LOGINบทที่ 5
โฉมงามร่ำไห้ เจียงซูฉีรู้สึกอับจนหนทางเหลือเกิน นางไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะมาเสียรู้ให้กับเจียงเม่ยเช่นนี้ได้ ต้องเป็นเพราะนังเจียงเม่ยต้องการกลั่นแกล้งนางเป็นแน่ ถึงได้วาดนกยวนยางเช่นนี้ ช่างน่าเจ็บใจนัก! "เจ้าไม่ต้องกลัวนะฉีเอ๋อร์ หากเจ้าบอกว่าไม่ได้ทำก็แสดงว่าเจ้าไม่ได้ทำ แต่ว่า... ภาพวาดบนพัดนั้นเจ้าไม่ได้เป็นคนวาดเองหรอกหรือ เช่นนั้นแล้วเป็นผู้ใดวาดเล่า" เสิ่นเยว่สือเข้ามาปลอบสหายด้วยความเห็นใจ ทว่าคำพูดของนางราวกับกำลังจะประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าเจียงซูฉีเป็นสตรีโกหก ชื่อเสียงอันดีงามที่สั่งสมมานาน เห็นทีจะต้องมัวหมองในวันนี้เสียแล้ว "ข้า ข้า ฮือ ๆ หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ เพคะว่ารูปนกยวนยางนั้นเป็นฝีมือของผู้ใด ด้วยตอนหม่อมฉันวาดรูปก็มีเพียงสาวใช้ และ และพี่หญิงใหญ่เท่านั้นเพคะ" เจียงซูฉีจะไม่ยอมรับเป็นอันขาดว่านางนั้นไม่ได้เป็นคนวาดรูปเอง มิเช่นนั้นคงได้ถูกผู้คนหัวเราะเยาะเป็นแน่ มีเพียงแค่ทางเดียวคือการโยนความผิดทั้งหมดให้กับเจียงเม่ย เสิ่นเยว่สือเอ่ยถาม "เช่นนั้นนี่ก็เป็นฝีมือของคุณหนูใหญ่เจียงหรือ" "ข้าไม่แน่ใจ บางทีอาจจะเป็นคนอื่นก็ได้" เจียงซูฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตนเอง ไหล่เล็กที่ลู่ลงทำให้คนมองรู้สึกเห็นใจยิ่งนัก หรงป๋อไฉ่เองก็เกือบจะเชื่อไปแล้วว่านี่คือการกลั่นแกล้งในหมู่พี่สาวน้องสาว ทว่าเมื่อเขาหยิบพัดในมือของเสิ่นฮูหยินกลับมาแล้วพิจารณาอีกครั้ง กลับรู้สึกว่าน้ำหนักการลงสีที่มีทั้งหนักและเบาของนกยวนยางนั้น ช่างเหมือนกับต้นหลิวลู่ลมยิ่งนัก "อืม... ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็ต้องขออภัยคุณหนูรองเจียงด้วย" "หามิได้เพคะ ทั้งหมดเป็นความสะเพร่าของหม่อมฉันเองที่ไม่ได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ทำให้องค์รัชทายาทต้องรู้สึกไม่ดีไปด้วย หม่อมฉันต้องขออภัยจริง ๆ เพคะ" ใบหน้าที่เคยซีดขาวพลันคลี่ยิ้มบางด้วยความโล่งใจ หัวใจที่เคยเต้นระรัวด้วยความตื่นกลัวพลันกลับมาเต้นปกติดังเดิม "ช่างเรื่องนั้นเถิด แต่ว่า... ข้าเองชอบฝีพู่กันของคุณหนูรองเจียงมาก และข้าเองก็มีพัดที่ไม่ได้วาดลวดลายใดเลย หากข้าจะขอให้คุณหนูรองเจียงช่วยวาดต้นหลิวลู่ลมบนพัดของข้าตอนนี้เลยได้หรือไม่" เจียงซูฉีที่คลี่ยิ้มหวานพลันชะงักงันด้วยความตกใจ นางตกใจจนแทบจะกักเก็บสีหน้าอันสุขุมของตนไม่ได้เลย หรงป๋อไฉ่ที่เห็นเช่นนั้นลอบยิ้มในใจ สตรีผู้นี้ช่างร้ายกาจไม่เบาเลย โยนความผิดให้กับพี่สาวของตนเองอย่างหน้าตาเฉย เขาที่ชมชอบเรื่องสนุกแทบจะอดใจรอไม่ไหวเลย "มะ หม่อมฉันเกรงว่า..." "อ่า... ข้าคงจะขอมากเกินไปสินะ ทำให้เจ้าต้องลำบากใจเสียแล้วสิ" "มะ ไม่ใช่เช่นนั้นนะเพคะ คะ คือว่า..." "ช่างเถอะ! ในเมื่อเจ้าไม่สะดวกใจที่จะวาดรูปให้กับข้า ข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจเจ้า เช่นนั้นข้าขอตัวกลับตำหนักบูรพาเลยก็แล้วกัน" หรงป๋อไฉ่คร้านจะอดทนฟังคำแก้ตัวของเจียงซูฉีแล้ว เพียงแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่านางโกหก "อะ องค์รัชทายาท!" เจียงซูฉียืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ด้วยหรงป๋อไฉ่ได้กล่าวอำลาเสิ่นฮูหยินแล้วลุกจากไปทันที ตัวเขาที่เดินผ่านร่างของเจียงซูฉีนั้นมีแต่ความเย็นชา ใบหน้าอันหล่อเหลาไม่แม้แต่จะชายตาแลนางเลย สร้างความปวดใจให้กับเจียงซูฉีเป็นอย่างมาก "ฮึก ๆ" เมื่อหรงป๋อไฉ่จากไปแล้ว เจียงซูฉีก็มิอาจมีหน้าอยู่ต่อได้อีกแล้ว นางทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้กังขาในฝีมือการวาดภาพเสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นมีแต่จะต้องรีบกลับจวนแล้วไประบายโทสะใส่เจียงเม่ย ผู้ที่ทำให้นางต้องอับอายขายหน้าทุกคน โดยเฉพาะองค์รัชทายาทผู้เป็นบุรุษในดวงใจของนาง!! จวนตระกูลเจียง เจียงเม่ยถูกตามตัวให้มาที่เรือนหลักเป็นการด่วน นางก็พอจะคาดเดาได้แล้วล่ะว่าเรื่องอะไร เพราะในนิยายมีเขียนไว้ว่าเจียงซูฉีจะนำพัดที่นางเอกวาดไปมอบให้กับองค์รัชทายาท ทว่าในนิยายไม่มีใครสงสัยแต่กลับชื่นชมในฝีมือของเจียงซูฉี กว่าทุกอย่างจะเปิดเผยว่าที่ผ่านมาการวาดภาพของเจียงซูฉีคือฝีมือของเจียงเม่ย ก็เป็นตอนที่ทั้งสองเข้ารับการคัดเลือกพระชายาขององค์รัชทายาท ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า แต่นางได้วาดภาพนกยวนยางเพื่อสร้างสถานการณ์ยากลำบากให้กับเจียงซูฉี คนฉลาดเช่นองค์รัชทายาทจะต้องจับสังเกตได้เป็นแน่ "เจียงเม่ยคารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ" เพล้ง! ถ้วยชาในมือของหลี่หลินถงพลันถูกเขวี้ยงใส่หน้าของเจียงเม่ย ทว่าตัวนางกลับเบี่ยงตัวหลบได้ทัน ทำให้ถ้วยน้ำชาที่ถูกเขวี้ยงมานั้นหล่นตรงแทบเท้าของนาง น้ำชาบางส่วนยังกระเด็นเปื้อนชายอาภรณ์ของนางด้วย "บังอาจหลบอย่างนั้นหรือ เจ้าคงปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาแล้วสินะเจียงเม่ย!" หลี่หลินถงชี้หน้าเจียงเม่ยอย่างมีโทสะ เจียงเม่ยพลันแสยะยิ้มมุมปาก "ท่านเป็นถึงฮูหยินใหญ่แต่กลับกระทำกิริยาเช่นนี้ข้ารู้สึกตกใจยิ่งนัก มิทราบว่าข้าทำผิดอันใดร้ายแรง จนฮูหยินใหญ่แสดงกิริยาที่ไร้การศึกษาเช่นนี้กันเจ้าคะ" "จะ เจ้า!!" เพียะ! เจียงซูฉีที่ยืนอยู่ด้านข้างมิอาจทนได้ นางตรงดิ่งเข้ามาตบหน้าของนังพี่สาวตัวดีเต็มแรง ใบหน้านวลพลันขึ้นสีแดงก่ำ รอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏชัดบนใบหน้าของเจียงเม่ยอย่างชัดเจน ริมฝีเล็กพลันปริแตกจนมีเลือดไหลซึมออกมา ทว่าเจียงเม่ยหาได้รู้สึกเจ็บปวดไม่ นางเพียงเช็ดคราบเลือดของตนออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าน้องสาวตัวดีด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก "ทำร้ายข้าที่เป็นพี่สาวถึงเพียงนี้ เจ้าคงรอรับผลที่จะตามมาแล้วสินะเจียงซูฉี" "หึ! ขยะไร้ค่าอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ต่อให้วันนี้ข้าตีเจ้าให้ตายก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวโทษข้า" เจียงซูฉีเชิดหน้าตอบอย่างไม่กลัวเกรง นางมองเจียงเม่ยผู้นี้เป็นเพียงก้อนกรวดที่ขวางหูขวางตานางเท่านั้นเอง "เช่นนั้นข้าก็จะเป็นขยะไร้ค่าที่คนเช่นเจ้ามิอาจมาเทียบเคียงได้" เจียงเม่ยประกาศกร้าวออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เจียงซูฉีได้ยินเช่นนั้นก็มิอาจกักเก็บความโกรธได้อีกต่อไป นางตรงเข้ามาทุบตีเจียงเม่ยด้วยความโกรธแค้น โดยมีหลี่หลินถงจิบน้ำชามองดูการกระทำของบุตรสาวด้วยสายตาเรียบเฉย เจียงเม่ยเองก็ทำเพียงปัดป้องเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เวลานี้ใบหน้าของนางมีรอยแดงจากฝ่ามือของเจียงซูฉีทั้งสองข้าง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงราวกับภูตผีอย่างไรอย่างนั้น "ฮูหยินเจ้าคะ คนจากจวนตระกูลเหอมาขอพบคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ" สาวใช้เข้ามารายงานด้วยสีหน้าย่ำแย่ "เม่ยเอ๋อร์ไม่สบาย ตอนนี้ไม่สะดวกให้ผู้ใดเข้าพบ" หลี่หลินถงพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดคนตระกูลเหอจะต้องมาที่นี่วันนี้ด้วย นางคิดว่าพวกเขาตัดขาดจากเจียงเม่ยไปแล้วเสียอีก แล้วเพราะเหตุใดกันเล่าคนพวกนี้ถึงยังมาหาเจียงเม่ยอีกเล่า สายตาของหลี่หลินถงที่ใช้มองเจียงเม่ยเต็มไปด้วยความกังขา ดูท่าว่าเจียงเม่ยจะไม่ได้ว่าง่ายดั่งเช่นกาลก่อนเสียแล้ว... "บะ บ่าวแจ้งแล้วเจ้าค่ะ แต่พวกเขาก็ยังยืนกรานว่าจะพบคุณหนูใหญ่ให้ได้เลยเจ้าค่ะ ละ และตอนนี้ก็มีชาวบ้านมิน้อยเลยที่เริ่มมามุงดูหน้าประตูจวนเจ้าค่ะ" "เฮ้อ... เช่นนั้นเจ้าก็ไป..." "นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดเม่ยเอ๋อร์ถึงมีสภาพเช่นนี้กันเล่า" น้ำเสียงแหบต่ำของ 'จางหยุนผิง' ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเหอดังขึ้นตรงหน้าประตูห้องโถง โดยด้านหน้าของพวกเขามีเจียงลู่ที่เดินนำหน้ามา พวกเขาทั้งหมดล้วนติดตามท่านประมุขตระกูลเจียงเพื่อเข้ามาเยี่ยมหลานสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน ทว่าภาพที่พวกเขาเห็นนั้น กลับทำให้สีหน้าของสองผู้เฒ่าตระกูลเหอหม่นคล้ำลงทันที "เห็นทีท่านเสนาบดีคงต้องอธิบายเรื่องนี้ให้คนแก่อย่างข้าแล้วล่ะ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน! เหตุใดหลานสาวของข้าที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่ถึงได้มีสภาพน่าอนาถถึงเพียงนี้!!" 