อีกคนหรือจะเย็นชาถามอันใดก็ไม่อยากจะพูด อีกคนก็เหมือนไฟ ที่พร้อมจะเผาทำร้ายทุกสิ่งทุกอย่างหากไม่ได้ดั่งใจ“แล้วมันเรื่องอันใดของเจ้าเล่า หากเปิ่นหวางจะไปที่ใด” เขาปรายตามองไป๋ซูหนี่อย่างไม่พอใจไม่ใช่เพราะคำขู่ของนางหรือ เขาถึงไม่ได้ไปพบเยว่ชิงเสียที ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเข้าใจเขาผิดไปมากน้อยเพียงใด“เหอะ แผลของท่านเป็นน้อยเสียเมื่อไหร่ อีกนิดเดียวลูกธนูจะเข้าหัวใจแล้ว ข้าไม่น่าช่วยพวกท่านสองคนเลย จนตัวเองก็มิอาจจะอยู่ที่หมู่บ้านได้”ไป๋ซูหนี่หัวเสียกับเรื่องนี้ไม่น้อยเช่นกัน เป็นเพราะนางช่วยชีวิตพวกเขาสองคนไว้ นางจึงต้องตามเขากลับมาที่เมืองหลวง เพราะกลัวว่าจะถูกคนนอกด่านเข้ามาทำร้ายนางมิใช่คนในภพนี้ แต่นางเป็นแพทย์สาวที่อยู่ในยุคอีกสองพันปีข้างหน้า นางไม่รู้เช่นกันว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับนางได้อย่างไร วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างของไป๋ซูหนี่ที่ขึ้นไปหาของป่าแล้วตกเขาจนเสียชีวิตอย่างน้อยเครื่องมือแพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลของนางก็ติดตัวมาด้วยทั้งหมด หากช่วยรักษาทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว นางก็คิดที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวช่วยเหลือคนไปทั่วแคว้นแต่น่าแปลกใจที่แผลของเสิ่นเจิ้งซีที่บาดเจ็บน้
เขามิได้มองบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินเลย มัวแต่มองรอยยิ้มที่งดงามของนาง“งามมากเจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างออกมาอย่างพอใจ หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตนเองคงจะเสียดายไม่น้อยเมื่อคิดเช่นนี้ก็อยากจะให้บิดาและอาอิงได้มาเห็นด้วยกันเหลือเกิน“ข้าอยากให้ท่านพ่อกับอาอิงมาเห็นด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยออกมาเบาๆ“ไว้เจ้าก็เขียนสารส่งไปชวนท่านน้าก็ได้”“จริงด้วยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงหัวเราะออกมาเบาๆพอเห็นว่าใกล้มืดค่ำแล้ว เหอหมิ่นก็ขอตัวกลับไปที่จวนท่านเจ้าเมืองของเขา ก่อนกลับยังกำชับสาวใช้และบ่าวในจวนให้ดูแลเยว่ชิงให้ดีเยว่ชิงยังนั่งฟังเสียงคลื่นลมที่ไม่มีในเมืองหลวงต่ออีกนาน จนสาวใช้ต้องมาเรียกนางกลับเข้าเรือน“คุณหนูเจ้าคะ อากาศยามค่ำคืนเย็นนัก กลับเข้าเรือนดีกว่าเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวท่านไม่สบาย ท่านเจ้าเมืองจะตำหนิบ่าวได้”“เช่นนั้นก็กลับเรือนเถิด”ในเรือนพักของนางถูกจัดเตรียมข้าวของให้อย่างดี สาวใช้ที่ถูกส่งมามือไม้ก็คล่องแคล่ว จัดเตรียมทุกอย่างและดูแลรับใช้นางอย่างดีทางด้านไป๋ซูหนี่ นางมิได้กลับไปที่ห้องของเสิ่นเจิ้งซี เพื่อดูแลเขา แต่นางกลับเดินออกจากตำหนักอ๋องไปด้านนอกแทนองครักษ์ก็มิได้สงสัย เพราะนางมิได้นำข้าว
