ลู่เจิ้งลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตามไปจับมือทั้งสองข้างของบุตรชายออกจากหู เมื่อเขาเห็นว่ายามนี้บุตรชายตัวน้อยของเขากำลังพยายามที่จะหลีกหนีความจริง ที่เจ้าตัวจะต้องรับรู้ จะต้องยอมรับมัน และจะต้องทนอยู่กับมันให้จงได้!
“เหยียนชิง! หยุดเอาแต่ใจและหยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้!! เจ้าจำที่พ่อเคยสอนได้หรือไม่...เกิดเป็นบุรุษต้องรู้จักอดทนและเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้ให้ผู้ใดเห็นได้ง่าย ๆ เช่นนี้อีก และยามนี้เจ้าก็โตพอที่จะต้องรับรู้ความจริงเรื่องนี้ได้แล้ว” พูดจบ ลู่เจิ้งก็เดินกลับไปหยิบจดหมายที่อยู่ในกล่องไม้ข้างหัวเตียงส่งให้กับบุตรชาย
“นี่คือจดหมายของมารดาเจ้า...เอากลับไปอ่านเสีย แล้วหลังจากนี้พ่อขอสั่งห้ามเจ้า! ห้ามถามถึงสตรีนางนั้นให้พ่อได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง!!”
เหรินเหยียนชิงพยายามกลั้นสะอื้น ก่อนจะยื่นมืออันสั่นเทาเข้าไปรับจดหมายมาจากผู้เป็นบิดา จากนั้นเขาจึงรีบวิ่งกลับไปยังห้องพักของตนเอง
เมื่อเด็กชายตัวน้อยว
ลู่เจิ้งลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตามไปจับมือทั้งสองข้างของบุตรชายออกจากหู เมื่อเขาเห็นว่ายามนี้บุตรชายตัวน้อยของเขากำลังพยายามที่จะหลีกหนีความจริง ที่เจ้าตัวจะต้องรับรู้ จะต้องยอมรับมัน และจะต้องทนอยู่กับมันให้จงได้! “เหยียนชิง! หยุดเอาแต่ใจและหยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้!! เจ้าจำที่พ่อเคยสอนได้หรือไม่...เกิดเป็นบุรุษต้องรู้จักอดทนและเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้ให้ผู้ใดเห็นได้ง่าย ๆ เช่นนี้อีก และยามนี้เจ้าก็โตพอที่จะต้องรับรู้ความจริงเรื่องนี้ได้แล้ว” พูดจบ ลู่เจิ้งก็เดินกลับไปหยิบจดหมายที่อยู่ในกล่องไม้ข้างหัวเตียงส่งให้กับบุตรชาย “นี่คือจดหมายของมารดาเจ้า...เอากลับไปอ่านเสีย แล้วหลังจากนี้พ่อขอสั่งห้ามเจ้า! ห้ามถามถึงสตรีนางนั้นให้พ่อได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง!!” เหรินเหยียนชิงพยายามกลั้นสะอื้น ก่อนจะยื่นมืออันสั่นเทาเข้าไปรับจดหมายมาจากผู้เป็นบิดา จากนั้นเขาจึงรีบวิ่งกลับไปยังห้องพักของตนเอง เมื่อเด็กชายตัวน้อยว
“เหยียนชิง ตอนนี้การอ่านและเขียนตัวอักษรของเจ้าดีขึ้นมากแล้ว เช่นนั้นวันนี้อาจารย์ขอสั่งงานให้เจ้าไปหัดเขียนนามของตนเองและนามของคนในครอบครัว แล้วนำมาส่งให้อาจารย์ในวันพรุ่งนี้” “ได้ขอรับ” เหรินเหยียนชิงในวัยเจ็ดหนาวตอบรับคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ จากนั้นเด็กชายตัวน้อยจึงเดินออกไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตูเรือน ก่อนจะเดินกลับเข้ามานั่งที่ศาลาหน้าเรือนใหญ่เพื่อเริ่มงานที่ผู้เป็นอาจารย์ได้สั่งเขาเอาไว้ เด็กชายตัวน้อยหยิบพู่กันขึ้นมาบรรจงเขียนนามของตนเอง แล้วตามด้วยนามของผู้เป็นบิดา จากนั้นเขาจึงนึกขึ้นได้ว่า เหตุใดเขาถึงไม่มีมารดาเหมือนกับผู้อื่น? และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เขาสงสัยมานานแล้ว เพราะที่ผ่านมาเหรินเหยียนชิงเห็นเด็กทุกคนในเรือนต่างก็มีมารดาเป็นของตัวเอง จะมีก็แต่เขาเท่านั้นที่มีเพียงบิดาและท่านตา... แล้วในระหว่างที่เด็กชายตัวน้อยกำลังนั่งคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นผู้เป็นบิดาเดินกลับเข้ามาในเรือน แต่ดูเหมือนว่าวันนี้บิดาของเขาจะแวะไปดื่มสุรากับสหายก่อนกลับเรื
เหรินเหยียนชิงที่ไม่รู้ว่าจินเฟยหลงมาขอโทษเขาด้วยเรื่องอะไร เขาจึงหยุดดิ้นและรอฟัง...แต่เมื่อคิดไปถึงคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายในยามนี้แล้ว เหตุใดมันช่างเหมือนกับ.... “เหตุใด? คำพูดที่ท่านพูดกับข้าเมื่อครู่ มันถึง...” “ใช่! มันคือคำพูดของเจ้าที่เคยใช้พูดกับข้า และสิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เจ้าเคยทำให้ข้ามาแล้วทั้งสิ้น” จินเฟยหลงยอมรับเพราะเขาไม่เคยปลอบใจผู้ใดมาก่อน เขาจึงยืมวิธีของคนตรงหน้ามาใช้ปลอบใจเจ้าตัวในยามนี้ จินเฟยหลงเมื่อรู้สึกว่าเหรินเหยียนชิงหยุดดิ้นรนเพื่อออกจากอ้อมแขนของเขาแล้ว เขาจึงคลายแขนข้างขวาของตนเองออกมา จากนั้นเขาก็ใช้มือข้างนั้นลูบลงไปที่แผ่นหลังของคนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ “หากเจ้าอยากจะร้องไห้ก็จงร้องออกมาเถิด...ไม่ต้องอดทน เพราะในห้องนี้มีเพียงแค่เจ้ากับข้า และข้าก็ขอให้สัญญาว่า...ข้าจะไม่ก้มลงไปมอง” ‘ประโยคนี้ก็คำพูดของข้า...