'เหอจื้อหลิน' นายท่านผู้เฒ่าแห่งตระกูลเหอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เขารีบรุดเข้าไปพยุงร่างของหลานสาวที่บวมช้ำไปทั้งตัวให้ลุกขึ้นยืน สายตาแห่งความไม่พอใจพลันตวัดมองเจียงซูฉีด้วยความโกรธเคือง สมควรตายนัก!!บทที่ 18สตรีผู้นี้ไม่ได้เจียงเม่ยวางมือลงบนสายพิณอย่างนุ่มนวล ก่อนที่นางจะเริ่มบรรเลงบทเพลงเสนาะหูให้ผู้คนในลานกว้างได้รับฟัง เสียงพิณของนางให้ความรู้สึกล่องลอย ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางปุยเมฆสีขาวนุ่ม ร่างกายเบาบางเคล้าคลอไปกับเสียงพิณที่นิ้วเรียวบางตั้งใจบรรเลง เมื่อสายพิณเสียงสุดท้ายจบลงทุกคนต่างมองมาทางเจ้าของใบหน้างดงามด้วยความตกตะลึง"ฝีมือการดีดพิณของคุณหนูใหญ่เจียงเยี่ยมยอดนัก มิทราบว่าเจ้าได้อาจารย์ที่ไหนเป็นผู้ฝึกสอนหรือ" ไป๋อิงฮวาตรัสถามด้วยความสงสัย เสียงดีดพิณนี้ช่างคล้ายคลึงกับคนที่พระนางรู้จักนัก"กราบทูลฮองเฮา หม่อมฉันศึกษาจากตำราที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้เพคะ""เจ้าไม่มีอาจารย์ฝึกสอนหรือ""เพคะ หม่อมฉันโง่เขลาจึงมิอาจเรียนร่วมกับน้องรองที่มากความสามารถได้เพคะ"ประโยคเดียวของนางก็ทำให้ผู้คนรู้แจ้งถึงความเป็นอยู่ของนางในจวนตระกูลเจียง ดูท่าว่านางคงจะถูกฮูหยินใหญ่กลั่นแกล้งมิน้อยเลย ทว่าหยกงามยังไงก็เป็นหยกงามอยู่วันยังค่ำสินะหลังจากนางกำนัลนำพิณไปเก็บ แล้วนำกระดานหมากมาวาง เจียงเม่ยจึงได้เริ่มเดินหมากด้วยความสามารถอันน้อยนิด ด้วยนางไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน ส่วนในชาติก่อนก็เคยแต่เล
บทที่ 17คัดเลือกพระชายาหญิงสาวที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทจะต้องเป็นสตรีบริสุทธิ์ มีฐานะชาติตระกูลที่ดีโดยให้ถือกำเนิดจากภรรยาเอกและภรรยารองเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องมีหน้าตางดงามหมดจด ไม่มีไฝฝ้าหรือรอยแผลเป็นให้ระคายสายตา กิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวานสมกับเป็นสตรีชนชั้นสูง เมื่อผ่านการคัดเลือกรอบแรก หลังจากนั้นจึงตรวจสุขภาพร่างกายของพวกนาง หากแม้นว่าร่างกายผิดปกติจนมิอาจให้กำเนิดทายาทได้ก็จะถูกคัดออกไป และเมื่อพวกนางผ่านเกณฑ์นี้แล้วต่อไปก็จะเป็นการทดสอบความสามารถด้านศิลปะ ดนตรี เขียนกลอน ปักผ้า และการเดินหมากล้อม หลังจากนั้นก็จะให้องค์รัชทายาทและฮองเฮาทรงตัดสินว่าจะแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นพระชายา ซึ่งการทดสอบความสามารถนั้นจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้านี้เจียงลู่ที่รู้ข่าวว่าเจียงเม่ยผ่านรอบแรกได้อย่างฉลุย เขาก็รีบตรงมาหานางที่เรือนทันที พร้อมกับสั่งให้พ่อบ้านนำเงินมาให้นางถึงหนึ่งหีบ เพื่อให้นางนำไปซื้อเครื่องประดับที่จะใช้ในอีกสามวันข้างหน้านี้ร้านฮวาฮวาเจียงเม่ยมาที่ร้านฮวาฮวาซึ่งเป็นร้านขายเครื่องประดับที่ขึ้นชื่อของเมืองหลวง นางต้องการมาให้เจ้าของร้า