คนขับรถม้ารีบกลับไปนั่งประจำที่ของตน และเร่งบังคับม้าให้ออกวิ่งไปทันที แม้เรื่องที่เกิดขึ้นเขาจะนำไปเล่าให้ผู้อื่นได้ฟังก็ไม่มีผู้ใดเชื่อเขาอยู่ดีจะมีได้อย่างไรผู้ที่สามารถทำให้ของหายไปต่อหน้าต่อตาได้ คงเป็นเพียงเรื่องที่แต่งเติมออกมาเท่านั้นเสิ่นเจิ้งซีรู้จากองครักษ์ว่าซูหนี่นางออกไปเที่ยวเล่นด้านนอก เขาคิดเพียงแค่ว่านางคงอารมณ์เสียไม่น้อยที่ถูกเขาต่อว่าเช่นนั้น จึงปล่อยให้นางเที่ยวเล่นได้เต็มที่ แต่เมื่อพลบค่ำแล้วนางก็ยังไม่กลับมา“อาซี แม่นางไป๋นางหายไปนานเกินไปแล้วหรือไม่” เว่ยอ๋องและเสิ่นเจิ้งซีเคยเห็นนางใช้วรยุทธ์ท่าทางแปลกๆ มาแล้ว จึงไม่คิดว่าจะมีผู้ใดรังแกนางได้“ข้าส่งคนออกไปดูแล้ว” เขาก็กังวลเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยแม้ทั้งสองจะทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว แต่นางก็ยังไม่กลับมาที่ตำหนัก เสิ่นเจิ้งซีจึงเดินไปที่ห้องพักของนาง เพราะเขาเริ่มจะสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วด้านในห้องพักมิมีข้าวของของนางหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงยาที่เขียนบอกไว้ว่า เขาควรกินมันเวลาใดเท่านั้น เขารีบออกมาถามบ่าวหน้าประตูว่านางได้นำสิ่งใดไปหรือไม่“ไม่ขอรับ แม่นางไป๋มิได้มีข้าวของติดตัวไปด้วยตนที่ออกไปจากตำหนัก”เขาลืมไป
นางจึงได้เอ่ยเล่าเรื่องที่นางช่วยชีวิตเว่ยอ๋องและเสิ่นเจิ้งซีไว้ที่สู่เป่ย ทั้งยังบอกว่านางก็สามารถรักษาคนได้ พร้อมทั้งนำของที่อยู่ในมิติ ออกมาอวดเยว่ชิงราวกับเด็กน้อยที่อวดของเล่น“แม่นางไป๋ เจ้าอย่าได้นำสิ่งของพวกนี้ออกมาอีกเด็ดขาด” เยว่ชิงรีบเดินไปที่ประตู เพราะกลัวว่าจะมีคนมาแอบดูพวกนางคุยกันนางออกไปแจ้งสาวใช้ให้บอกชาวบ้านว่าให้มาในวันพรุ่งนี้ เพราะวันนี้มีหมอเข้ามาเพิ่มนางต้องทดสอบหมอเสียก่อนชาวบ้านเมื่อได้ยินก็ล้วนแต่ยินดี ที่จะได้ไม่ต้องรอตรวจนานอีกแล้ว จึงได้ยอมกลับไปในที่สุด“เพราะอันใด” ซูหนี่มองมาที่เยว่ชิงอย่างแปลกใจทั้งชีวิตนางจมอยู่กับหนังสือเรียน หนังสือการแพทย์เท่านั้น นิยายทะลุมิตินางก็ไม่เคยได้หามาอ่านสักครั้ง นอกจากฟังเล็กน้อยจากเพื่อนและพยายามที่ร่วมงานกัน“กลับไปที่จวนกับข้าแล้วข้าจะบอกเจ้าทั้งหมด” เยว่ชิงพาซูหนี่กลับไปที่เรือนของนางด้วยกันตลอดทางซูหนี่เอ่ยถามเรื่องราวต่างๆ จากนางอยู่ไม่น้อย ทำให้เยว่ชิงอดแปลกใจไม่ได้ เหมือนกับว่าซูหนี่นางมิใช่คนของแคว้นต้าฉีเสียอย่างนั้น“หนี่เออร์ เจ้ามาจากที่ใด” เยว่ชิงนางอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ แต่ความหมายของนางคือซูหนี่เป็นค
