“เฟยหลงเจ้ากลับมาแล้วหรือ...ไม่ใช่ขบวนแม่ทัพใหญ่จะกลับเข้าเมืองหลวงในพรุ่งนี้หรอกหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยถามจินเฟยหลง หลังจากที่เขาเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมพร้อมกับเหรินเหยียนชิง
“อืม เพิ่งมาถึงวันนี้ปลายยามเว่ยน่ะ (ยามเว่ย เวลา 13.00 – 14.59 น.)”
จินเฟยหลงมองเหรินเหยียนชิงที่ตอบคำถามแทนเขา อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นพวกถนัดลงมือทำมากกว่าที่จะพูด คนตรงหน้าจึงมักจะคอยเป็นคนตอบคำถามของผู้อื่นให้กับเขา แล้วก็อาจจะด้วยเพราะเขากับเหรินเหยียนชิงรู้จักกันมานาน เพราะพวกเขาสองคนเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงพร้อมกัน แล้วไหนจะเรื่องเรือนพักที่พวกเขาได้พักอยู่เรือนเดียวกันอีก จึงทำให้เหรินเหยียนชิงกลายเป็นคนที่เขาให้ความสนิทสนมมากที่สุด
“ข้าว่า...การที่เจ้าหนีออกมาจากขบวนทัพแล้วกลับเข้ามาก่อนแบบนี้ เจ้าคงไม่อยากไปหลบถุงหอมกับผ้าเช็ดหน้าของพวกคุณหนูและพวกแม่นางน้อย ๆ ในวันพรุ่งนี้เสียมากกว่าล่ะมั้ง เฟยหลง” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้น
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น เป็นข้าไม่ได้...ข้าจะรีบอ้าแขนรับให้ครบหมดทุกอันเลยเชียว” จิงเสี่ยวเจี้ยนกล่าวรับคำพูดแฝดผู้น้องของเขา
จินเฟยหลงเมื่อได้ฟังที่คู่แฝดพูดก็รู้สึกชอบใจ เพราะตัวเขาก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ของพวกนั้นมักจะมีกลิ่นหอมฉุนชวนให้เขารู้สึกเวียนหัว และด้วยความที่เขาไม่คิดที่จะรับไมตรีจากพวกนาง เขาจึงไม่เคยรับของพวกนั้นจากผู้ใดมาก่อน แต่เมื่อเขาจะต้องร่วมขบวนทัพเพื่อเข้าประตูเมืองหลวงพร้อมกับผู้เป็นบิดา แม่นางพวกนั้นก็มักจะชอบโยนถุงหอมกับผ้าเช็ดหน้ามาโดนตัวเขา และกลิ่นจากของพวกนั้นก็มักจะติดมากับชุดที่เขาสวมใส่อยู่ไปด้วย
“พวกเจ้านี่...ก็เฟยหลงไม่ได้เป็นแบบพวกเจ้า”
“เหยียนชิง เจ้าก็เข้าข้างเจ้านี่ได้ตลอด” จิงเสี่ยวจางบ่นสหายตัวเล็กตรงหน้า
“แล้วตกลงพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องไปเข้าร่วมกับขบวนด้วยหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับจิงเสี่ยวจาง เขาจึงหันกลับมาถามจินเฟยหลง
“ครั้งนี้ต้องไป”
“แล้วเจ้าจะกลับมาทันรับสำรับเย็นกับข้าหรือไม่?”
“พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงที่จวน แต่ข้าจะกลับมาพักที่สำนักศึกษา”
“อืม...เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ต้องเตรียมสำรับเย็นไว้เผื่อเจ้า” เหรินเหยียนชิงเอ่ยถามเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดยาวของสำนักศึกษาหลวง คนส่วนใหญ่ที่มีจวนหรือเรือนที่อยู่ไม่ไกลจากสำนักศึกษามากนัก ก็จะพากันเดินทางกลับไปพักที่จวนหรือเรือนของตัวเอง จะมีเพียงไม่กี่คนที่ยังคงพักอยู่ที่นี่ เช่น คนที่มีเรือนอยู่ไกลมากอย่างเขา หรือคนที่มีเรือนอยู่ใกล้อย่างจินเฟยหลงแต่ก็ยังคงเลือกที่จะกลับมาพักอยู่ที่นี่ และในวันหยุดยาวเช่นนี้สำนักศึกษาจะไม่มีแม่ครัวที่จะคอยจัดเตรียมสำรับไว้ให้กับพวกเขา ดังนั้นพวกที่ยังพักอยู่ที่นี่จึงต้องจัดหาสำรับไว้กินเอง
“เฟยหลงเมื่อไหร่เจ้าจะเลิกประหยัดคำพูดสักที หากไม่ใช่เหยียนชิงผู้ใดจะไปเข้าใจเจ้า ขนาดพวกข้าในบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจเจ้าเลย” จิงเสี่ยวจางหันไปพูดกับจินเฟยหลง แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดที่จะตอบอะไรเขากลับมา เขาจึงเลือกหันไปพูดคุยกับสหายคนอื่นแทนการรอคำตอบจากสหายผู้ประหยัดวาจา
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงก็กลับออกไปหาผู้เป็นบิดาเพื่อเข้าร่วมขบวนทัพที่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าประตูเมืองหลวง...
