จินเฟยหลงรีบเดินทางกลับไปยังเรือนพักในสำนักศึกษาทันที เพราะปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ศึกษาอยู่ที่นี่ และที่ผ่านมาตัวเขาเองก็แทบจะไม่ได้เข้าเรียน แต่ก็ยังดีที่เขามีสหายอย่างเหรินเหยียนชิงเพราะอีกฝ่ายคอยช่วยเหลือเขาเรื่องนี้มาโดยตลอด
“กลับมาแล้วหรือ?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยทักจินเฟยหลง หลังจากที่เขาเพิ่งไปอาบน้ำกลับมาแล้วเจออีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาในเรือนพักพอดี
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้าตอบกลับ พร้อมกับมองใบหน้าของสหายที่เขาพยายามหลบหน้ามาเกือบสองวัน
“ยินดีด้วยนะ”
“อืม”
จากนั้นจินเฟยหลงจึงเดินกลับเข้าไปในห้องพัก ก่อนจะเอ่ยถามตัวเองในใจ
‘เหตุใดความรู้สึกแปลก ๆ ยามมองหน้าเหยียนชิงถึงยังไม่หายไป’
แล้วในขณะนั้นเหรินเหยียนชิงก็เดินเข้ามาพูดกับเขาในห้อง
“เออ...เฟยหลงใกล้จะเปิดเรียนแล้ว คืนนี้เจ้าจะเอาสมุดที่ข้าจดส่วนที่ท่านอาจารย์สอนในช่วงที่เจ้าไม่อยู่ไปอ่านดูเลยดีหรือไม่?”
“ได้ ขอบใจเจ้ามาก”
จากนั้นจินเฟยหลงก็เห็นเหรินเหยียนชิงพยักหน้าตอบรับคำพูดของเขา ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปจากห้องของเขาสักพัก แล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับสมุดและหนังสือหลายเล่มในอ้อมแขน
“นี่คือส่วนที่พวกข้าได้เรียนทั้งหมดในช่วงที่เจ้าไม่อยู่...เจ้าลองศึกษาดูนะ แล้วก็พวกนี้จะเป็นส่วนที่เจ้าต้องอ่าน เพื่อตามไปขอสอบเก็บคะแนนกับท่านอาจารย์ในแต่ละวิชา ส่วนเรื่องเนื้อหาที่จะใช้สอบข้าก็ได้มีจดแยกไว้ในสมุดเล่มนี้ให้กับเจ้าแล้ว แต่ถ้าติดตรงไหนก็เข้าไปถามข้าที่ห้องได้เลยนะ” เหรินเหยียนชิงจัดการแยกสมุดกับหนังสือออกเป็นกอง ๆ แล้วนำเอาไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของจินเฟยหลง เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เข้าใจง่ายขึ้น
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
“อืม...เจ้าก็อย่าหักโหมมากล่ะ”
จินเฟยหลงพยักหน้ารับ แล้วมองตามอีกฝ่ายที่เดินออกจากห้องของเขาไป
จากนั้นชีวิตของจินเฟยหลงในสำนักศึกษาก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย โดยมีเหรินเหยียนชิงคอยช่วยเหลือ...