พอฟ้ามืด องครักษ์ที่เว่ยอ๋องให้ไปสืบเรื่องที่อยู่ของเยว่ชิงก็กลับมาบอกเขา ว่าเหอหมิ่นกลับมาที่จวนของเขาแล้ว ทั้งสองจึงอาศัยความมืดไปที่จวนริมทะเลของเยว่ชิงทันทีเว่ยอ๋องกระโดดเข้าไปในห้องของนางตามตำแหน่งที่องครักษ์แจ้งไว้ ก็พบแต่ความว่างเปล่าที่อยู่ในห้อง ด้านในไม่มีเยว่ชิงอยู่ทางด้านเสิ่นเจิ้งซีก็ไม่ต่างกัน ภายในห้องก็ไร้เงาของซูหนี่ เขาเดินมาหาเว่ยอ๋องที่ห้องของเยว่ชิง เพราะคิดว่าซูหนี่นางอยู่ที่ห้องนั้นด้วย“เหอะ/เหอะ” ทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน เพราะเว่ยอ๋องก็อยู่เพียงลำพัง“องครักษ์ของท่านไม่ผิดพลาดแน่รึ” เสิ่นเจิ้งซีจะเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียงแต่ถูกเว่ยอ๋องยกเท้าขึ้นยันไว้เสียก่อน เขาจึงต้องเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าต่างแทนทั้งสองได้แต่มองหน้าเจ้า เจ้ามองหน้าข้า ไม่รู้จะทำอันใด เว่ยอ๋องล้มตัวลงนอนที่แต่งของเยว่ชิงอย่างสบายใจ ผิดกับเสิ่นเจิ้งซีที่ต้องกอดอกนิ่งอยู่ที่เก้าอี้แทน“วันนี้พอเท่านี้เถิด อาชิง ข้าว่าเรากลับไปพักกันเถิด ข้าเหนื่อยไม่น้อยเลย” ซูหนี่หาวออกมา“อืม” เยว่ชิงหันไปเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย ทั้งสองจึงออกมาด้านนอกมิติเมื่อออกมาอยู่ภายในห้องของเยว่ชิง บุรุษท
ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี บุรุษทั้งสองราวกับนัดหมาย ได้กระโดดออกจากจวนริมทะเลกลับไปที่โรงเตี๊ยมพร้อมกัน“เหอะ ยิ้มเช่นนี้ เจ้าคงมีเรื่องดีไม่น้อย” เว่ยอ๋องอดที่จะค่อนแคะสหายของตนไม่ได้“แล้วพระองค์เล่า หน้าตาไม่สดใส คงมิได้สมหวังดั่งพระทัยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเจิ้งซีมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา“เพ้ย กลับเมืองหลวงเปิ่นหวางก็จะมีงานมงคลแล้ว แล้วเจ้าเล่าจะรับนางเข้าจวนได้อย่างงั้นรึ”เรื่องนี้ทำให้ใบหน้าของเสิ่นเจิ้งซีแข็งค้างไปทันที แม้เขาจะยอมรับกับนางเรื่องมีใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยเรื่องจะแต่งงานกับนางเลยสักนิดและไหนจะเรื่องที่จวนของเขา ไม่รู้ว่าบิดามารดาจะยอมรับซูหนี่หรือไม่“หึหึ อย่ายอมแพ้เล่าอาซี” เว่ยอ๋องยกยิ้มอย่างผู้ชนะเดินเข้าห้องพักของเขาไปเช้าวันต่อมา ทั้งสองไปที่จวนพักริมทะเลของเหอหมิ่น เพื่อที่จะพาทั้งสองกลับเข้าเมืองหลวง“นายท่าน มีท่านอ๋องกับใต้เท้าผู้ตรวจการจากเมืองหลวงมาขอพบขอรับ” บ่าวเข้ามาแจ้งเหอหมิ่นที่กำลังนั่งร่วมโต๊ะกับสตรีทั้งสองอยู่เหอหมิ่นมองไปที่เยว่ชิงและซูหนี่ทันที เมื่อพิจารณาใบหน้าของซูหนี่ให้ดี เขาจึงร้องออกมาราวกับนึกเรื่องอะไรออก“อ้อ แม่นางไป๋ ค