บทที่ 16ปะทะฝีปากหลังจากจัดการงานศพของเจียงซูฉีเรียบร้อยแล้ว จวนตระกูลเจียงก็ได้ถึงคราวเปลี่ยนแปลง เมื่อเจียงซูเหวินที่ควรจะกลับไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาที่เมืองเฉิงตูนั้น กลับย้ายกลับมาศึกษาเล่าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงแทน โดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงมารดาที่เพิ่งสูญเสียพี่สาวไป เจียงลู่ได้ยินเช่นนั้นแม้จะนึกเสียดายโอกาสอันดีที่จะได้สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูล อันเนื่องจากสำนักศึกษาที่เมืองเฉิงตูนั้นมีชื่อเสียงมากนัก ทว่าตัวเขานั้นตามใจเจียงซูเหวินมาก ด้วยเขาคือบุตรชายเพียงคนเดียวที่จะต้องสืบทอดตระกูลเจียงต่อจากเขาเจียงซูเหวินที่รู้ดีว่าเจียงลู่ตามใจเขามาก เขาจึงใช้โอกาสนี้ในตอนที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อเอ่ยเรื่องสำคัญ"ท่านพ่อขอรับ ข้าเห็นควรว่าพี่หญิงใหญ่ก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว เราควรจะรีบเสาะหาเจ้าบ่าวให้พี่หญิงใหญ่ดีหรือไม่ขอรับ"เจียงลู่ที่กำลังทานอาหารอย่างสำราญใจวางตะเกียบลงทันที "เหตุใดเจ้าถึงอยากจะให้พี่สาวของเจ้ารีบแต่งงานออกไปเล่า""ก็เพราะการตายของพี่รองอาจจะส่งผลกระทบกับการแต่งงานของพี่หญิงใหญ่ก็ได้นี่ขอรับ ข้าเกรงว่าเราจะหาเจ้าบ่าวดี ๆ ไม่ได้อีกแล้ว คุณชายใหญ่ตระกูลลั่วแห่งเมืองเป
บทที่ 15แหวนหยกที่ถอดไม่ออกข่าวการตายของเจียงซูฉีโด่งดังในชั่วข้ามคืน ทุกคนต่างตกใจเมื่อได้ทราบข่าวนี้ เช่นเดียวกับน้องชายเพียงคนเดียวของเจียงซูฉี 'เจียงซูเหวิน' คุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลเจียง ผู้มีสิทธิ์สืบทอดตระกูลเจียงคนต่อไป เขาคือเด็กหนุ่มเลือดร้อนเจ้าแผนการที่มีอายุเพียง 15 เท่านั้นเมื่อรู้ว่าพี่สาวได้จากไปแล้วจึงตกใจมาก เขาเร่งเดินทางจากสำนักศึกษาแห่งเมืองเฉิงตูที่อยู่ทางทิศบูรพาเพื่อกลับมายังเมืองหลวงทันที"ฮือ ๆ อาเหวินของแม่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ฮือ ๆ แม่ไม่เหลือใครอีกแล้ว มีเพียงเจ้าเท่านั้น"ทันทีที่หลี่หลินถงเห็นหน้าบุตรชายก็โผเข้ากอดเขาอย่างหาที่พึ่งพิง มีเพียงเจียงซูเหวินเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างนาง และเขาจะต้องหาทางช่วยกำจัดเจียงเม่ยเป็นแน่ เพราะตัวเขารักและเทิดทูนเจียงซูฉีเป็นอย่างมาก"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ เหตุใดพี่รองถึงได้ตาย เรื่องนี้มีเงื่อนงำใช่หรือไม่ขอรับ"หลี่หลินถงสะดุ้งโหยง ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าของตน นางเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างไม่มีตกหล่นให้กับบุตรชายได้ฟัง รวมถึงแผนการของนางที่ได้วางเอาไว้ด้วย เจียงซูเหวินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดถึงกับปวดหัว
บทที่ 14ซ่งหยางจวนตระกูลซ่งซ่งหยางและคนของเขากลับมาถึงจวนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะมีชินอ๋องและองค์รัชทายาทเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยังดีที่พวกเขายังไม่ได้ทันลงมือทำอะไรไปมาก มิเช่นนั้นคงได้เผยพิรุธออกมาเป็นแน่ "ส่งคนไปจับตาดูจวนตระกูลเจียงด้วย หากมีเรื่องอันใดให้รีบมารายงานข้าทันที""ขอรับนายท่าน" บ่าวชายออกไปทำตามคำสั่งโดยไวเมื่อซ่งหยางเข้ามาในห้องหนังสือ เขาก็นั่งมองป้ายหยกของเขาที่ได้คืนกลับมาในตอนที่เข้าไปช่วยเจียงเม่ย คราแรกคิดว่าตัวเขาคงจะทำหายไปเสียแล้วแต่นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจียงเม่ยจะเก็บเอาไว้ให้ โชคดีจริง ๆ ที่ป้ายหยกของเขาไม่ได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชินอ๋อง มิเช่นนั้นคงมีเรื่องวุ่นวายเป็นแน่"นายท่านขอรับ คนของเราส่งของเรียบร้อยแล้วขอรับ แม้ว่าครั้งก่อนจะเกิดปัญหาขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับคนของแคว้นเหลียงขอรับ พวกเขายังบอกว่าครั้งหน้าขอเพิ่มจำนวนเป็นเท่าตัวขอรับ"บุรุษวัยกลางคนรับฟังคำรายงานจากคนของตนอย่างอารมณ์ดี เรื่องในวันนี้ทำให้เขาได้ครุ่นคิดอะไรได้มากมายเชียวล่ะ"หึ ๆ ช่างเป็นเรื่องดีนัก เราทำการค้ากับคนแคว้นเหลียงมาหลายสิบปีแล้ว แค่ติดข
บทที่ 13ความผิดของเจ้าเช้าวันนั้นหรงป๋อไฉ่ได้พาตัวเจียงซูฉีกลับมายังจวนตระกูลเจียงได้สำเร็จ ทว่าช่างน่าเสียดายนักที่เขามิอาจช่วยนางเอาไว้ได้ทัน ตอนที่เขาไปถึงรังโจรก็พบว่านางได้ขาดใจตายไปเสียแล้ว เมื่อตรวจสอบสภาพศพก็พบว่าช่างน่าอเนจอนาถยิ่งนัก สภาพศพของนางมีแต่ร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกาย ไม่มีพื้นที่ใดเลยที่จะไม่มีรอยเขียวช้ำ รอยขบกัด และสาเหตุที่นางตายก็เพราะถูกบีบคอจนตายนั่นเอง เขาคาดว่านางน่าจะต่อสู้กับโจรอย่างสุดกำลัง แต่แรงสตรีมิอาจสู้แรงบุรุษได้ เพราะเช่นนั้นนางจึงถูกโจรที่โมโหจนขาดสติแล้วพลั้งมือบีบคอนางจนตาย ทว่าก่อนนางตายคงได้รับความทุกข์ทรมานมาก ด้วยสิ่งที่สตรีหวงแหนมากที่สุดได้ถูกโจรผู้นั้นพรากไปเสียแล้ว ส่วนหัวหน้าโจรผู้นั้นเขาก็ได้จับตัวนำกลับมาสอบสวนที่เมืองหลวง"ฉีเอ๋อร์ของแม่ ฉีเอ๋อร์ของแม่ นะ นี่..."หลี่หลินถงยืนแข็งค้างด้วยความตะลึงงัน นางมองดูร่างที่ไร้วิญญาณของบุตรสาวที่ถูกวางอยู่บนพื้นด้วยความตกใจ เรี่ยวแรงที่เคยมีมาแทบจะไม่หลงเหลือแล้ว ร่างกายอันสั่นเทิ้มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาร่างที่หลับตาสนิทราวกับคนนอนหลับด้วยความไม่แน่ใจ มือเรียวของนางเอื้อมไปอังจมูกของเจีย







