หมู่บ้านหยางเซินเป็นหมู่บ้านแถบแนวชายแดนแคว้นตง ซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดนแคว้นฉิน จึงทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มักจะได้รับผลกระทบจากการทำศึกสงครามอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากการทำศึกระหว่างสองแคว้นครั้งล่าสุด ที่ได้แผนล่อข้าศึกให้จนมุมของคุณชายรองจิน ทำให้แคว้นฉิน...ที่พ่ายแพ้จากการทำศึกสงครามในครั้งนั้น ได้รับผลกระทบมากกว่าในทุกครั้งที่ผ่านมา จึงส่งผลให้แคว้นฉินยังไม่กล้ากลับเข้ามารุกรานแคว้นตง มาจนถึงทุกวันนี้...
จินเฟยหลงแม่ทัพใหญ่แคว้นตงหรือคุณชายรองจิน ด้วยความพยายามและความสามารถที่เขามี จึงทำให้เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งนี้มาจากผู้เป็นบิดาด้วยวัยเพียงแค่สิบแปดหนาว และก็เพราะการขึ้นรับตำแหน่งด้วยวัยเพียงเท่านี้ จึงทำให้เขาต้องคอยแบกรับทั้งแรงกดดัน และความคาดหวังจากผู้คนรอบข้าง ซึ่งตอนนี้ก็ได้ผ่านล่วงเลยมาแล้วถึงสองปี
และในยามนี้บิดาของเขาก็ยังต้องการให้เขาขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจินต่อจากอีกฝ่ายแล้วด้วย และก็ด้วยเพราะคำว่า ‘ผู้นำตระกูลในภายภาคหน้า’ ของผู้เป็นบิดาที่เคยบอกกับจินเฟยหลงไว้ตั้งแต่ในวัยเยาว์ มันได้ทำให้เขาต้องคอยยึดถือและต้องคอยปฏิบัติตัวตาม ‘หน้าที่’ ให้สมกับสิ่งที่ทุกคนคาดหวังในตัวเขาเรื่อยมา
จวนแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวงตอนนี้ มีเพียงครอบครัวสายหลักของตระกูลจิน นั่นก็คือครอบครัวของจินเฟยหลงอาศัยอยู่ในจวนเพียงเท่านั้น และส่วนใหญ่ทุกคนในครอบครัวก็มักจะพากันเดินทางไปพักอยู่ที่เรือนพักรับรอง ในค่ายทหารแถบแนวชายแดนซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านหยางเซิน เหตุด้วยเพราะคุณชายใหญ่จินเฟยเทียนหลังจากเข้าพิธีมงคลสมรส เจ้าตัวได้มาสร้างโรงหมออยู่กับคนรักในหมู่บ้านแห่งนี้ จึงทำให้ทั้งผู้เป็นบิดา น้องสาวของเขาหรือแม้แต่ตัวจินเฟยหลงเอง หากมีเวลาว่างก็มักจะพาตนเองมาอยู่ใกล้กับผู้เป็นพี่ชายที่นี่
จินเฟยหลงที่ได้เดินทางเข้ามาตรวจงานในค่ายทหารแถวหมู่บ้านหยางเซิน หลังจากที่ตัวเขาจัดการงานในค่ายเสร็จแล้ว วันนี้เขาจึงตั้งใจจะเข้าไปหาผู้เป็นพี่ชาย แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงหน้าโรงหมอ เขาก็เจอกับเจียงเสียนเดินออกมาจากที่นั่นด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะผิดหวัง
“ท่านแม่ทัพมาหาคุณชายใหญ่จินกับอาหยางหรือขอรับ?” เจียนเสียนเอ่ยทักจินเฟยหลง
“ใช่ขอรับ ท่านลุงเจียงเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?” จินเฟยหลงเอ่ยถามเพราะเขาสงสัยในท่าทางแปลก ๆ ของอีกฝ่าย