ตลอดการเดินทางกลับเมืองหลวง เยว่ชิงนางพักห้องเดียวกับซูหนี่ เพื่อที่นางจะได้เข้าไปศึกษาเรื่องวิชาการแพทย์ของซูหนี่ และนางยังช่วยสอนให้ซูหนี่จับชีพจรเป็นด้วยบุรุษทั้งสองล้วนแต่ไม่ชอบใจ ที่สตรีทั้งสองตัวติดกันมากเพียงนี้ ด้วยความรำคาญที่ทั้งสองพูดมากไม่ยอมหยุด ซูหนี่นางจึงพาพวกเขาเข้าไปอยู่ด้านในด้วยและทิ้งให้ทั้งสองอยู่ในห้องพักของนางแทน ด้านในห้องล้วนมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่แปลกตา จนทำให้บุรุษทั้งสองละความสนใจจากพวกนางไปได้อยู่นานวันที่สิบหลังจากที่ออกเดินทางจากเมืองเจียงซาน พวกเขาก็เดินทางถึงเมืองหลวง เว่ยอ๋องไปส่งเยว่ชิงและซูหนี่ที่จวนตระกูลหลิวเขาขอพบหมอหลิว เพื่อพูดคุยเรื่องสู่ขอเยว่ชิง“ชิงเออร์ เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่” หมอหลิวเอ่ยถามบุตรสาวต่อหน้าเว่ยอ๋อง“เจ้าค่ะ หากจะผิดพลาดก็เป็นลูกที่เลือกเอง หากวันใดที่ท่านอ๋องต้องการรับสตรีเข้าตำหนัก วันนั้นลูกจะกลับมาอยู่กับท่านพ่อทันทีเจ้าค่ะ”“เหอะ เจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกจากตำหนักเลยชิงชิง” เว่ยอ๋องกัดฟันแน่น ยังไม่ได้สู่ขออย่างเป็นทางการ นางก็เอ่ยเรื่องนี้ออกมาแล้วหมอหลิวได้แต่ส่ายหัว ครั้งนี้เขาไม่ได้กลัวว่าเว่ยอ๋องจะรับสตรีเข้าตำ
หลิวเยว่ชิง สาวงามของเมืองหลวง บุตรสาวของท่านหมอหลวงหลิว ความงามของนางเป็นที่ประจักษ์ ทั้งเรื่องความสามารถเรื่องการรักษานางก็เก่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา แต่เพราะด้วยที่นางเป็นสตรี นางจึงมิอาจเดินตามรอยเท้าของบิดาได้ทำได้เพียงรักษาให้กับสตรีที่ต้องการความช่วยเหลือจากนาง นางยังคิดจะเปิดโรงหมอ เพื่อรักษาให้กับสตรีโดยเฉพาะ แต่เพราะคู่หมั้นของนาง กงหลี่เฉียงมิเห็นด้วย นางจึงได้เลิกล้มไปเสียนางแต่งให้กงหลี่เฉียงท่ามกลางความเสียดายของบุรุษมากมายในเมืองหลวง งานมงคลของนางเป็นที่พูดถึงนานหลายเดือน เพราะสินเดิมที่บิดาจัดเตรียมให้ เรียกได้มามากมายจนไม่ต้องทำสิ่งใดอีกแล้วนางใช้ชีวิตเป็นฮูหยินของกงหลี่เฉียง ดูแลจวน ทั้งยังดูแลแม่สามีที่เจ็บป่วยอยู่เสมอ จนมีแต่คนเอ่ยชมกงหลี่เฉียงที่ได้ภรรยาเช่นนางไปครอบครองในวันแต่งงาน เรื่องที่ไม่อาจไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องคำสาบานของกงหลี่เฉียง“ข้ากงหลี่เฉียง ขอสาบานต่อฟ้าดิน ว่าชีวิตนี้จะมีเพียง หลิวเยว่ชิงเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว”เรื่องนี้ยังสร้างความอิจฉาให้กับเหล่าสตรีในเมืองหลวงอยู่นานหลายเดือน หากบุรุษบ้านใดที่รับอนุเพิ่ม จะถูกเปรียบเทียบกับกงหลี่เฉียงในยามนั้น
ตลอดการเดินทางกลับเมืองหลวง เยว่ชิงนางพักห้องเดียวกับซูหนี่ เพื่อที่นางจะได้เข้าไปศึกษาเรื่องวิชาการแพทย์ของซูหนี่ และนางยังช่วยสอนให้ซูหนี่จับชีพจรเป็นด้วยบุรุษทั้งสองล้วนแต่ไม่ชอบใจ ที่สตรีทั้งสองตัวติดกันมากเพียงนี้ ด้วยความรำคาญที่ทั้งสองพูดมากไม่ยอมหยุด ซูหนี่นางจึงพาพวกเขาเข้าไปอยู่ด้านในด้วยและทิ้งให้ทั้งสองอยู่ในห้องพักของนางแทน ด้านในห้องล้วนมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่แปลกตา จนทำให้บุรุษทั้งสองละความสนใจจากพวกนางไปได้อยู่นานวันที่สิบหลังจากที่ออกเดินทางจากเมืองเจียงซาน