แค่ก แค่ก ๆ
“เฮ้ย! เฟยหลง” จิงเสี่ยวเจี้ยนตกใจที่อยู่ ๆ สหายที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขาก็เกิดสำลักอาหารขึ้นมา
“ข้าขอโทษ”
จินเฟยหลงที่กำลังนั่งกินข้าวของตัวเองอย่างเงียบ ๆ แต่ในระหว่างนั่นเขาก็คอยฟังเรื่องราวที่สหายพูดคุยกันมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยปากโต้ตอบกับพวกสหาย แต่เขาก็คอยคิดตามสิ่งที่ทุกคนพูด จนมาถึงเรื่องที่จิงเสี่ยวจางบรรยายลักษณะของเหรินเหยียนชิง มันทำให้เขาคิดไปถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมา...
“เหยียนชิง หากมีคนมองว่าเจ้าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” จิงเสี่ยวจางยังคงกลับมาพูดเรื่องเดิม หลังจากที่เขาหันไปมองจินเฟยหลงกับแฝดผู้พี่ของเขามาครู่หนึ่ง
“เหตุใดเจ้าถึงมาว่าข้าแบบนี้เล่า ข้าก็แค่เลือกเรียนศาสตร์การคำนวณกับบทกวีมากกว่าที่จะไปเรียนขี้ม้าหรือไปฝึกวรยุทธกับพวกเจ้า ร่างกายของข้าก็เลยไม่กำยำเหมือนกับพวกเจ้าก็เท่านั้นเอง” เหรินเหยียนชิงตอบกลับจิงเสี่ยวจาง เพราะเขาไม่ชอบเรียนศาสตร์ที่ต้องใช้กำลัง เขาจึงเรียนแค่พอรู้และเรียนแค่พอที่จะนำไปใช้ได้เท่านั้น ส่วนเวลาเรียนที่เหลือเขาก็จะเอาไปเรียนศาสตร์ที่ตนเองชอบ จึงทำให้ร่างกายของเขาไม่กำยำเท่ากับสหายทั้งสาม
“แต่ว่า...มีคนมองเจ้าแบบนั้นจริง ๆ นะ หากยามนี้เจ้าไม่ได้พักอยู่กับเฟยหลง ก็คงมีบุรุษตามไปเกี้ยวเจ้าถึงเรือนแล้วเป็นแน่”
“อาจางเจ้าก็ช่างพูดไป”
“ข้าพูดเรื่องจริง” จิงเสี่ยวจางยืนยันสิ่งที่ตัวเองพูด พร้อมกับเล่าข่าวลือในสำนักศึกษาช่วงก่อนให้อีกฝ่ายฟังต่อ...
“และก็ยังเคยมีคนปล่อยข่าวลือว่า เจ้ากับเฟยหลงเป็น...”
“ข้าจะกลับละ! อาเจี้ยนข้าฝากจ่ายค่าสำรับก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะไปจ่ายคืนให้” เหรินเหยียนชิงลุกออกจากโต๊ะทันที เพราะเขาไม่อยากจะอยู่ฟังเรื่องที่จิงเสี่ยวจางพูดต่ออีกแล้ว
“เฮ้ย...เหยียนชิง! ข้าขอโทษข้าก็แค่สนุกปากมากเกินไป ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น อย่าโกรธข้าเลยนะ เหยียนชิงฟังข้าก่อน...” จิงเสี่ยวจางรีบลุกตามเหรินเหยียนชิงไปทันที
“จะว่าไปเหยียนชิง ก็น่าเอ็นดูอย่างที่อาจางพูดจริง ๆ นั่นแหละ” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดขึ้นระหว่างที่รอคนมาเก็บเงินค่าสำรับ
“เรื่องที่อาจางพูดเมื่อครู่ จริงหรือ?” จินเฟยหลงเอ่ยถามสหายตรงหน้า
“จริงทั้งสองเรื่อง อย่างเรื่องที่มีบุรุษอยากจะตามเกี้ยวเหยียนชิงนั้นก็จริง แต่เพราะยามที่อยู่ในสำนักศึกษาเหยียนชิงไม่อยู่กับเจ้าก็จะอยู่กับพวกข้าตลอด แล้วไหนจะเรือนพัก...เหยียนชิงก็ยังพักอยู่เรือนเดียวกับเจ้าอีก จึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเหยียนชิงมากนัก ส่วนเรื่องข่าวลือในสำนักศึกษาก็มีลือกันอยู่พักหนึ่งว่า...เจ้ากับเหยียนชิงเป็นคู่รักกัน” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดจบก็มองไปที่อีกฝ่ายก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ...