“นั่นใช่คุณชายมู่กับคุณชายหลี่หรือไม่...ข้าได้ยินข่าวมาว่าคนทั้งคู่กำลังจะเข้าพิธีมงคลสมรส ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” จิงเสี่ยวเจี้ยนชี้ชวนให้สหายในกลุ่มดูคู่รักที่กำลังมีข่าวดังทั่วเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้ หลังจากพวกเขาทั้งสี่คนออกมารับสำรับเย็นด้วยกันที่โรงเตี๊ยมแถวตลาด
“อืม…น่าจะใช่” จิงเสี่ยวจางเอ่ยตอบแฝดผู้พี่ของเขา ก่อนจะหันกลับมาต่อว่าสหายที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา
“เหยียนชิงเหตุใดเจ้าต้องมาคอยแกะก้างปลาออกให้เฟยหลงอีกแล้วล่ะ ทีกับข้าเจ้ายังไม่เคยแกะให้ข้ากินบ้างเลย ข้าก็เป็นสหายของเจ้านะ! และเป็นสหายกับเจ้ามานานพอ ๆ กับเจ้านี่ด้วย แต่ทำไมเจ้าไม่ยอมดูแลข้าเหมือนกับเฟยหลงบ้างเลยล่ะ”
“อาจางเจ้าก็งอแงเป็นเด็ก ๆ ไปได้ อะ...แบบนี้พอใจแล้วหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับตักซี่โครงหมูในสำรับให้จิงเสี่ยวจาง เพราะยามนี้อาหารที่พวกเขาสั่งมา มีแต่ของที่ต้องแงะหรือไม่ก็ต้องเลาะก่อนที่จะกิน อย่าง ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ปลานึ่ง หรือแม้แต่เป็ดย่าง
และก็คงเพราะที่ผ่านมาเหรินเหยียนชิงกับจินเฟยหลงรับสำรับด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงรู้ว่าอีกฝ่ายมักจะติดนิสัยการกินเร็วและเลือกกินเฉพาะของที่กินได้แบบง่าย ๆ อย่างที่เจ้าตัวต้องกินในยามออกไปทำศึกมา ดังนั้นยามที่พวกเขารับสำรับร่วมกัน เหรินเหยียนชิงจึงมักจะคอยสั่งอาหารที่กินได้อย่างง่าย ๆ ให้กับจินเฟยหลง หรือไม่เขาก็จะคอยแกะก้างปลา เลาะเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ออกจากกระดูก แล้วนำไปวางไว้ให้อีกฝ่ายแบบในยามนี้ เพราะไม่อย่างนั้นหากอาหารตรงหน้าของจินเฟยหลงเป็นอาหารที่ดูจะกินยากในสายตาของเจ้าตัว อีกฝ่ายก็มักจะเลือกตักกินแต่ข้าวเปล่าในถ้วย หรือไม่เจ้าตัวก็มักจะเลือกตักเอาแต่น้ำแกงมาราดข้าวในถ้วยแล้วกิน แบบในยามนี้...
จินเฟยหลงก้มลงไปมองที่ถ้วยข้าวของตัวเอง จากนั้นเขาจึงลงมือตักทุกอย่างในถ้วยกินอย่างเงียบ ๆ
‘เจ้าก็มักจะทำแบบนี้ให้ข้าเสมอ จนยามนี้ข้าเองก็คงจะเคยตัวไปเสียแล้ว...เหยียนชิง’ จินเฟยหลงคิดในใจ
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เลาะกระดูกมาให้ข้าด้วยเล่า เฮ้อ...แต่ก็ช่างเถอะ!” จิงเสี่ยวจางยังคงบ่นเหรินเหยียนชิงต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองยังสองบุรุษที่แฝดผู้พี่ของเขาชี้ชวนให้พวกเขาดูเมื่อครู่
“หากมองเพียงผิวเผิน...ก็แทบจะดูไม่ออกเลยนะว่าคุณชายทั้งสองนั้นเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้น
“แต่...คุณชายมู่ที่แต่งเข้าตระกูลหลี่ก็ดูรูปงาม ร่างกายโปร่งบาง ผิวขาว โดยรวมแล้วก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อยเลยนะเนี่ย” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดต่อจากแฝดผู้น้องของเขา
“แต่ถึงอย่างไรการที่บุรุษแต่งให้กับบุรุษก็คงไร้ซึ่งทายาทไว้สืบสกุล ข้าได้ข่าวมาว่า...กว่าที่คนทั้งสองจะได้ลงเอยกับอย่างทุกวันนี้ก็เอาเรื่องอยู่เลยนะ เพราะผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลในตอนแรกต่างก็ไม่เห็นด้วยกับความรักของคนทั้งคู่” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้นก่อนจะหันกลับไปหาเหรินเหยียนชิง ที่ยามนี้อีกฝ่ายเอ่ยถามในเรื่องที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่
“จริงหรือ?”