“เฟยหลง เจ้าจะกลับจวนพร้อมกับพ่อเลยหรือไม่?” จินเฟยหมิงเอ่ยถามบุตรชายหลังจากที่พวกเขาเคลื่อนขบวนทัพเข้าเมืองหลวง และเข้าไปรายงานตัวกับฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว
“ไม่ขอรับ”
“แต่อย่างไรคืนนี้เจ้าก็ต้องมาร่วมงานเลี้ยงที่จวนนะ เพราะแม่รองของเจ้าได้จัดเตรียมงานนี้ไว้เพื่อต้อนรับการกลับมาของพ่อกับเจ้า”
“ได้ขอรับ” จินเฟยหลงตอบรับคำของผู้เป็นบิดา ก่อนจะเดินแยกออกไปหาผู้ใต้บังคับบัญชากึ่งบ่าวคนสนิทของเขา
“คุณชายรองขอรับ บ่าวเอาสัมภาระส่วนที่เหลือไปไว้ที่เรือนพักในสำนักศึกษาให้คุณชายแล้วนะขอรับ” หยงหมินบอกผู้เป็นนาย ก่อนที่จะเอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ...
“แล้วคุณชายรองจะไปร่วมงานเลี้ยงเลยหรือจะกลับไปเปลี่ยนชุดที่สำนักศึกษาก่อนขอรับ”
“เปลี่ยนแค่เสื้อคลุมก็พอ” พูดจบ จินเฟยหลงก็ยื่นมือไปรับเสื้อคลุมที่เขาสั่งให้หยงหมินเตรียมแยกไว้ให้เขามาเปลี่ยน ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายออกไปควบม้า เพื่อเดินทางไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ที่ตัวเขาไม่ได้กลับไปที่นั่นมาเกือบปี
แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินทางมาถึงจวนแม่ทัพ เขาก็ตรงไปยังเรือนใหญ่บริเวณที่จัดงานเลี้ยงทันที จากนั้นเขาก็เห็นคนในกรมทหารมาถึงกันเกือบครบแล้ว และเขาก็ยังได้เห็นครอบครัวของเสนากลาโหมที่เป็นคนนอก... แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาในงานเลี้ยงนี้ได้อย่างไร ดูท่าฮูหยินรองของบิดาคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยเป็นแน่
จินเฟยหลงเดินตรงเข้าไปหาผู้เป็นบิดาที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับรองแม่ทัพหนิงหานเฟิงซึ่งเป็นรองแม่ทัพฝ่ายอำนวยการ แล้วเมื่อเขาเดินเข้าไปถึงเขาจึงก้มลงคำนับให้กับคนทั้งสอง
“มาแล้วหรือพ่อหลานชาย เฟยหลงนี่คือบุตรสาวคนรองของอา...หนิงฮุ่ยหลิง”
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้าตอบรับการคำนับของสตรีตรงหน้าเท่านั้น จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้านข้างของผู้เป็นบิดา เพื่อรอรับการเข้ามาทักทายจากผู้คนที่รู้จักพวกเขาพอเป็นพิธี ก่อนที่เขาจะถอยออกมาจากงานเพื่อไปนั่งที่ศาลาด้านนอก โดยมีหยงหมินเดินตามเขาออกไปด้วย
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
จิงเสี่ยวจางที่รับฟังเหรินเหยียนชิงเล่าเรื่องร้านฝากขายมาได้สักพัก ในระหว่างนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูจะมีความสุขเมื่อได้พูดถึงเรื่องกิจการภายในครอบครัว จนเมื่อเขาเห็นว่าสหายน่าจะเล่าจบแล้ว เขาจึงคิดที่จะถามเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวบ้าง เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงผู้เป็นบิดา แต่เมื่อวานเหรินเหยียนชิงบอกกับพวกเขาว่าเจ้าตัวอาศัยอยู่กับผู้เป็นตาในจวนตระกูลเหรินเพียงแค่สองคน แล้วก็ด้วยเพราะตอนที่อยู่ในสำนักศึกษาหลวง เจ้าตัวก็ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของตนเองให้พวกเขาฟังเลยสักครั้ง “เหยียนชิงข้าขอถามได้หรือไม่? แล้วตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้า...” “ได้ ท่านพ่อของข้าได้จากข้าไปแล้ว ส่วนท่านแม่...เท่าที่ข้ารู้ ยามนี้นางก็ดูมีความสุขดี เดี๋ยวก่อนกลับจวนข้าพาเจ้าแวะไปชิมขนมร้านดังในเมืองซือโฉวดีกว่า ว่าแต่ช่วงบ่ายเจ้าจะไปตรวจโรงเตี๊ยมที่ไหน? หากข้าตรวจบัญชีร้านเสร็จทันข้าอาจจะไปกับเจ้าด้วยก็ได้” เหรินเหยียนชิงตอบคำถามของสหายเท่าที่เขาพอจะตอบได้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่
