่ะ หากเหล่าสตรีใช้ไปนาน ๆ จะเกิดอาการเบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน มึนงง มือเท้าชา หรือตาบอด และอาจถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตเลยเจ้าค่ะ"
ในนิยายกล่าวว่าตระกูลเหอขาดทุน และเสียชื่อเสียงเรื่องแป้งทาหน้าขาวนี้เป็นอย่างมาก กว่าจะฟื้นตัวและเรียกความไว้วางใจกลับคืนมาได้ก็ตอนที่เจียงเม่ยได้กลายเป็นฮองเฮาไปแล้ว ซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกสิบปีข้างหน้า
"เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรเม่ยเอ๋อร์" เหอต้าเจิงขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย
"ข้าเคยอ่านหนังสือที่ได้มาจากพวกชาวทะเลเจ้าค่ะ ในนั้นบอกถึงกรรมวิธีการผลิตแป้งทาหน้าขาวที่ผสมสารตะกั่วลงไปด้วย แม้ว่าจะได้เนื้อแป้งที่ขาวเนียนละเอียด ทว่าก็ต้องแลกมาด้วยความตายเลยนะเจ้าคะ หากท่านลุงไม่เชื่อลองพิสูจน์โดยนำแป้งทาหน้าขาวไปละลายในน้ำแล้วรดน้ำต้นไม้ดูสิเจ้าคะ ถ้าต้นไม้ไม่โต ใบเหี่ยวเฉาลงแสดงว่าแป้งทาหน้าขาวนี้มีสารตะกั่วจริง ๆ เจ้าค่ะ"
เหอต้าเจิงได้ยินเช่นนั้นพลันร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมาในบัดดล หากนี่เป็นความจริงตามที่เจียงเม่ยเอ่ยออกมา ก็แสดงว่าเขากำลังจะทำให้ตระกูลพบกับความเสียหายแล้ว
"ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ"
"ข้าไม่กล้าโป้ปดท่านลุงหรอกเจ้าค่ะ ที่ข้าเสี่ยงถูกจับได้แล้วมาเตือนท่านลุงเช่นนี้ก็เพราะเป็นห่วงตระกูลเหอ แค่ข้าไม่ไปคารวะท่านตาท่านยายก็นับว่าอกตัญญูมากพอแล้วเจ้าค่ะ" เจียงเม่ยช้อนตามองเหอต้าเจิงด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
"ข้าจะลองทำตามที่เจ้าบอก หากนี่เป็นความจริงนับว่าเจ้าถือเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเหอ ตัวข้ารู้สึกละอายต่อใจนักที่เคยคิดไม่ดีต่อเจ้า"
เจียงเม่ยได้ยินเช่นนั้นพลันคลี่ยิ้มเบาบาง นางลุกขึ้นยืนแล้วคารวะเหอต้าเจิงอย่างเต็มพิธีการ
"ข้าอกตัญญูทำได้เพียงช่วยเหลือท่านลุงเล็กน้อยเท่านั้น ที่มาวันนี้เพราะมิอาจทนกักเก็บความอยุติธรรมที่ท่านพ่อและฮูหยินใหญ่กระทำต่อตนเองและคนตระกูลเหอได้ ข้าหวังว่าตระกูลเหอจะเป็นไม้ใหญ่ให้ข้าได้พึ่งพิงนะเจ้าคะ"
เหอต้าเจิงหัวเราะดังลั่นด้วยความถูกใจ ไม่พบกันแค่หนึ่งปีกว่าหลานสาวของเขารู้ความมากนัก ทั้งยังใจกล้ามิน้อยเลย
"ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเหอต้าเจิงคนนี้จะเป็นคนหนุนหลังให้เจ้าเอง! แม้ว่าข้าจะมิใช่ขุนนางใหญ่ ทว่าตระกูลเหอของเราก็มีเงินมีทองมากมายนัก ไม่ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใด ตระกูลเหอของเราย่อมต้องช่วยทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงอย่างแน่นอน"