“เอ่อ...พอดีข้าน้อยตั้งใจเข้ามารับยากับอาหยางน่ะขอรับ แต่อาเล่อบอกว่าวันนี้โรงหมอปิดแล้ว และตอนนี้อาหยางก็ได้พาคุณชายใหญ่จินกลับไปพักที่เรือนแล้วขอรับ” เจียนเสียนพูดจบก็เห็นอีกฝ่ายยังคงมองมาที่เขาอยู่ ก็คงจะด้วยเพราะความที่เรือนของเขาอยู่ติดกับเรือนของหยางหมิงเซียน ดังนั้นการที่เขาเดินทางเข้ามารับยาถึงที่นี่จึงทำให้อีกฝ่ายสงสัยในการกระทำของเขาเป็นแน่
“คือข้าน้อยแอบให้อาหยางช่วยปรุงยาเพิ่มความกำหนัดให้น่ะขอรับ แต่ข้าน้อยไม่ได้คิดจะเอาไปทำเรื่องไม่ดีนะขอรับ พอดีข้าน้อยกับฮูหยินอยากจะมีบุตรเพิ่มกันอีกสักคนสองคน แต่เพราะข้าน้อยอายุมากแล้ว มันก็เลย...เออ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ช่วงเช้าข้าน้อยค่อยแวะเข้ามาหาอาหยางใหม่อีกครั้งน่าจะดีกว่าขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเลยนะขอรับ” เจียนเสียนรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกกระดากอาย เขาจึงรีบเอ่ยลาคนตรงหน้าทันที
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินแยกกลับไปยังเรือนพักของตนเองในค่ายทหาร
แล้วเมื่อจินเฟยหลงเข้ามาในห้องพัก เขาก็เดินตรงไปยังเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอน จากนั้นเขาก็หลับตาของตนเองลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับคิดไปถึงชื่อยาที่ได้ยินมาจากเจียนเสียนเมื่อครู่
‘ยากำหนัดอย่างนั้นหรือ...หึ!’
ย้อนกลับไปในช่วงหลังจากจบศึกครั้งล่าสุดระหว่างแคว้นตงกับแคว้นฉิน...
ยามนั้นจินเฟยหลงอยู่ในวัยสิบห้าย่างสิบหกหนาว แต่ด้วยฝีมือการสู้รบที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นบิดา จึงทำให้เขาจะได้รับพระราชทานแต่งตั้งขึ้นเป็นรองแม่ทัพฝ่ายยุทธการทันที เมื่อเขาเดินทางกลับเข้าไปถึงเมืองหลวง
ซึ่งขบวนทัพของท่านแม่ทัพใหญ่จินเฟยหมิง ได้เดินทางกลับมาถึงเร็วกว่ากำหนดที่เจ้าตัวได้แจ้งไว้กับผู้คนในเมืองหลวง จินเฟยหมิงจึงต้องจัดหาที่พักนอกเมือง เพื่อที่จะได้เคลื่อนขบวนทัพได้ตามกำหนดเดิม แล้วเมื่อจินเฟยหลงได้รับรู้ถึงการตัดสินใจของผู้เป็นบิดา เขาจึงขอแยกตัวออกมาจากขบวน เพื่อกลับเข้าไปนอนพักที่สำนักศึกษาหลวงทันที เพราะเขาไม่อยากอยู่ร่วมกับผู้เป็นบิดาเพิ่มอีกหนึ่งวัน
“เฟยหลงเจ้ากลับมาแล้วหรือ?” เหรินเหยียนชิงเดินออกมาจากห้องพักก็เจอเข้ากับสหายร่วมเรือนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบครึ่งปี กำลังเดินกลับเข้ามายังเรือนพักของพวกเขา
“อืม” จินเฟยหลงตอบกลับคนตรงหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องพักของตนเอง
