ตู้ซื่อเมื่อเอ่ยเรื่องหนี้สินในจวนออกมา ใบหน้าของนางก็เคร่งเครียดขึ้น แล้วเริ่มมองไปทางนายท่านกงที่สร้างเรื่องไว้มากมาย
“มิใช่บิดาของเจ้ารึที่ก่อเรื่องเอาไว้ เอาเถิดข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่เมื่อแต่งนางเข้ามาแล้ว เจ้าต้องรับเยียนเออร์เข้ามาเป็นฮูหยินรองทันที เข้าใจหรือไม่” นางหันไปคาดคั้นบุตรชายของนาง
“ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับ ว่าข้ารับปากท่านหมอหลิว เรื่องที่จะไม่รับฮูหยินรองหรืออนุเข้าเรือนหลัง” กงหลี่เฉียงเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“แล้วอย่างไรเล่า หากนางตั้งครรภ์มิได้ เจ้าจะแต่งอนุเข้าจวน เรื่องนี้จะมีผู้ใดว่าเจ้าได้กัน” เมื่อได้ยินคำของมารดาดวงตาของกงหลี่เฉียงก็เปล่งประกายขึ้นมา
นายท่านกงมองสองแม่ลูกสนทนากันอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งคู่จะจัดการเรื่องนี้เช่นไรเขาไม่สน แต่ต้องแต่งเยว่ชิงเข้าจวนให้ได้เสียก่อน เพื่อนำสินเดิมของนางมาชดใช้หนี้ที่เขาสร้างไว้
ทางด้านเยว่ชิงเมื่อรู้ว่าพวกตระกูลกงเดินทางกลับไปแล้ว จึงได้ออกจากเรือนไปพบบิดาเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“พ่อบอกให้พวกเขารอจนกว่าเจ้าจะหายป่วย”
“ท่านพ่อไม่ปฏิเสธไปเลยเล่าเจ้าคะ” เยว่ชิงอดที่จะกังวลไม่ได้
“เจ้าอย่าได้รีบร้อน หากปฏิเสธโดยที่กงหลี่เฉียงไม่มีความผิด ไม่เท่ากับว่าความผิดเกิดจากที่ตัวเจ้าอย่างนั้นรึ เรื่องนี้ปล่อยให้พ่อจัดการเถิด”
เยว่ชิงเห็นด้วยกับคำพูดของบิดา ทั้งสองจึงสนทนาเรื่องอื่นกันต่อ หมอหลิวยังเอ่ยเรื่องที่นางตู้ซื่อมีท่าทีแปลกๆ อีกด้วย
“ท่านพ่อ ท่านลองสืบเรื่องหนี้สินของตระกูลกงสิเจ้าค่ะ ท่านจะได้รู้ว่าอีกเหตุผลที่นางตู้ซื่อยอมให้กงหลี่เฉียงแต่งกับลูกแทนที่จะเป็นหลานสาวบ้านเดิมของนาง”
หมอหลิวมองบุตรสาวอย่างช่างใจ เพราะเรื่องหนี้สินของตระกูลกงเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และรู้ว่าหากเขายังไม่รู้บุตรสาวก็คงไม่รู้อย่างแน่
ถ้าหากสืบพบเป็นเรื่องจริง มิใช่ว่าความฝันที่นางเอ่ยเล่าก็เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ
“ได้ พ่อจะลองสืบเรื่องนี้เอง” ถึงอย่างไรการแต่งงานของบุตรสาวเขาจะเลือกบุรุษอย่างลวกๆ ไม่ได้ เพราะมันคือชีวิตของนางทั้งชีวิต
หลายวันหลังจากวันที่ตระกูลกงมาเยือน เยว่ชิงนางยังคงเก็บตัวอยู่แต่ภายในจวนมิได้ออกไปที่ใด
กงหลี่เฉียงขอเข้าเยี่ยมนางแทบจะทุกวัน แต่นางก็ยังคงไม่ยินยอม บ่าวไพร่ในจวนต่างสงสัยเรื่องนี้กันไม่น้อยที่คุณหนูของพวกเขาเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน
หากเป็นเมื่อก่อนที่กงหลี่เฉียงมาพบที่จวน นางจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และจะออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกกับเขาอยู่เสมอ แต่นี่แม้แต่เรื่องหมั้นหมายก็ผลัดแล้วผลัดอีก ไม่ยอมพูดคุยให้รู้เรื่อง
หมอหลิวที่กลับมาจากวังหลวง นั่งมองสารตรงหน้าด้วยใบหน้าไม่สู้ดี คนของเขาที่ออกไปสืบเรื่องตระกูลกงได้หลักฐานกลับมาไม่น้อย