พวกเขาก็เดินทางถึงเมืองหลวง เว่ยอ๋องไปส่งเยว่ชิงและซูหนี่ที่จวนตระกูลหลิวเขาขอพบหมอหลิว เพื่อพูดคุยเรื่องสู่ขอเยว่ชิง“ชิงเออร์ เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่” หมอหลิวเอ่ยถามบุตรสาวต่อหน้าเว่ยอ๋อง“เจ้าค่ะ หากจะผิดพลาดก็เป็นลูกที่เลือกเอง หากวันใดที่ท่านอ๋องต้องการรับสตรีเข้าตำหนัก วันนั้นลูกจะกลับมาอยู่กับท่านพ่อทันทีเจ้าค่ะ”“เหอะ เจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกจากตำหนักเลยชิงชิง” เว่ยอ๋องกัดฟันแน่น ยังไม่ได้สู่ขออย่างเป็นทางการ นางก็เอ่ยเรื่องนี้ออกมาแล้วหมอหลิวได้แต่ส่ายหัว ครั้งนี้เขาไม่ได้กลัวว่าเว่ยอ๋องจะรับสตรีเข้าตำ
ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี บุรุษทั้งสองราวกับนัดหมาย ได้กระโดดออกจากจวนริมทะเลกลับไปที่โรงเตี๊ยมพร้อมกัน“เหอะ ยิ้มเช่นนี้ เจ้าคงมีเรื่องดีไม่น้อย” เว่ยอ๋องอดที่จะค่อนแคะสหายของตนไม่ได้“แล้วพระองค์เล่า หน้าตาไม่สดใส คงมิได้สมหวังดั่งพระทัยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเจิ้งซีมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา“เพ้ย กลับเมืองหลวงเปิ่นหวางก็จะมีงานมงคลแล้ว แล้วเจ้าเล่าจะรับนางเข้าจวนได้อย่างงั้นรึ”เรื่องนี้ทำให้ใบหน้าของเสิ่นเจิ้งซีแข็งค้างไปทันที แม้เขาจะยอมรับกับนางเรื่องมีใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยเรื่องจะแต่งงานกับนางเลยสักนิดและไหนจะเรื่องที่จวนของเขา ไม่รู้ว่าบิดามารดาจะยอมรับซูหนี่หรือไม่“หึหึ อย่ายอมแพ้เล่าอาซี” เว่ยอ๋องยกยิ้มอย่างผู้ชนะเดินเข้าห้องพักของเขาไปเช้าวันต่อมา ทั้งสองไปที่จวนพักริมทะเลของเหอหมิ่น เพื่อที่จะพาทั้งสองกลับเข้าเมืองหลวง“นายท่าน มีท่านอ๋องกับใต้เท้าผู้ตรวจการจากเมืองหลวงมาขอพบขอรับ” บ่าวเข้ามาแจ้งเหอหมิ่นที่กำลังนั่งร่วมโต๊ะกับสตรีทั้งสองอยู่เหอหมิ่นมองไปที่เยว่ชิงและซูหนี่ทันที เมื่อพิจารณาใบหน้าของซูหนี่ให้ดี เขาจึงร้องออกมาราวกับนึกเรื่องอะไรออก“อ้อ แม่นางไป๋ ค
พอฟ้ามืด องครักษ์ที่เว่ยอ๋องให้ไปสืบเรื่องที่อยู่ของเยว่ชิงก็กลับมาบอกเขา ว่าเหอหมิ่นกลับมาที่จวนของเขาแล้ว ทั้งสองจึงอาศัยความมืดไปที่จวนริมทะเลของเยว่ชิงทันทีเว่ยอ๋องกระโดดเข้าไปในห้องของนางตามตำแหน่งที่องครักษ์แจ้งไว้ ก็พบแต่ความว่างเปล่าที่อยู่ในห้อง ด้านในไม่มีเยว่ชิงอยู่ทางด้านเสิ่นเจิ้งซีก็ไม่ต่างกัน ภายในห้องก็ไร้เงาของซูหนี่ เขาเดินมาหาเว่ยอ๋องที่ห้องของเยว่ชิง เพราะคิดว่าซูหนี่นางอยู่ที่ห้องนั้นด้วย“เหอะ/เหอะ” ทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน เพราะเว่ยอ๋องก็อยู่เพียงลำพัง“องครักษ์ของท่านไม่ผิดพลาดแน่รึ” เสิ่นเจิ้งซีจะเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียงแต่ถูกเว่ยอ๋องยกเท้าขึ้นยันไว้เสียก่อน