สำนักศึกษาหลวงแห่งนี้มีเรือนพักภายในให้สำหรับผู้เข้าศึกษา ที่มีจวนหรือมีเรือนอยู่ไกลจากสำนักศึกษาสามารถทำเรื่องขอเข้าพักได้ แต่ด้วยเพราะจำนวนเรือนที่มีไม่มากนัก หนึ่งเรือนพักจึงจะต้องมีผู้พักอาศัยอยู่ร่วมกันเรือนละสองถึงสี่คน และเรือนที่จินเฟยหลงได้เข้าพักอาศัยอยู่นั้นเป็นเรือนที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้เขามีผู้ร่วมอาศัยอยู่เพียงแค่หนึ่งคน และคนผู้นั้นก็ยังเป็นสหายสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเขาด้วย
“ข้าก็นึกว่าหลังจากจบศึก เจ้าจะกลับไปอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเสียอีก แล้วนี่...” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสหายของเขาปกติก็ไม่ค่อยจะกลับจวนอยู่แล้ว เขาจึงรีบเงียบปากของตนเองลง
จินเฟยหลงที่กำลังก้มลงไปเก็บสัมภาระของตนเอง จึงทำเพียงแค่รับฟังสิ่งที่สหายพูดแบบผ่าน ๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และก็ด้วยเพราะยามที่เขาเข้ามาพักอยู่ในสำนักศึกษาหลวง เขาไม่ได้ให้บ่าวคนสนิทตามเข้ามาคอยดูแลเขาที่นี่ ดังนั้นเรื่องทุกอย่างเขาจะต้องเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง
แล้วหลังจากที่เขาจัดเก็บสัมภาระเสร็จ เขาก็เริ่มจัดเตรียมของที่จะใช้สำหรับการไปอาบน้ำต่อ...
“อย่างนั้นข้าไม่กวนเจ้าล่ะดีกว่า เจ้าจะได้รีบไปจัดการดูแลตัวเองแล้วกลับมาพักผ่อน แต่เย็นนี้เจ้าจะไปรับสำรับกับพวกข้าหรือไม่? พอดีข้ามีนัดกับอาเจี้ยนและอาจางไว้ว่าจะไปรับสำรับด้วยกันที่โรงเตี๊ยม”
“อืม”
“ได้ เช่นนั้นเดี๋ยวข้า...เฮ้อ! เฟยหลงเจ้าก็เป็นแบบนี้ทุกที ข้ายังพูดไม่ทันจบเลยนะ”
จินเฟยหลงเมื่อจัดเตรียมของเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องพักทันที โดยไม่รอให้สหายร่วมเรือนพูดจบ ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินที่อีกฝ่ายบ่นตามหลัง แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเดินกลับไปต่อว่าหรือโต้ตอบ เพราะเดี๋ยวคนพูดมากก็คงจะหยุดพูดไปเอง
จินเฟยหลงยืนมองเหรินเหยียนชิงสอนเรื่องการคัดเลือกสมุนไพรและการทำบัญชีให้กับจินเฟยฮวา เพราะยามนี้น้องสาวของเขาเริ่มสนใจสองเรื่องนี้เป็นพิเศษ หลังจากที่เจ้าตัวตกลงหมั้นหมายให้กับเกาเล่อ ซึ่งการหมั้นหมายระหว่างจินเฟยฮวากับเกาเล่อก็เพิ่งผ่านมาได้เพียงแค่สองเดือน เพราะด้วยเรื่องฐานะ รวมไปเรื่องในอดีตเกี่ยวกับคนในครอบครัวของเกาเล่อ จึงทำให้อีกฝ่ายดูไม่เหมาะสมกับจินเฟยฮวาไปเสียหมดทุกทาง แต่ก็ด้วยเพราะความรัก ความดีและความซื่อสัตย์ของเกาเล่อ จึงสามารถเอาชนะใจผู้เป็นน้องสาว รวมไปถึงบิดาและคนในครอบครัวของเขามาได้ แต่ความรักของคนทั้งคู่ก็ยังคงมีเงื่อนไขจากผู้เป็นบิดาอยู่อีกหนึ่งข้อ นั่นก็คือทั้งสองคนจะต้องทำการหมั้นหมายและคบหากันต่อจากนี้ไปอีกหนึ่งปี จากนั้นค่อยมาพูดคุยกันเรื่องงานมงคลสมรส ซึ่งหากจะพูดถึงเรื่องงานมงคลก็คงจะต้องพูดถึงคู่ของจิงเสี่ยวเจี้ยนกับเยว่ซือซือ เพราะสองคนนี้เพิ่งเข้าพิธีมงคลสมรสกันไปเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ถึงแม้ว่าในอดีตคนทั้งสองอาจจะเคยเป็นอริกั