“เฟยหลงไม่ใช่ว่าเจ้าออกมาจากเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนหรอกหรือ? แล้วเหตุใดเจ้าเพิ่งจะมาถึงล่ะ?” ชิงหลวนคุนเอ่ยทักจินเฟยหลงทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องสั่งการ ซงหยวนที่เห็นจินเฟยหลงเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงก้มลงไปคำนับให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะถอยออกไปเฝ้าหน้าห้องพร้อมกับหยงหมิน “ข้าแวะไปพักที่จวนของสหายในเมืองซือโฉวก่อนมาที่นี่” จินเฟยหลงตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ “เจ้าไปพักที่จวนสหาย!” ชิงหลวนคุนแปลกใจกับคำตอบของจินเฟยหลง เพราะตั้งแต่ที่เขารู้จักกับอีกฝ่ายมา หากไม่ใช่ค่ายทหารจินเฟยหลงก็จะกลับไปพักที่จวนของตัวเอง จะมีก็เพียงแค่ในวัยเยาว์ที่อีกฝ่ายได้เข้าไปพักที่สำนักศึกษาหลวง เพราะจินเฟยหลงจะไม่ยอมเข้าพักในที่ที่เจ้าตัวไม่วางใจ แม้แต่ในยามที่พวกเขาต้องออกไปทำงานนอกเมืองด้วยกัน อีกฝ่ายก็ยังเลือกนั่งร่ำสุราแทนการหาที่พักเลย นั่นก็ด้วยเพราะตำแหน่งและอำนาจในมือของจินเฟยหลง ยิ่งในยามนี้หากไม่ระวังตัว...ก็มีแต่จะต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้า
จินเฟยหลงเมื่อเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง เขาก็รีบเลือกห้องพักของตนเอง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะลอบออกมา...แล้วแอบสะกดรอยตามเหรินเหยียนชิงไปจนถึงหน้าเรือนพักของอีกฝ่าย จินเฟยหลงแปลกใจที่เหรินเหยียนชิงไม่ได้พักอยู่ที่เรือนใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับพักอยู่ที่เรือนหลังเล็กท้ายจวน และหากเขาจำไม่ผิด...ตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เหรินเหยียนชิงบอกกับพวกเขาว่าอีกฝ่ายอาศัยอยู่กับผู้เป็นตาในจวนแห่งนี้เพียงแค่สองคน แล้วคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเหรินเหยียนชิงล่ะ? แล้วเหตุใด? ในเมื่อมีกันแค่สองคน อีกฝ่ายถึงเลือกมาพักอยู่ที่เรือนหลังนี้ผู้เดียว ยามนี้จินเฟยหลงเกิดคำถามเรื่องครอบครัวของเหรินเหยียนชิงขึ้นมาไม่น้อย เพราะตอนที่พวกเขาพักอยู่ด้วยกันที่เรือนพักในสำนักศึกษา อีกฝ่ายก็ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวให้เขาฟังเลยสักครั้ง และก็คงจะด้วยเพราะตัวเขาเองที่เป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยชอบซักถาม สงสัย...หลังจากนี้เขาคงต้องให้คนไปสืบเรื่องของเหรินเหยียนชิงมาให้เขาเสียแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นขบวนเดินทางขนาดย่อมที่นำโดยเหรินเหยียนชิงก็ได้เดินทางมาถึงจวนคหบดีเหริน... จินเฟยหลงมองไปที่จวนขนาดใหญ่ตรงหน้า สี่ปีที่ผ่านมายามใดที่เขาเดินทางผ่านมายังเมืองซือโฉว เขาก็มักจะคอยมองหาเหรินเหยียนชิงเพราะเขาไม่รู้ว่าจวนของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด และที่จวนแห่งนี้เขาก็เคยมาแอบมองอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเลยสักครั้ง หากในตอนนั้นเขาไม่ทำเพียงแค่คอยมองหา ยามนี้พวกเขาก็คง... “เหยียนชิง ที่นี่คือจวนเจ้าหรือ?” จิงเสี่ยวจางถามขึ้นเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าจวนขนาดใหญ่หลังหนึ่ง “ใช่...ที่นี่คือจวนตระกูลเหริน ข้าอาศัยอยู่กับท่านตาที่นี่แค่สองคน พวกเราเข้าไปหาท่านตาของข้ากันเถิด” เหรินเหยียนชิงตอบรับคำพูดของสหายพร้อมกับชวนอีกฝ่ายเข้าไปในจวน “คุณชายเหรินขอรับ...พวกข้าคงต้องขอตัวกลับสำนักก่อนนะขอรับ” เพ่ยฉีพูดพร้อมกับก้มลงไปคำนับให้กับพวกเหรินเหยียนชิง