เขาจึงต้องเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าต่างแทนทั้งสองได้แต่มองหน้าเจ้า เจ้ามองหน้าข้า ไม่รู้จะทำอันใด เว่ยอ๋องล้มตัวลงนอนที่แต่งของเยว่ชิงอย่างสบายใจ ผิดกับเสิ่นเจิ้งซีที่ต้องกอดอกนิ่งอยู่ที่เก้าอี้แทน“วันนี้พอเท่านี้เถิด อาชิง ข้าว่าเรากลับไปพักกันเถิด ข้าเหนื่อยไม่น้อยเลย” ซูหนี่หาวออกมา“อืม” เยว่ชิงหันไปเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย ทั้งสองจึงออกมาด้านนอกมิติเมื่อออกมาอยู่ภายในห้องของเยว่ชิง บุรุษท
นางจึงได้เอ่ยเล่าเรื่องที่นางช่วยชีวิตเว่ยอ๋องและเสิ่นเจิ้งซีไว้ที่สู่เป่ย ทั้งยังบอกว่านางก็สามารถรักษาคนได้ พร้อมทั้งนำของที่อยู่ในมิติ ออกมาอวดเยว่ชิงราวกับเด็กน้อยที่อวดของเล่น“แม่นางไป๋ เจ้าอย่าได้นำสิ่งของพวกนี้ออกมาอีกเด็ดขาด” เยว่ชิงรีบเดินไปที่ประตู เพราะกลัวว่าจะมีคนมาแอบดูพวกนางคุยกันนางออกไปแจ้งสาวใช้ให้บอกชาวบ้านว่าให้มาในวันพรุ่งนี้ เพราะวันนี้มีหมอเข้ามาเพิ่มนางต้องทดสอบหมอเสียก่อนชาวบ้านเมื่อได้ยินก็ล้วนแต่ยินดี ที่จะได้ไม่ต้องรอตรวจนานอีกแล้ว จึงได้ยอมกลับไปในที่สุด“เพราะอันใด” ซูหนี่มองมาที่เยว่ชิงอย่างแปลกใจทั้งชีวิตนางจมอยู่กับหนังสือเรียน หนังสือการแพทย์เท่านั้น นิยายทะลุมิตินางก็ไม่เคยได้หามาอ่านสักครั้ง นอกจากฟังเล็กน้อยจากเพื่อนและพยายามที่ร่วมงานกัน“กลับไปที่จวนกับข้าแล้วข้าจะบอกเจ้าทั้งหมด” เยว่ชิงพาซูหนี่กลับไปที่เรือนของนางด้วยกันตลอดทางซูหนี่เอ่ยถามเรื่องราวต่างๆ จากนางอยู่ไม่น้อย ทำให้เยว่ชิงอดแปลกใจไม่ได้ เหมือนกับว่าซูหนี่นางมิใช่คนของแคว้นต้าฉีเสียอย่างนั้น“หนี่เออร์ เจ้ามาจากที่ใด” เยว่ชิงนางอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ แต่ความหมายของนางคือซูหนี่เป็นค
คนขับรถม้ารีบกลับไปนั่งประจำที่ของตน และเร่งบังคับม้าให้ออกวิ่งไปทันที แม้เรื่องที่เกิดขึ้นเขาจะนำไปเล่าให้ผู้อื่นได้ฟังก็ไม่มีผู้ใดเชื่อเขาอยู่ดีจะมีได้อย่างไรผู้ที่สามารถทำให้ของหายไปต่อหน้าต่อตาได้ คงเป็นเพียงเรื่องที่แต่งเติมออกมาเท่านั้นเสิ่นเจิ้งซีรู้จากองครักษ์ว่าซูหนี่นางออกไปเที่ยวเล่นด้านนอก เขาคิดเพียงแค่ว่านางคงอารมณ์เสียไม่น้อยที่ถูกเขาต่อว่าเช่นนั้น จึงปล่อยให้นางเที่ยวเล่นได้เต็มที่ แต่เมื่อพลบค่ำแล้วนางก็ยังไม่กลับมา“อาซี แม่นางไป๋นางหายไปนานเกินไปแล้วหรือไม่” เว่ยอ๋องและเสิ่นเจิ้งซีเคยเห็นนางใช้วรยุทธ์ท่าทางแปลกๆ มาแล้ว จึงไม่คิดว่าจะมีผู้ใดรังแกนางได้“ข้าส่งคนออกไปดูแล้ว” เขาก็กังวลเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยแม้ทั้งสองจะทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว แต่นางก็ยังไม่กลับมาที่ตำหนัก เสิ่นเจิ้งซีจึงเดินไปที่ห้องพักของนาง เพราะเขาเริ่มจะสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วด้านในห้องพักมิมีข้าวของของนางหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงยาที่เขียนบอกไว้ว่า เขาควรกินมันเวลาใดเท่านั้น เขารีบออกมาถามบ่าวหน้าประตูว่านางได้นำสิ่งใดไปหรือไม่“ไม่ขอรับ แม่นางไป๋มิได้มีข้าวของติดตัวไปด้วยตนที่ออกไปจากตำหนัก”เขาลืมไป