เหรินเหยียนชิงเมื่อกลับมาถึงร้านฝากขาย เขาก็รีบพาตัวเองเข้าไปยังห้องพักส่วนตัวของเขาทันที และเมื่อประตูห้องปิดลง...เขาก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปนั่งชันเขาพิงประตูบานนั้นเอาไว้ ในอดีตตอนที่เหรินเหยียนชิงเข้าไปพักอยู่ในเรือนพักของสำนักศึกษาหลวง ทุกครั้งที่เขาได้ยินว่ามีคนตระกูลเยว่เข้ามาใกล้ยังบริเวณที่เขากำลังอยู่...เขาก็มักจะคอยมองหาว่าใช่สตรีนางนั้นหรือไม่? หรือในทุกครั้งที่เขาเห็นเยว่ซือซือ เขาก็มักจะคอยมองหาว่าสตรีนางนั้นได้มากับบุตรสาวของนางหรือไม่? แต่ที่ผ่านมาเขาก็ยังไม่เคยได้พบและไม่เคยได้เจอกับสตรีนางนั้นเลยสักครั้ง เหรินเหยียนชิงเคยคิดเอาไว้ว่าหากมีวันใดวันหนึ่งที่เขาได้เจอกับสตรีนางนั้น สตรีที่ให้กำเนิดเขา...แล้วทิ้งเขาไป และยังสั่งห้ามเขาไม่ให้เรียกนางว่า ‘แม่’ เขาจะเดินเข้าไปหานางและถามนางว่า... ‘ท่านไม่เคยรักท่านพ่อและไม่เคยรักบุตรชายของท่านอย่างข้าเลยจริง ๆ หรือขอรับ?’ แต่พอมาถึงว
“ท่านแม่ทัพใหญ่เจ้าคะ ข้ามีข้อมูลสำคัญมาบอกท่าน แต่...ข้อมูลที่ข้าจะบอกกับท่าน ข้าขอแลกกับชีวิตและความปลอดภัยของบุตรทั้งสองของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ?” เฉิงเจียวจินพูดพร้อมกับมองไปที่บุตรสาวและบุตรชายของนาง “ยามนี้ข้าคงยังรับปากฮูหยินรองเยว่ไม่ได้ แต่ในระหว่างนี้ข้าสามารถรับรองความปลอดภัยของพวกท่านจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง และข้าจะนำคำขอของท่านไปบอกกับผู้ที่น่าจะช่วยพวกท่านได้ ข้าสัญญา! แต่ข้าอยากถามท่านให้แน่ใจ ท่านยินดีที่จะแจ้งข้อมูลพวกนี้กับข้าจริง ๆ ใช่หรือไม่? เพราะข้อมูลที่ท่านกำลังจะแจ้งกับข้านั้น มันอาจเป็นการทำลายชีวิตของสามีและครอบครัวของสามีท่านได้เลย” “เจ้าค่ะ ข้าขอเรียนท่านแม่ทัพใหญ่ตามตรงความเป็นอยู่ของพวกข้าสามแม่ลูกในจวนแห่งนั้น มันไม่ได้ดีและไม่ได้เป็นอย่างที่คนภายนอกเห็น เพราะผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนแห่งนั้นหาได้เอ็นดูพวกข้าสามแม่ลูกมากนัก และบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาบุตรทั้งสองของข้า ก็เพียงแค่ต้องการหาผลประโยชน์จากพวกข้าสามแม่ลูกเท่านั้น” เฉิงเจียวจินพูดจบก็หันไปมองที่บุตรสาว ก่อนท
ชิงหลวนคุนนอนไม่หลับ เขาจึงเดินออกมาจากห้องพักเพื่อไปนั่งรับลมที่ระเบียง แต่เมื่อเขาเดินไปถึง...เขาก็เห็นจินเฟยหลงนั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว “เฟยหลงเจ้าก็นอนไม่หลับเหมือนกันหรือ?” ชิงหลวนคุนเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งข้างจินเฟยหลง จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของอีกฝ่าย ความจริงแล้วเขาออกมานั่งรับข้อมูลเรื่องครอบครัวของเหรินเหยียนชิงที่เขาให้ลูกน้องไปตามสืบมา ยามนี้มีหลายเรื่องของคนตัวเล็กที่เขาเพิ่งได้รู้ แล้วมันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว “หากเจ้ายังไม่ง่วง อย่างนั้นพวกเรามานั่งร่ำสุราด้วยกันสักหน่อยดีหรือไม่?” “ดี” จินเฟยหลงตอบรับคำชวนของชิงหลวนคุนทันที เพราะยามนี้เขาก็รู้สึกอยากดื่มสุราเช่นกัน ซงหยวนกับหยงหมินที่เดินตามผู้เป็นนายออกมาจากห้องพักด้วย เมื่อได้ยินว่าผู้เป็นนายต้องการร่ำสุราพวกเขาจึงแยกตัวออกไปเตรียมของ