ทั้งเรื่องความสัมพันธ์กับตู้ซิงเยียน และเรื่องหนี้สินที่นายท่านกงติดหนี้บ่อนการพนันอยู่ไม่น้อย
“ไปเรียกชิงเออร์มา” เขาเอ่ยสั่งบ่าว
เยว่ชิงที่กำลังตรวจสอบเรื่องสมุนไพรที่นางให้บ่าวทั้งบดทั้งตากอยู่ที่เรือนเก็บสมุนไพร จำต้องหยุดมือ แล้วตามบ่าวไปพบบิดาที่ห้องตำรา
“ท่านพ่อ เรียกหาลูกหรือเจ้าคะ”
“ชิงเออร์ เจ้าดูนี่” เขาผลักกองจดหมายตรงหน้าไปให้บุตรสาวได้ดู
เยว่ชิงนางเพียงแค่อ่านผ่านๆ เพราะเรื่องทั้งหมดนางล้วนแต่พบเจอมาหมดแล้ว
"ท่านเชื่อข้าแล้วใช่หรือไม่ท่านพ่อ" หมอหลิวเงยหน้ามองบุตรสาวที่นางยังมีสีหน้าเรียบเฉยมิได้ตกใจเช่นเขา
“หึ คงต้องการสินเดิมของเจ้าไปใช้หนี้ที่พอกพูนอย่างแน่นอน” หมอหลิวยิ้มเย็นออกมา
“หลักฐานมากเพียงนี้ ท่านคงหาทางปฏิเสธได้แล้วใช่หรือไม่เล่าท่านพ่อ” เยว่ชิงอมยิ้มมองบิดา
“เรื่องนี้พ่อคิดไว้แล้ว แต่เรื่องความฝันของเจ้า พ่อยังค้างคาอยู่ ชิงเออร์มันเป็นความฝันจริงรึ หรือมีผู้ใดมาบอกเจ้า” เขาคิดว่าคงมีผู้หวังดีมาบอกนาง หากจะบอกว่าเป็นความฝันก็ดูจะเกินจริงไป
“ท่านพ่อ หากข้าพูดไปท่านจะเชื่อหรือไม่” นางถอนหายใจออกมา หากไม่บอกบิดาคงยกเรื่องนี้มาถามนางไม่เลิกแน่
“เจ้าพูดมาเถิด” หมอหลิวขยับตัวไปใกล้บุตรสาว เพื่อจะได้ฟังเรื่องที่นางจะเล่า
“ข้าย้อนเวลากลับมาเจ้าค่ะ”
“เพ้ย มันใช่เรื่องล้อเล่นหรือไร เจ้าเป็นไข้ใช่หรือไม่” หมอหลิวมองหน้าบุตรสาวด้วยสายตาเป็นห่วง
“โถ่ ท่านพ่อ ข้าพูดจริงเจ้าค่ะ เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร” นางจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะย้อนกลับมา
ว่านางได้แทงหน้าอกตนเอง พร้อมทั้งกล่าวคำสาบานและสาปแช่งกงหลี่เฉียงไว้
“ก่อนตายข้ายังได้ยินเสียงของท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ” นางเอื้อมมือไปจับมือของบิดาไว้
หมอหลิวจึงได้รู้ว่าสิ่งที่บุตรสาวพูด คงเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว เพราะแววตาของนางมีทั้งความเจ็บปวด ทั้งแค้นใจอย่างหาสิ่งใดมาเปรียบ
“เอาเถิด หากเจ้าว่าเช่นนี้ นับว่าสวรรค์คงเมตตาเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าคิดจะทำสิ่งใด” เขาตบที่หลังมือของบุตรสาวเบาๆ
“ลูกตั้งใจจะเปิดโรงหมอ เพื่อรักษาสตรีโดยตรงเจ้าค่ะ” เมื่อชาติที่แล้วนางไม่มีโอกาสได้ทำ เมื่อย้อนกลับมาครั้งนี้ นางก็ขอได้ทำตามใจตนเองก็แล้วกัน
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด เรื่องร้านก็ให้พ่อบ้านไปจัดการก็แล้วกัน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ ที่เมตตาลูก” เยว่ชิงสวมกอดบิดาแน่น
นางออกไปหาพ่อบ้าน เพื่อบอกให้เขาจัดหาร้านค้าเพื่อใช้เปิดโรงหมอ
“พ่อบ้าน ท่านช่วยเก็บเรื่องที่ข้าจะเปิดโรงหมอไว้ก่อนนะเจ้าค่ะ” นางยังไม่ต้องการให้พวกคนตระกูลกงรู้เรื่อง ก่อนที่ท่านพ่อของนางจะจัดการเรื่องยุติงานหมั้นหมายเรียบร้อย
“ได้ขอรับคุณหนู” พ่อบ้านรีบออกไปจัดการตามคำสั่งทันที
หมอหลิวมิได้รีบร้อนที่จะไปพูดคุยกับตระกูลกง แต่เขากำลังรอเวลาที่จะเปิดโปงเรื่องนี้ให้กับคนทั้งเมืองหลวงได้ล่วงรู้
ไหนๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวแล้ว ก็สู้ทำให้เรื่องมันใหญ่โตไปเลยเสียดีกว่า ถึงอย่างไรบุตรสาวก็ต้องถูกนินทาอยู่แล้ว แต่จะต้องทำให้ตระกูลกงและตระกูลตู้อับอายมากกว่าสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ
เรื่องที่หมอหลิวรอคอยก็ใช้เวลาไม่นาน เมื่อพ่อบ้านมาแจ้งข่าวดีกับเขา
“เช่นนั้นรึ ไปตามชิงเออร์มาเร็วเข้า” พ่อบ้านรีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อเยว่ชิงมาพบเขาที่ห้องโถงหลัก หมอหลิวก็พาบุตรสาวออกจากจวนไปที่โรงน้ำชาทันที
พอมาถึงบ่าวที่เขาส่งมาติดตามกงหลี่เฉียงก็ยืนรออยู่ด้านล่าง พร้อมทั้งแจ้งว่ากงหลี่เฉียงกับตู้ซิงเยียนอยู่ที่ห้องใด
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าควรทำเช่นใด” หมอหลิวหันมามองบุตรสาวอย่างเห็นใจ
“เจ้าค่ะ” เยว่ชิงยิ้มให้บิดา เพื่อให้เขาคลายความกังวลใจ
เสิ้นเจิ้งซี เขาน่าจะหายดีแล้ว แต่กลับบาดเจ็บจนนอนซมเช่นเขา เพียงเท่านี้เว่ยอ๋องก็รู้แล้วว่าสหายของตนคิดเช่นใดกับแม่นางน้อยที่เพิ่งเจอเพราะเรื่องของเยว่ชิงทำให้ซูหนี่นางตกกระไดพลอยโจร ติดตามเว่ยอ๋องและเสิ้นเจิ้งซีเข้าเมืองหลวง หลังจากที่นางรู้ว่าทั้งสองมาสืบเรื่องชนเผ่านอกด่านก็ไม่คิดไล่พวกเขาอีกหลังจากที่เดินทางกลับมาพร้อมพวกเขาทั้งสอง นางได้ติดตามไปหาเยว่ชิงที่อยู่เมืองเจียงซาน จนภายหลังนางได้มาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหมอหลิว ซูหนี่นางมาอยู่ที่โรงหมอฮุ่ยซิว ตรวจคนไข้แทนเยว่ชิงที่กำลังตั้งครรภ์นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นเจิ้งซีคิดเช่นใดกับนาง เพียงแต่นางอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น สำหรับผู้อื่นถือว่าออกเรือนช้า แต่สำหรับนางคิดว่าเร็วไปด้วยซ้ำแต่เมื่อถูกเยว่ชิงนางช่วยพูดให้เสิ่นเจิ้งซีทุกคน จิตใจของนางก็เริ่มสั่นคลอน“หนี่เออร์ เจ้ารู้เรื่องที่ใต้เท้าเสิ่นต้องเดินทางไปประจำการที่เมืองเหอตงแล้วหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามซูหนี่เมื่อนางมาเล่นกับหลานชาย“ไม่เจ้าค่ะ” ซูหนี่นางตกใจไม่น้อย เพราะว่านางไม่ได้พบเสิ่นเจิ้งซีมาหลายวันแล้ว“เห็นว่าจะออกเดินทางเร็วๆ นี้” เยว่ชิงลอบสังเกตอาการของซ
“ดูท่าแล้วสหายของเจ้าคงจะตายในไม่ช้า” นางเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากอกของเขาไม่น้อย ทั้งยังลูกธนูที่ฝังอยู่ในอกของเขาด้วย“แม่นาง เจ้าไปตามหมอมาให้ข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยกับนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด“ข้าเป็นหมอ ยังจะต้องไปตามผู้ใดอีก หากไม่อยากให้สหายของเจ้าตายก็เอาดาบออกไปจากคอข้าเสีย” นางไม่รู้ว่าพวกเขาใช่คนร้ายหรือไม่ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะตัวนางมิอาจสู้พวกเขาได้“อย่าได้คิดเล่นเล่ห์กับข้า” เขาเอ่ยเตือนนางอีกครั้ง“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ท่านี้กับข้าทั้งคืนก็ได้ ข้าไม่ได้เดือดร้อน” นางเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นหากเขาจะฆ่านางคงไม่ต่อปากต่อคำกับนางนานเพียงนี้บุรุษด้านหลังของซูหนี่วางดาบลง