เขามิได้มองบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินเลย มัวแต่มองรอยยิ้มที่งดงามของนาง“งามมากเจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างออกมาอย่างพอใจ หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตนเองคงจะเสียดายไม่น้อยเมื่อคิดเช่นนี้ก็อยากจะให้บิดาและอาอิงได้มาเห็นด้วยกันเหลือเกิน“ข้าอยากให้ท่านพ่อกับอาอิงมาเห็นด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยออกมาเบาๆ“ไว้เจ้าก็เขียนสารส่งไปชวนท่านน้าก็ได้”“จริงด้วยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงหัวเราะออกมาเบาๆพอเห็นว่าใกล้มืดค่ำแล้ว เหอหมิ่นก็ขอตัวกลับไปที่จวนท่านเจ้าเมืองของเขา ก่อนกลับยังกำชับสาวใช้และบ่าวในจวนให้ดูแลเยว่ชิงให้ดีเยว่ชิงยังนั่งฟังเสียงคลื่นลมที่ไม่มีในเมืองหลวงต่ออีกนาน จนสาวใช้ต้องมาเรียกนางกลับเข้าเรือน“คุณหนูเจ้าคะ อากาศยามค่ำคืนเย็นนัก กลับเข้าเรือนดีกว่าเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวท่านไม่สบาย ท่านเจ้าเมืองจะตำหนิบ่าวได้”“เช่นนั้นก็กลับเรือนเถิด”ในเรือนพักของนางถูกจัดเตรียมข้าวของให้อย่างดี สาวใช้ที่ถูกส่งมามือไม้ก็คล่องแคล่ว จัดเตรียมทุกอย่างและดูแลรับใช้นางอย่างดีทางด้านไป๋ซูหนี่ นางมิได้กลับไปที่ห้องของเสิ่นเจิ้งซี เพื่อดูแลเขา แต่นางกลับเดินออกจากตำหนักอ๋องไปด้านนอกแทนองครักษ์ก็มิได้สงสัย เพราะนางมิได้นำข้าว
อีกคนหรือจะเย็นชาถามอันใดก็ไม่อยากจะพูด อีกคนก็เหมือนไฟ ที่พร้อมจะเผาทำร้ายทุกสิ่งทุกอย่างหากไม่ได้ดั่งใจ“แล้วมันเรื่องอันใดของเจ้าเล่า หากเปิ่นหวางจะไปที่ใด” เขาปรายตามองไป๋ซูหนี่อย่างไม่พอใจไม่ใช่เพราะคำขู่ของนางหรือ เขาถึงไม่ได้ไปพบเยว่ชิงเสียที ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเข้าใจเขาผิดไปมากน้อยเพียงใด“เหอะ แผลของท่านเป็นน้อยเสียเมื่อไหร่ อีกนิดเดียวลูกธนูจะเข้าหัวใจแล้ว ข้าไม่น่าช่วยพวกท่านสองคนเลย จนตัวเองก็มิอาจจะอยู่ที่หมู่บ้านได้”ไป๋ซูหนี่หัวเสียกับเรื่องนี้ไม่น้อยเช่นกัน เป็นเพราะนางช่วยชีวิตพวกเขาสองคนไว้ นางจึงต้องตามเขากลับมาที่เมืองหลวง เพราะกลัวว่าจะถูกคนนอกด่านเข้ามาทำร้ายนางมิใช่คนในภพนี้ แต่นางเป็นแพทย์สาวที่อยู่ในยุคอีกสองพันปีข้างหน้า นางไม่รู้เช่นกันว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับนางได้อย่างไร วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างของไป๋ซูหนี่ที่ขึ้นไปหาของป่าแล้วตกเขาจนเสียชีวิตอย่างน้อยเครื่องมือแพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลของนางก็ติดตัวมาด้วยทั้งหมด หากช่วยรักษาทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว นางก็คิดที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวช่วยเหลือคนไปทั่วแคว้นแต่น่าแปลกใจที่แผลของเสิ่นเจิ้งซีที่บาดเจ็บน้