เจียงเม่ยได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกตื้นตันใจนัก นางแค่ช่วยเขาเล็กน้อยแต่กลับได้รับประโยชน์กลับมามากมายนัก ไม่เสียแรงที่นางเริ่มเข้าหาท่านลุงก่อน เพราะท่านลุงคือผู้กุมสายบังเหียนของการค้าตระกูลเหอทั้งหมด ในภายหน้าจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับนางอย่างมากมาย
"ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ"
บทที่ 3เรื่องเหลวไหลหลังจากพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบจนอาหารที่สั่งไว้มาวางบนโต๊ะ เหอต้าเจิงก็ยังคงทานอาหารเย็นร่วมกับหลานสาว ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอยิ่งนัก ด้วยเจียงเม่ยมีพรสวรรค์ด้านการค้ามิน้อยเลย เมื่อเขาลองหยั่งเชิงนางก็สามารถเสนอความคิดเห็นได้อย่างชาญฉลาด นี่สิถึงจะเหมือนกับสายเลือดของคนตระกูลเหอ "วันนี้ข้าสนุกมากเลยเจ้าค่ะ แต่คงต้องรีบกลับจวนแล้ว ไว้คราวหน้าข้าจะหาทางไปคารวะท่านตาและท่านยายนะเจ้าคะ ส่วนเรื่องนั้น..." ประโยคท้ายนางมีความลังเลไม่แน่ใจ"เจ้าวางใจได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าขออย่างไม่มีตกหล่นเลยล่ะ""ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ""อืม... ไว้พบกันใหม่ วันนี้ข้าเองก็สนุกมากเหมือนกัน"เหอต้าเจิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำขลับของเจียงเม่ยด้วยความเอ็นดู การได้พบหลานสาวอีกครั้งถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด หากว่าเขานำเรื่องนี้ไปเรียนท่านพ่อกับท่านแม่ พวกท่านทั้งสองคงจะดีใจยิ่งนักจวนชินอ๋องภายในห้องหนังสือของจวนชินอ๋อง บุรุษผู้เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผู้มีดวงตาคมกริบดั่งกระบี่ คิ้วเรียวยาวพาดเหนือดวงตาคู่คม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางเฉียบที่ใ
บทที่ 2คำเตือนจากหลานสาวเจียงเม่ยเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นกิจการของตระกูลเหอ ตระกูลฝั่งมารดาของนางนั่นเอง ในนิยายคนตระกูลเหอล้วนดีกับนางทุกคน โดยเฉพาะท่านตากับท่านยายที่รักใคร่หลานสาวที่ต้องสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก ทว่าเพราะถูกฮูหยินใหญ่ข่มขู่และหวาดกลัวตระกูลหลี่ ทำให้ไม่กล้าแพร่งพรายความทุกข์ระทมที่อยู่ในจวนตระกูลเจียงเลย กว่าตระกูลเหอจะล่วงรู้ชะตาชีวิตอันน่าสงสารของเจียงเม่ยก็เป็นช่วงท้ายเรื่องแล้ว "เชิญขอรับ มิทราบว่าต้องการเป็นห้องรับรองส่วนตัวหรือไม่ขอรับ"ผู้ดูแลร้านรีบเข้ามาต้อนรับเจียงเม่ยด้วยท่าทางนอบน้อม "ช่วยไปเรียนท่านลุงว่าข้าเจียงเม่ยต้องการพบหน้าท่านลุงสักครา"หลงจู๊พลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคุณหนูใหญ่เจียง ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นสตรีร้ายกาจ ชอบรังแกบ่าวไพร่ในเรือน และเป็นสตรีที่เกียจคร้านการเล่าเรียน แม้แต่สำนักศึกษาก็ยังไม่ไป น้อยคนนักที่จะเคยได้พบนาง"ขออภัยขอรับ ข้าน้อยต้องไปเรียนนายท่านเสียก่อน มิรู้ว่านายท่านจะว่างมาพบคุณหนูใหญ่เจียงหรือไม่นะขอรับ" สายตาที่หลงจู๊ใช้มองเจียงเม่ยมีความกังขา ไม่รู้ว่าการมาของเจียงเม่ยนั้