“ก็เป็นเพราะตัวเจ้าด้วยเฟยหลง จึงทำให้เกิดข่าวลือแบบนี้ขึ้น เพราะเจ้าแทบจะไม่ยอมพูดคุยกับผู้ใดเลยนอกจากเหยียนชิง ขนาดพวกข้าที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับเจ้า ก็ยังแทบจะนับคำพูดของเจ้าที่พูดกับพวกข้าได้เลย แล้วยิ่งเจ้ากับเหยียนชิงไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่ก็ยังดีที่พอเจ้าออกไปทำศึก ข่าวลือเรื่องนี้มันจึงเริ่มซาลงแล้วหายไป”
“ถึงพวกข้าจะรู้ว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่จะให้พวกข้าไปไล่ตามแก้ข่าวให้...มันก็ไม่ใช่เรื่อง และในตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงข่าวลือนี้กันอีกแล้ว แต่พอ...” จิงเสี่ยวเจี้ยนเผลอพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา แล้วพอได้เห็นสายตาของสหายเขาก็เลยตัดสินใจพูดสิ่งที่เขาคิดต่อจนจบ
“แต่พอเจ้ากลับมา... แล้วก็ยังมีข่าวเรื่องงานมงคลสมรสระหว่างคุณชายตระกูลมู่กับคุณชายตระกูลหลี่แบบในยามนี้ด้วยอีก ก็ไม่แน่ว่า...อาจจะมีคนขุดข่าวลือที่ไม่จริงของพวกเจ้า กลับขึ้นมาพูดกันอีกก็ได้”
“ไม่!” จินเฟยหลงตอบกลับจิงเสี่ยวเจี้ยน จากนั้นเขาก็ลุกออกจากโต๊ะไปทันที
หลังจากวันนั้นจินเฟยหลงก็พยายามเอาตัวเองออกมาให้ห่างจากเหรินเหยียนชิงอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ยามที่เขาต้องอยู่ในสำนักศึกษา เขาก็พยายามให้สหายของเขาอยู่ด้วยกันให้ครบทั้งสี่คน และตัวเขาเองก็พยายามที่จะไม่อยู่หรือไม่เดินเพียงลำพังกับเหรินเหยียนชิงอีก
แต่ก็ยังดีที่ในช่วงนี้จินเฟยหลงเองก็แทบจะไม่มีเวลาว่าง เพราะในช่วงเย็นของทุกวันเขาจะต้องกลับไปที่จวนแม่ทัพเพื่อไปฝึกเพิ่มเติมกับผู้เป็นบิดาและท่านกุนซือพร้อมกับชิงหลวนคุน และหากวันใดว่างเขาก็ต้องออกไปทำงานที่ค่ายทหาร ตามตำแหน่งและหน้าที่ที่เขาเพิ่งจะได้รับมา
และการมาทำงานที่ค่ายทหารของจินเฟยหลง เขาก็จะได้เจอกับสตรีสองนาง ที่มักจะเข้ามาวนเวียนอยู่รอบกายเขา จินเฟยหลงจึงเลือกเปิดโอกาสให้กับหนิงฮุ่ยหลิง เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้กันเยว่ซือซือให้ถอยห่างออกจากตัวเขา
จนเมื่อมีข่าวดีที่จวนราชครูเรื่องหลงฮูหยินได้ให้กำเนิดบุตรชาย จินเฟยหลงกับหนิงฮุ่ยหลิงจึงได้เป็นตัวแทนของจวนแม่ทัพกับจวนรองแม่ทัพไปแสดงความยินดี แล้วหลังจากวันนั้นก็เกิดเป็นข่าวใหญ่ในเมืองหลวงว่าเขากำลังคบหาอยู่กับหนิงฮุ่ยหลิง ซึ่งจินเฟยหลงเองก็ไม่คิดที่จะแก้ข่าว เพราะเขาคิดว่าการมีข่าวแบบนี้ก็คงจะดีที่สุดแล้วสำหรับตัวเขา
และก็คงเพราะหนิงฮุ่ยหลิงเป็นสตรีที่ไม่วุ่นวายดังเช่นสตรีนางอื่น และที่สำคัญเครื่องหอมที่นางใช้ก็ไม่มีกลิ่นหอมชวนให้เวียนหัว จินเฟยหลงจึงคิดเอาไว้ว่า...หากสุดท้ายแล้วชีวิตของเขาจะต้องลงเอ่ยกับสตรีสักนาง แล้วสตรีนางนั้นคือหนิงฮุ่ยหลิง ยามนั้นชีวิตของเขาก็คงจะดู...ไม่แย่นัก!