ดวงตาของเยว่ชิงแดงก่ำ นางกำลังกลั้นไม่ให้มันไหลออกมาอยากยากลำบาก“ชิงเออร์ เป็นอันใดหรือไม่” เหอหมิ่นเอ่ยเรียกนางเมื่อเห็นท่าทางที่แปลกไปของนาง“มิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ฝุ่นมากนัก ข้าขอตัวเข้าไปในโรงหมอก่อนเจ้าค่ะ” เยว่ชิงหันหลังหมุนตัวเข้าไปในโรงหมอทันทีเหอหมิ่นมองไปทางเว่ยอ๋องอย่างแปลกใจ ยามนี้เว่ยอ๋องก็มองมาทางเขาอยู่เช่นกัน แต่เพราะระยะห่างที่ค่อนข้างมาก เขาจึงไม่รู้ความหมายจากสายตาที่เว่ยอ๋องมองเหอหมิ่นจึงได้ตามเยว่ชิงกลับเข้าไปในโรงหมอ เพื่อดูว่านางเป็นอันใดหรือไม่“ชิงเออร์ เจ้ามิเป็นอันใดจริงรึ” เขาอดที่จะเป็นห่วงนางไม่ได้“ข้าจะเป็นอันใดได้เล่า พี่หมิ่นท่านว่าท่านจะออกเดินทางเมื่อใดนะเจ้าคะ” นางหันมายิ้มให้เขา เพื่อให้เขาวางใจ“อีกสองวัน” เหอหมิ่นถึงจะแปลกใจ แต่ก็ตอบคำถามนาง“ท่านเดินทางพรุ่งนี้เลยได้หรือไม่ ข้าอยากจะไปเที่ยวชมทะเลเจียงซานด้วยตนตนเองสักครั้ง” นางอมยิ้มบอกเขา“เจ้าพูดจริงรึ แต่ท่านน้าเขยจะยอมให้เจ้าไปด้วยรึ” เขาย่อมดีใจที่นางคิดจะไปเจียงซานกับเขา“เรื่องท่านพ่อ ข้าจะบอกเขาเองเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนจะรีบกลับไปเตรียมตัว” นางเก็บของแล้วออกจากโรงหมอไปพร้อมกับเหอ
เยว่ชิงนางยังคงไปรักษาคนไข้ที่โรงหมออยู่เป็นประจำ ในแต่ละวันของนางไม่ได้มีสิ่งใดที่ดูต่างไปจากเดิมนางยังได้รับจดหมายของเว่ยอ๋องที่ส่งมาให้นางทุกสามวันไม่เคยขาดเขาจะเขียนมาตลอดว่าอยู่ที่ใด ในแต่ละวันพบเจอเรื่องใด ที่ขาดไม่ได้ลงท้ายของทุกฉบับจะเขียนบอกนางเสมอว่า เขาคิดถึงนางมากเพียงใดเยว่ชิงมิได้ตอบกลับทุกฉบับที่เขาเขียนมา นางเพียงบอกว่าในแต่ละวันนางอยู่อย่างสบายดี ไม่มีเรื่องใดให้เขาต้องกังวลเว่ยอ๋องออกเดินทางไปได้ห้าเดือนแล้ว เขาถึงสู่เป่ยตั้งแต่เดือนแรกที่ออกเดินทาง ในแต่ละวันเขายุ่งอยู่กับการสืบหาข่าว แต่ก็ไม่ลืมที่จะเขียนจดหมายหาเยว่ชิง“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ คุณชายเหอ ต้องการให้คุณหนูไปตรวจให้ฮูหยินผู้เฒ่าเหอเจ้าค่ะ”เยว่ชิงขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “ข้าจะออกไปพบคุณชายเหอเสียหน่อย” นางเดินออกจากห้องตรวจไปหา เหอหมิ่น ที่ยืนรออยู่ด้านหน้าโรงหมอ“พี่หมิ่น” นางเรียกเขาพร้อมทั้งยิ้มให้อย่างยินดีเหอหมิ่น เป็นญาติผู้พี่ฝั่งมารดาของนาง เขาเดินทางออกจากเมืองหลวงไปเป็นเจ้าเมืองที่เจียงซาน หัวเมืองทางตอนใต้ของแคว้นต้าฉี ตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว“ชิงเออร์ เจ้าสบายดีหรือไม่” เขายิ้มให้นางเช่นกัน