แล้วเข้าไปดูสหายของเขาทันทีซูหนี่ยืนกอดอกมองอย่างใจเย็น เขาหันมาทางนาง พร้อมทั้งขอร้องให้ช่วย“เจ้าก็พาเขาเข้าไปในเรือนของข้าสิ หรือต้องให้ข้าเข้าไปช่วยอุ้มด้วยอีกคน” นางเลิกคิ้วถามอย่างยียวน เมื่อครู่เอาดาบจ่อคอนางได้ ก็คงจะมีแรงเหลือแบกเพื่อเข้าไปด้านในเมื่อเห็นว่านางคงไม่ช่วย บุรุษผู้นั้นก็แบกร่างของสหายเข้าไปด้านในเรือน ซูหนี่นางจึงเดินตามเขาไป เพื่อช่วยดูอาการของเขา“ถอดเสื้อของเขาออก แล้วเจ้
ซูหนี่นำออกมาอีกครั้ง แต่นางไม่ยื่นไปต่อหน้าเขา เปิดออกให้ดูบนมือของนางแทน โสมหัวใหญ่ถูกเปิดออกให้ดูเพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้หลงจู๊ตกตะลึงได้แล้ว“เชิญพวกเจ้าเข้าไปรอในห้องรับรองก่อน ข้าจะไปตามท่านหมอมาประเมินราคาให้” หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้พาทั้งสามเข้าไปนั่งรอให้ห้องรับรอง“ท่านป้า พี่หลาง อีกครู่พวกท่านเพียงนั่งนิ่งๆ ก็พอเจ้าค่ะ ข้าจะต่อรองเรื่องราคาเอง อย่าได้แสดงสีหน้าอันใดออกมาเด็ดขาด หากพวกท่านไม่อยากได้ราคาที่น้อยลง” ทั้งสองรีบพยักหน้ารับอบย่างเชื่อฟังป้าชงอดมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาไม่ได้ นางใจกล้าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ต่อรองกับหลงจู๊นางไม่มีท่าทางที่ตื่นกลัวเลยสักนิดทั้งสามนั่งรอเพียงไม่นาน หลงจู๊ก็เดินนำท่านหมอเข้ามาด้านใน“ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูเสียหน่อย” เขาร้องถามอย่างตื่นเต้น หากหลงจู๊ไม่ได้มองผิดไปโสมหัวใหญ่เพียงนั้นย่อมมีราคาไม่น้อยกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่ครั้งนี้ซูหนี่นางไม่ได้เล่นตัวแต่อย่างใด นางนำโสมขึ้นมาวางตรงหน้าของท่านหมอ เมื่อเขาได้เห็นก็อุทานออกมาทันที“สวรรค์ โสมพันปี เจ้า เจ้าไปเจอได้อย่างไร”“ท่านจะรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” นางไม่เอ่ยตอบเพราะไม่อยากเ
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บิดาของซูหนี่ได้เข้าขวางกลุ่มชนเผ่านอกด่านไว้ เพื่อให้ทุกคนได้หลบหนี แต่มารดาของนางไม่ยอมทิ้งบิดาแล้วหนีไปเพียงลำพังจึงได้จบชีวิตลงไปด้วยอีกคน“ท่านป้าข้ามีอะไรจะให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูหนี่ส่งห่อผ้าที่นางนำมาด้วยให้ป้าชง“สวรรค์ ของดีเช่นนี้ เจ้ามิเก็บไว้เอง” นางร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าด้านในคือสิ่งใด“ข้ามีสองหัวเจ้าค่ะ แบ่งให้ท่านหนึ่งหัว เพื่อขอบคุณท่านที่ดูแลข้ามาเป็นอย่างดี” ซูหนี่นางจึงเล่าเรื่องว่านางพบโสมได้อย่างไรให้ป้าชงฟัง“เด็กดี อย่างน้อยสวรรค์ก็เมตตาเจ้าแล้ว” ซูหนี่ยิ้มไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่นางมาที่นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับนางกันแน่“ข้าจะเข้าไปขายโสมที่เมืองพรุ่งนี้ ท่านป้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่”“ไปๆ” เพราะอาหารที่เรือนของนางก็เริ่มจะหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินทางเข้าเมืองอยู่ดี“ท่านป้า ทางที่ดีเรื่องโสม ท่านอย่าเพิ่งบอกผู้ใดนะเจ้าคะ” ซูหนี่นางกลัวว่าหากผู้อื่นรู้จะเข้ามาขโมยไปเสีย“ข้าเข้าใจแล้ว”เมื่อพูดคุยกันอีกเพียงไม่กี่ประโยคซูหนี่นางก็ขอตัวกลับเรือน เมื่อมาถึงเรือนนางก็เข้าไปพักในมิติทันทีรุ่งเช้าซูหนี่เก็บข้าวของที