บทที่ 1ไสหัวไปหลังจากกลับมาที่เรือนของตน เจียงเม่ยก็หยิบพัดทั้งสามขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าพัดทั้งสามล้วนเป็นพัดที่ทำจากกระดาษเนื้อดีอันขึ้นชื่อของเมืองหลวงทั้งสิ้น นางพยายามขุดคุ้ยความทรงจำของนางเอก จึงได้พบว่าเจียงซูฉีต้องการนำพัดพวกนี้ไปอวดในงานเลี้ยงน้ำชาชมดอกโบตั๋น โดยงานเลี้ยงนี้จัดขึ้นที่จวนท่านเสนาบดีกรมคลัง ซึ่งนางไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วย'อืม... ไม่เคยวาดภาพซะด้วยสิ จะทำยังไงต่อดีล่ะเนี่ย'เจียงเม่ยหยิบพู่กันขึ้นมาแตะแต้มสีที่สาวใช้จัดเตรียมไว้ให้ ทว่าทันทีที่นางจับพู่กัน จู่ ๆ มือของนางก็ตวัดวาดลวดลายบนพัดอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็บังเกิดภาพวาดดอกโบตั๋นสีแดงที่งดงามจับใจ เจียงเม่ยวางพู่กันในมือลงด้วยความตกตะลึง ก่อนจะผุดยิ้มกว้างด้วยความยินดี'อ่า... สวรรค์ไม่ได้ใจร้ายเกินไปสินะ ยังให้สกิลนางเอกติดตัวมาด้วย หึ ๆ อย่างนี้ก็ยิ่งน่าสนุกน่ะสิ'เจียงเม่ยเหยียดยิ้มกว้างด้วยความยินดี นางจัดการวาดภาพดอกโบตั๋นบนพัดนั้นจนแล้วเสร็จ หยิบผลงานของตนเองขึ้นมาดูด้วยความถูกใจ แม้จะไม่มีความรู้เรื่องการวาดภาพ แต่ฝีพู่กันและการลงสีของนางถือว่าลายเส้นมั่นคง รูปวาดมีมิติราวกับมีชีวิตอย่า
บทนำ"เอาล่ะเด็ก ๆ วันนี้ก็ทำให้เต็มที่เลยนะ ครูเป็นกำลังใจให้ ถ้าการแข่งครั้งนี้คว้าที่ 1 มาได้ ครูจะพาไปเลี้ยงไอศกรีมเลย""เย้! ครูดาวใจดีที่สุดเลยครับ"เด็กชายกลุ่มใหญ่ในชุดกีฬาสีเสื้อสีแดงโห่ร้องเสียงดังก้องด้วยความยินดี วันนี้คือการแข่งขันฟุตบอลในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4- 6 ซึ่งการแข่งรอบนี้คือการแข่งรอบชิงชนะเลิศ โดยมีครูดาวผู้เป็นนักศึกษาครูฝึกสอนปีสุดท้ายเป็นผู้ฝึกซ้อมพวกเขาด้วยตนเอง ครูดาวคือคุณครูพละแสนสวยขวัญใจของนักเรียน"ไป ๆ ทำให้เต็มที่เลยนะ"ครูดาวปรบมือให้สัญญาณเด็ก ๆ วิ่งเข้าสู่สนาม พวกเด็ก ๆ ต่างหันมาโบกมือยิ้มร่า ก่อนจะรีบวิ่งลงไปยังสนามด้วยหัวใจอันตื่นเต้นการแข่งขันล่วงเข้าสู่นาทีสุดท้ายแล้วซึ่งเด็ก ๆ ต่างทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ผลคะแนนอยู่ที่ 1-1 ในช่วงสุดท้ายของเกมกัปตันทีมของสีแดงกำลังเลี้ยงบอลเพื่อยิงเข้าประตูของฝ่ายตรงข้าม ครูดาวลุ้นระทึกด้วยความตื่นเต้น เธอยืนอยู่ข้างสนามท่ามกลางแสงแดดอันเจิดจ้าอย่างไม่นึกร้อนทว่าในตอนที่ลูกบอลพุ่งตรงเข้าประตูของทีมสีเหลืองนั้น ครูดาวกลับรู้สึกว่าร่างของเธอผิดปกติ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง ในตอน