“อืม...แต่ข้าก็ไม่แน่ใจนะ เพราะข้าเองก็ได้ยินมาจากพวกชาวบ้านอีกที แต่จะว่าไป...เหยียนชิงของเราก็ตาโต แก้มป่อง ถึงใบหน้าจะไม่ค่อยหวานแต่ก็ออกไปทางน่าเอ็นดู รูปร่างก็โปร่งบางไม่กำยำ ผิวพรรณก็ดูขาวใช้ได้ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เนียนเท่ากับสตรี แล้วไหนจะริมฝีปากบางสีแดง ๆ นี่อีก” จิงเสี่ยวจางพูดพร้อมกับสำรวจใบหน้า และรูปร่างของเหรินเหยียนชิงไปด้วย
หลังจากผ่านเหตุการณ์การสูญเสีย จินเฟยหลงก็เริ่มใช้ชีวิตให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ โดยแต่ละวันของเขาก็แทบจะไม่พูดคุยกับผู้ใดอีกเลย แม้แต่สหายร่วมเรือนอย่างเหรินเหยียนชิง ยามนี้จินเฟยหลงหมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อไปอีกแล้ว ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะจบชีวิตของตนเองลง แต่เหรินเหยียนชิงก็ดันเข้ามาเจอตอนที่เขากำลังจะลงมือทำเสียก่อน “เฟยหลงลุกขึ้น...ได้ยินหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้น!!” จินเฟยหลงหันมามองเหรินเหยียนชิงที่เข้ามาตวาด และกระชากแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง“ไม่...ข้าจะนอน” “ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นมา!!” จินเฟยหลงถูกเหรินเหยียนชิงกระชากแขนจนต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ยามนี้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้ามาล้ำเส้นในชีวิตของเขามากจนเกินไปเสียแล้ว!&nb
“เฟยหลง หยุดฝึกดาบแล้วมาอ่านหนังสือกับข้าก่อน พรุ่งนี้จะมีสอบศาสตร์ด้านการคำนวณกับบทกวี ส่วนนี้เป็นส่วนที่ข้าจดแยกหัวข้อเอาไว้แล้ว ข้าคิดว่าท่านอาจารย์น่าจะ...” “อืม...ได้” จินเฟยหลงตอบรับคำสั่งของสหาย ตั้งแต่ที่เจ้าตัวบอกกับเขาว่าจะมีสอบ จากนั้นเขาจึงเดินไปล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วพอกลับมาเขาก็ได้รับสายตาคาดโทษจากคนตัวเล็ก ดูท่าคงจะโมโหที่เขาเดินออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะพูดจบเป็นแน่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจินเฟยหลงจึงเลือกเดินเลยโต๊ะไม้ที่เหรินเหยียนชิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ แล้วตรงไปยังห้องพักของเขาเพื่อเข้าไปหยิบขนม จากนั้นเขาจึงเดินกลับมาแล้ววางขนมในมือลงที่กลางโต๊ะไม้ ก่อนที่ตัวเขาจะเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหรินเหยียนชิง แล้วหยิบสมุดที่เจ้าตัวจดแยกหัวข้อที่จะสอบขึ้นมาอ่าน และเพียงไม่นานเขาก็เห็นคนตรงหน้าเอื้อมมือมาหยิบขนมของเขาขึ้นไปกิน แล้วหลังจากที่เหรินเหยียนชิงได้กินขนมสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้น และเพียงไม่นานอีกฝ่า
“กลับมาแล้วหรือ?” พูดจบ เหรินเหยียนชิงก็มองตามหลังจินเฟยหลงที่เดินผ่านหน้าเขาเข้าไปในห้องพัก โดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันกลับมองหรือสนใจที่เขาเอ่ยทักเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจปิดหนังสือในมือ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามจินเฟยหลงเข้าไปในห้องพักของเจ้าตัว เหรินเหยียนชิงเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักของจินเฟยหลง เขาก็เห็นเจ้าตัวกำลังนั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ตรงมุมห้อง เขาจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย จากนั้นเขาจึงลองเอ่ยถามคนตรงหน้าอีกครั้ง “เฟยหลง...เจ้าเป็นอะไร? หรือที่จวนมีอะไรเกิดขึ้น?” “เหยียนชิงคือข้า...ข้าเพิ่งได้รู้สิ่งที่มารดาของข้าทำในอดีต...” จากนั้นจินเฟยหลงจึงเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้มาให้คนตรงหน้าฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่มารดาของเขาทำ...ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือจบชีวิตของตนเองลง และก็ด้วยเพราะสิ่งที่นางทำมันได้ส่งผลให้จินเฟยเทียน พี่ชายของเขาต้องเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอและป่วยง่าย แล้วก็ด้ว