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงต้องรีบออกไปทำข้อสอบอีกหนึ่งวิชาที่เหลืออยู่ แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากเรือน เขาได้แวะเข้าไปดูเหรินเหยียนชิงในห้องพักของเจ้าตัว แล้วเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง สงสัยว่าเมื่อคืนคนตรงหน้าคงนอนไม่หลับเหมือนกันกับเขา เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าจิงเสี่ยวจางจะเข้ามาเห็นในสิ่งที่เขาทำเมื่อคืน หลังจากที่จินเฟยหลงทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เขาก็รีบตรงไปยังบริเวณที่กลุ่มของพวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะมากล่าวลากัน ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะต้องแยกย้ายกันไปในวันนี้ แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินมาถึงบริเวณที่นัดหมาย เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังถูกคู่แฝดสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ และก็ดูเหมือนว่าจิงเสี่ยวจางน่าจะเล่าเรื่องที่ได้เห็นให้กับแฝดผู้พี่ของเจ้าตัวฟังหมดแล้ว “เหยียนชิง เรื่องเมื่อคืน...” จิงเสี่ยวจางที่คิดจะถามเรื่องเมื่อคืนกับสหายตรงหน้า แต่เขาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำถามจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ชิงตอบคำถามของเขากลับมาเสียก่อน “ที่เจ้าเห็นมันไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคิด คือ...เมื่อคืนพวกเจ้าก็เห็นว่าเฟยหลงค่อนข้างที่จะเมาหนัก” “อืม...
“โอ้ย...ถึงสักที” เหรินเหยียนชิงเอ่ยออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขาแบกสหายตัวโตกลับมาถึงเรือนพักของพวกเขาได้สำเร็จ จินเฟยหลงไม่รู้ว่าด้วยเพราะฤทธิ์สุราที่เขากินเข้าไปหรือด้วยเพราะอะไร ยามนี้เขาถึงได้อยากกอดคนตรงหน้าเหลือเกิน และก็อาจจะเพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันทำให้เขาคิดไปถึงความรู้สึกในคืนนั้น...คืนที่เขาพยายามจะลืม แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถลืมมันได้สักที ถึงแม้ว่าในยามนั้นจินเฟยหลงจะทำมันลงไปเพราะไม่สามารถคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ก็ตาม และหากในคืนนั้นเขาจะเรียกมันว่าความผิดพลาด เขาก็คงจะพลาด...ที่เลือกทำตามใจของตัวเอง แล้วก็เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้น มันได้ทำให้เขารู้ว่าที่จริงแล้วเขารู้สึกกับคนตรงหน้าเช่นไร ตั้งแต่จำความได้คนที่จินเฟยหลงเคยกอดมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คือท่านแม่ใหญ่และพี่ใหญ่ของเขา นอกเหนือจากนั้นเขาไม่เคยคิดอยากจะกอดหรือไม่เคยคิดอยากจะสัมผัส แม้แต่กับสตรีที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาตอนนี้ก็ตาม และในยามนี้จินเฟยหลงได้รู้แล้วว่ากลิ่นที่เขาชื่นชอบก็คือกลิ่นกระดาษและกลิ่นน้ำหมึกที่มักจะติดมากับตัวของเหรินเหยียนชิง หาใช่กลิ