ด้านหน้าของนาง ที่ใกล้ปากถ้ำ มีต้นโสมอยู่หลายหัว ในตอนแรกนางกลัวว่าตาจะฝาดไป จึงได้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ“แล้วจะเก็บยังไง อะไรก็ไม่มีให้ขุด” เมื่อซูหนี่ยื่นมือออกไปที่โสมตรงหน้า ระหว่างที่นางใช้ความคิดว่าจะเอาสิ่งใดมาขุดโสม จึงไม่ได้ทันเห็นว่าโสมนับสิบหัวที่อยู่ในดินเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว“เฮ้ยยย” นางร้องออกมาอย่างตกใจ พร้อมทั้งลุกขึ้น แล้วเดินหาว่าโสมหายไปได้อย่างไร นางขยี้ตาอยู่หลายหน พื้นดินตรงหน้าก็ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม“โสมของข้า” นางทรุดตัวลง แล้วร้องออกมาเสียงดังอย่างเสียใจแต่แล้วก็มีโสมโผล่ขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที เมื่อนางร้องเรียกโสมเสร็จ“เฮ้ยย” ซูหนี่โยนโสมทิ้งอย่างตกใจ นางก้มลงมองมือของนาง ก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นแหวนหยกแบบเดียวกับที่นางได้มาจากร้านขายยาอยู่ที่นิ้วของนาง“คงไม่ใช่มั้ง” นางครุ่นคิด ก่อนจะคลานไปหยิบโสมที่นางโยนทิ้งไปกลับมาอีกครั้งในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ซูหนี่จึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เก็บ” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อโสมในมือหายไปทันทีที่นางพูดจบนางทำเช่นเดิมอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้
ซูหนี่แพทย์สาว เธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังในกรุงปักกิ่ง เพราะชื่อเสียงเรื่องการผ่าตัดของเธอทำให้มีคนไข้มากมายต้องการจะรักษากับเธอ แม้จะต้องรอคิวนับเดือนก็ตาม“หมอไป๋คะ วันนี้มีคิวผ่าตัดสามคิว คุณจะให้ฉันเตรียมห้องผ่าตัดเลยไหม” พยาบาลเดินเข้ามาหาไป๋ซูหนี่ที่ห้องทำงานของเธอเธอยกยิ้มที่มุมปาก เพราะเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง กาแฟสักแก้วก็ยังไม่ได้กิน จะตามให้เธอไปผ่าตัดเลยหรือไง แต่เธอก็ต้องตอบไปว่า“ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”ในแต่ละวันของเธอไม่มีสิ่งใด มากไปกว่าอยู่ที่ห้องผ่าตัดและกลับไปพักที่ห้องพักข้างโรงพยาบาล เหตุผลที่เธอเลือกเรียนหมอ คงเป็นเพราะแม่ของเธอป่วยหนัก เธอที่ได้แต่ยืนมองพยาบาลเข็นแม่เธอเข้าห้องผ่าตัดไปโดยทำอะไรไม่ได้ครั้งนั้นแม่ของเธอไม่ได้ออกมาจากห้องแบบมีลมหายใจ เธอเสียชีวิตเพราะช็อกจากการผ่าตัด ทำให้ซูหนี่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าเธอจะต้องเรียนหมอ เพื่อช่วยคนที่ป่วยเหมือนแม่ของเธอนอกจากที่เธอจะเลือกเรียนแพทย์ปัจจุบันแล้ว เธอยังสนใจเรื่องสมุนไพรของแพทย์แผนจีนไม่น้อย หลังจากที่มีเวลาว่างจากเรื่องเรียน เธอจะไปช่วยงานที่ร้านขายยาแผนจีน เพื่อหาความรู้และหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่