จินเฟยหลงในวัยแปดหนาวยืนอยู่หน้าเรือนพักหลังหนึ่งในสำนักศึกษาหลวง พร้อมกับห่อผ้าใส่สัมภาระของเขาจำนวนสามห่อ ‘นี่คงเป็นเรือนที่ข้าต้องใช้พักยามอยู่ที่นี่สินะ’ จินเฟยหลงกล่าวกับตนเองในใจ หลังจากที่ผู้เป็นอาจารย์เดินมาส่งเขาที่หน้าเรือนพักแล้วก็เดินจากไปโดยไม่พูด ไม่บอก และไม่แนะนำอะไรกับเขาเลยสักคำ จินเฟยหลงยังคงยืนมองเรือนพักอยู่แบบนั้น เพราะในตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากรับความจริง เพราะเพิ่งจะเมื่อวานที่ผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า ให้เตรียมตัวเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาหลวงพร้อมกับต้องย้ายเข้าไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นห้าวันต่อสัปดาห์ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาสามารถเดินทางไปกลับระหว่างจวนแม่ทัพกับสำนักศึกษาหลวงได้ เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่มีจวนอยู่ในเมืองหลวง แต่เมื่อผู้เป็นบิดาได้ให้เหตุผลกับเขาว่า เพราะในภายภาคหน้าจินเฟยหลงจะต้องสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ รวมไปถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลจินต่อจากบิดา ยามนี้เขาจึงจำเป็นต้องเริ่มฝึกความอดทน ฝึกการอยู่ด้วยต
เหรินเหยียนชิงนั่งรับสำรับเย็นด้วยความรู้สึกมึนงง อยู่ดี ๆ เขาก็กำลังจะแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินให้กับจินเฟยหลง เพราะยังไม่ทันที่เขาจะได้แก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย ยามนี้เจ้าตัวก็กำลังนั่งพูดคุยเรื่องงานมงคลสมรสระหว่างพวกเขากับท่านตาและท่านแม่ของเขาแล้ว โดยจินเฟยหลงได้บอกกับท่านทั้งสองว่า...ยามนี้เจ้าตัวได้ส่งสารไปแจ้งบิดาของตนเองเรียบร้อยแล้ว และบิดาของเจ้าตัวก็น่าจะพาแม่สื่อเข้ามาพูดคุยกับพวกท่านทั้งสองที่นี่ในเร็ววัน “เหยียนชิง เจ้าไม่อยากแต่งให้ข้าหรือ?” จินเฟยหลงเอ่ยถาม หลังจากพาคนตัวเล็กกลับเข้ามานั่งในห้องพักของเจ้าตัว แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่มันไม่ต่างอะไรเลยกับการบังคับคนตรงหน้า แต่หากไม่ทำเช่นนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าเมื่อใดอีกฝ่ายถึงจะยอมแต่งให้เขา “ไม่ใช่! ข้าก็แค่ตั้งตัวไม่ทัน แต่เจ้า...ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเฟยหลง?” “ช้าไปเสียด้วยซ้ำ เหยียนชิงเจ้าก็รู้ว่าด้วยตำแหน่ง หน้าที่ และงานที่
หลังจากวันที่จินเฟยหลงกับเหรินเหยียนชิงบอกรักกัน ยามนี้ก็ได้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สาม ซึ่งในระหว่างสามเดือนที่ผ่านมาจินเฟยหลงก็ได้เดินทางไปกลับระหว่างเมืองหลวงกับเมืองซือโฉวไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว เนื่องจากระยะนี้ตามเขตแนวชายแดนแต่ละฝั่งของแคว้นตง ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรที่น่าเป็นกังวล และยังไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาจะต้องออกเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง ดังนั้นจินเฟยหลงจึงคิดจะใช้ช่วงเวลานี้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับเหรินเหยียนชิงให้ได้มากที่สุด และถ้าหากทำได้เขาก็คิดอยากจะจับอีกฝ่ายแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของเขาให้ได้ในเร็ววัน “เฟยหลง เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ? เดือนนี้เจ้าเดินทางมาหาข้า ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่สี่แล้วนะ” เหรินเหยียนชิงวางหนังสือในมือลงบนเตียง พร้อมกับเอ่ยถามคนที่เดินเข้ามาหาเขาในห้องพัก “ไม่...แค่ได้เห็นหน้าเจ้าข้าก็หายเหนื่อยแล้ว” “แต่ข้าว่าอาหมินอาจไม่ได้คิดอย่างเจ้านะเฟยห