ช่วงค่ำเหรินเหยียนชิงหลังจากแยกเข้าไปจัดการดูแลตัวเองในกระโจมเสร็จ เมื่อเขากลับออกมา...เขาก็เห็นจินเฟยหลงยืนสั่งงานหยงหมินอยู่ที่ข้างกระโจมเพียงสองคน เขาจึงทำเป็นไม่สนใจ แล้วเดินเข้าไปนั่งกับพวกชิงหลวนคุนที่ข้างกองไฟ แต่สายตาของเขาก็ยังคงแอบมองไปที่นายบ่าวคู่นั้นเป็นระยะ ยามนี้เหรินเหยียนชิงเริ่มสงสัยแล้วว่าตอนที่จินเฟยหลงเข้าไปสำรวจภายในถ้ำ อีกฝ่ายเข้าไปเจอกับอะไร? หรือว่า...จินเฟยหลงจะเข้าไปเจอร่องรอยของศัตรูที่กำลังแอบซุ่มดูพวกเขาอยู่ในตอนนี้! จนเวลาผ่านล่วงเลยมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็เริ่มแยกย้ายกันไปนอนพัก จะเหลือก็เพียงแค่ทหารกลุ่มหนึ่งที่คอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าระวังความปลอดภัย “เจ้าจะไปไหน?” เหรินเหยียนชิงถามขึ้น เมื่อเห็นจินเฟยหลงกำลังจะเดินออกจากกระโจม หลังจากที่พวกเขาเข้ามานอนพักพร้อมกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม “เจ้ายังไม่หลับหรือเหยียนชิง พอดีข้ารู้สึกร้อน ๆ หนาว
วันนี้เป็นวันที่จินเฟยหลงต้องออกเดินทางไปตรวจงานที่ชายแดนฝั่งทางตอนใต้ของแคว้นตง ซึ่งแน่นอนครั้งนี้เขาได้พาเหรินเหยียนชิงผู้เป็นภรรยาของเขาไปด้วย แล้วเมื่อเขาฝากงานส่วนต่าง ๆ กับรองแม่ทัพแต่ละฝ่ายในช่วงที่เขาไม่อยู่เสร็จ จินเฟยหลงก็รีบเดินทางกลับจวนทันที “เหยียนชิง ข้ากลับมาแล้ว” จินเฟยหลงกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดคนตัวเล็กจากทางด้านหลัง ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มซ้ายของอีกฝ่าย แล้วมองลงไปยังห่อสัมภาระที่เจ้าตัวกำลังจัดเรียงไว้เป็นกอง ๆ บนโต๊ะกลมกลางห้อง “เจ้าเตรียมของเสร็จแล้วหรือ?” “อืม...เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเรียกให้พวกบ่าวเข้ามานำห่อสัมภาระพวกนี้ออกไปไว้ในรถม้าเท่านั้น” “อย่างนั้นพวกเราก็เหลือเวลาก่อนออกเดินทางเกือบหนึ่งชั่วยามเลยน่ะสิ ข้าว่า...พวกเราสองคนมาสานต่อเรื่องเมื่อ...” “เฟยหลง! คือข้า ยามนี้ข้า...ข้าควรออกไปตรวจดูพวกเสบียง ยาและสมุนไพรที่จะใช้
จินเฟยหลงเมื่อเห็นว่าเหรินเหยียนชิงกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับการปรนเปรอของเขาแล้ว เขาจึงค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างกลางลำตัวของอีกฝ่ายทันที ก่อนจะกดจุมพิตต่ำลงไปจนถึงหน้าท้องที่แบนราบ และเพียงไม่นานเขาก็ใช้ริมฝีปากครอบครองเครื่องแสดงความเป็นบุรุษโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว “อ่ะ! เฟยหลง อย่า! อือ...” ริมฝีปากบางพยายามขบเม้มเพื่อเก็บเสียงครางหวานของตนเองเอาไว้ ก่อนที่คนตัวเล็กจะเผลอเลื่อนมือลงมากดที่ศีรษะของเขาอย่างลืมตัว ยามนี้เหรินเหยียนชิงรู้สึกเสียวซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วในขณะที่เขารู้สึกได้ว่าตัวเขาเหมือนกำลังจะปลดปล่อย... เขาจึงพยายามขยับเอาอาวุธประจำกายออกมาจากริมฝีปากของจินเฟยหลง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น “เฟยหลง ข้า...อ่า...” “หวานยิ่งนัก น้ำวิสุทธิ์แรกของเจ้า” “เจ้า!” เหรินเหยียนชิงมองจินเฟยหลงที่กลืนกินและไล่เลียน้ำวิสุทธิ์แรกของเขาอย่างไม่รัง
หลังจากพิธีการต่าง ๆ ในงานมงคลสมรสจบลง เหรินเหยียนชิงก็ถูกพาตัวเข้าไปนั่งรอเขาอยู่ในห้องหอ ส่วนตัวจินเฟยหลงก็ทำได้เพียงนั่งอยู่ในห้องโถงแล้วยกสุราขึ้นดื่ม เนื่องจากยามนี้มีผู้คนตรงเข้ามาชนสุราเพื่อแสดงความยินดีกับเขาอย่างไม่ขาดสาย โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็เพียงต้องการกลั่นแกล้งเขาในคืนเข้าหอเท่านั้น ซึ่งตัวจินเฟยหลงเองได้กินยาแก้อาการเมาสุราที่ได้รับจากผู้เป็นพี่ชายมาแล้ว เขาจึงไม่เกรงกลัวต่อฤทธิ์สุราที่ต้องดื่มในตอนนี้มากนัก จินเฟยเทียนนั่งมองสีหน้าของจินเฟยหลงแล้วอดที่จะสงสารไม่ได้ แต่เพราะในวันส่งตัวของเขากับหยางหมิงเซียน ผู้เป็นน้องชายได้ร่วมมือกับชิงหลวนคุนทำกับเจ้าลูกกวางไว้แสบ โดยหยางหมิงเซียนมาเล่าให้เขาฟังว่า...จินเฟยหลงกับชิงหลวนคุนได้พาทหารในกองทัพแวะเวียนเข้ามาชนสุรากับเจ้าตัวก่อน วันนี้เจ้าลูกกวางก็เลยขอเอาคืนด้วยการชวนทั้งคู่ค้า คนที่เจ้าตัวรู้จัก หรือแม้แต่คนป่วยที่เขาเคยทำการรักษา เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับผู้เป็นน้องชายของเขาแบบจัดเต็ม
หลังจากผ่านเหตุการณ์การสูญเสีย จินเฟยหลงก็เริ่มใช้ชีวิตให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ โดยแต่ละวันของเขาก็แทบจะไม่พูดคุยกับผู้ใดอีกเลย แม้แต่สหายร่วมเรือนอย่างเหรินเหยียนชิง ยามนี้จินเฟยหลงหมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อไปอีกแล้ว ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะจบชีวิตของตนเองลง แต่เหรินเหยียนชิงก็ดันเข้ามาเจอตอนที่เขากำลังจะลงมือทำเสียก่อน “เฟยหลงลุกขึ้น...ได้ยินหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้น!!” จินเฟยหลงหันมามองเหรินเหยียนชิงที่เข้ามาตวาด และกระชากแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง“ไม่...ข้าจะนอน” “ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นมา!!” จินเฟยหลงถูกเหรินเหยียนชิงกระชากแขนจนต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ยามนี้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้ามาล้ำเส้นในชีวิตของเขามากจนเกินไปเสียแล้ว!&nb