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
ชิงหลวนคุนนอนไม่หลับ เขาจึงเดินออกมาจากห้องพักเพื่อไปนั่งรับลมที่ระเบียง แต่เมื่อเขาเดินไปถึง...เขาก็เห็นจินเฟยหลงนั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว “เฟยหลงเจ้าก็นอนไม่หลับเหมือนกันหรือ?” ชิงหลวนคุนเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งข้างจินเฟยหลง จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของอีกฝ่าย ความจริงแล้วเขาออกมานั่งรับข้อมูลเรื่องครอบครัวของเหรินเหยียนชิงที่เขาให้ลูกน้องไปตามสืบมา ยามนี้มีหลายเรื่องของคนตัวเล็กที่เขาเพิ่งได้รู้ แล้วมันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว “หากเจ้ายังไม่ง่วง อย่างนั้นพวกเรามานั่งร่ำสุราด้วยกันสักหน่อยดีหรือไม่?” “ดี” จินเฟยหลงตอบรับคำชวนของชิงหลวนคุนทันที เพราะยามนี้เขาก็รู้สึกอยากดื่มสุราเช่นกัน ซงหยวนกับหยงหมินที่เดินตามผู้เป็นนายออกมาจากห้องพักด้วย เมื่อได้ยินว่าผู้เป็นนายต้องการร่ำสุราพวกเขาจึงแยกตัวออกไปเตรียมของ
จิงเสี่ยวจางที่รับฟังเหรินเหยียนชิงเล่าเรื่องร้านฝากขายมาได้สักพัก ในระหว่างนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูจะมีความสุขเมื่อได้พูดถึงเรื่องกิจการภายในครอบครัว จนเมื่อเขาเห็นว่าสหายน่าจะเล่าจบแล้ว เขาจึงคิดที่จะถามเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวบ้าง เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงผู้เป็นบิดา แต่เมื่อวานเหรินเหยียนชิงบอกกับพวกเขาว่าเจ้าตัวอาศัยอยู่กับผู้เป็นตาในจวนตระกูลเหรินเพียงแค่สองคน แล้วก็ด้วยเพราะตอนที่อยู่ในสำนักศึกษาหลวง เจ้าตัวก็ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของตนเองให้พวกเขาฟังเลยสักครั้ง “เหยียนชิงข้าขอถามได้หรือไม่? แล้วตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้า...” “ได้ ท่านพ่อของข้าได้จากข้าไปแล้ว ส่วนท่านแม่...เท่าที่ข้ารู้ ยามนี้นางก็ดูมีความสุขดี เดี๋ยวก่อนกลับจวนข้าพาเจ้าแวะไปชิมขนมร้านดังในเมืองซือโฉวดีกว่า ว่าแต่ช่วงบ่ายเจ้าจะไปตรวจโรงเตี๊ยมที่ไหน? หากข้าตรวจบัญชีร้านเสร็จทันข้าอาจจะไปกับเจ้าด้วยก็ได้” เหรินเหยียนชิงตอบคำถามของสหายเท่าที่เขาพอจะตอบได้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่
“เฟยหลงไม่ใช่ว่าเจ้าออกมาจากเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนหรอกหรือ? แล้วเหตุใดเจ้าเพิ่งจะมาถึงล่ะ?” ชิงหลวนคุนเอ่ยทักจินเฟยหลงทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องสั่งการ ซงหยวนที่เห็นจินเฟยหลงเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงก้มลงไปคำนับให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะถอยออกไปเฝ้าหน้าห้องพร้อมกับหยงหมิน “ข้าแวะไปพักที่จวนของสหายในเมืองซือโฉวก่อนมาที่นี่” จินเฟยหลงตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ “เจ้าไปพักที่จวนสหาย!” ชิงหลวนคุนแปลกใจกับคำตอบของจินเฟยหลง เพราะตั้งแต่ที่เขารู้จักกับอีกฝ่ายมา หากไม่ใช่ค่ายทหารจินเฟยหลงก็จะกลับไปพักที่จวนของตัวเอง จะมีก็เพียงแค่ในวัยเยาว์ที่อีกฝ่ายได้เข้าไปพักที่สำนักศึกษาหลวง เพราะจินเฟยหลงจะไม่ยอมเข้าพักในที่ที่เจ้าตัวไม่วางใจ แม้แต่ในยามที่พวกเขาต้องออกไปทำงานนอกเมืองด้วยกัน อีกฝ่ายก็ยังเลือกนั่งร่ำสุราแทนการหาที่พักเลย นั่นก็ด้วยเพราะตำแหน่งและอำนาจในมือของจินเฟยหลง ยิ่งในยามนี้หากไม่ระวังตัว...ก็มีแต่จะต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้า
จินเฟยหลงเมื่อเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง เขาก็รีบเลือกห้องพักของตนเอง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะลอบออกมา...แล้วแอบสะกดรอยตามเหรินเหยียนชิงไปจนถึงหน้าเรือนพักของอีกฝ่าย จินเฟยหลงแปลกใจที่เหรินเหยียนชิงไม่ได้พักอยู่ที่เรือนใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับพักอยู่ที่เรือนหลังเล็กท้ายจวน และหากเขาจำไม่ผิด...ตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เหรินเหยียนชิงบอกกับพวกเขาว่าอีกฝ่ายอาศัยอยู่กับผู้เป็นตาในจวนแห่งนี้เพียงแค่สองคน แล้วคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเหรินเหยียนชิงล่ะ? แล้วเหตุใด? ในเมื่อมีกันแค่สองคน อีกฝ่ายถึงเลือกมาพักอยู่ที่เรือนหลังนี้ผู้เดียว ยามนี้จินเฟยหลงเกิดคำถามเรื่องครอบครัวของเหรินเหยียนชิงขึ้นมาไม่น้อย เพราะตอนที่พวกเขาพักอยู่ด้วยกันที่เรือนพักในสำนักศึกษา อีกฝ่ายก็ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวให้เขาฟังเลยสักครั้ง และก็คงจะด้วยเพราะตัวเขาเองที่เป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยชอบซักถาม สงสัย...หลังจากนี้เขาคงต้องให้คนไปสืบเรื่องของเหรินเหยียนชิงมาให้เขาเสียแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นขบวนเดินทางขนาดย่อมที่นำโดยเหรินเหยียนชิงก็ได้เดินทางมาถึงจวนคหบดีเหริน... จินเฟยหลงมองไปที่จวนขนาดใหญ่ตรงหน้า สี่ปีที่ผ่านมายามใดที่เขาเดินทางผ่านมายังเมืองซือโฉว เขาก็มักจะคอยมองหาเหรินเหยียนชิงเพราะเขาไม่รู้ว่าจวนของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด และที่จวนแห่งนี้เขาก็เคยมาแอบมองอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเลยสักครั้ง หากในตอนนั้นเขาไม่ทำเพียงแค่คอยมองหา ยามนี้พวกเขาก็คง... “เหยียนชิง ที่นี่คือจวนเจ้าหรือ?” จิงเสี่ยวจางถามขึ้นเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าจวนขนาดใหญ่หลังหนึ่ง “ใช่...ที่นี่คือจวนตระกูลเหริน ข้าอาศัยอยู่กับท่านตาที่นี่แค่สองคน พวกเราเข้าไปหาท่านตาของข้ากันเถิด” เหรินเหยียนชิงตอบรับคำพูดของสหายพร้อมกับชวนอีกฝ่ายเข้าไปในจวน “คุณชายเหรินขอรับ...พวกข้าคงต้องขอตัวกลับสำนักก่อนนะขอรับ” เพ่ยฉีพูดพร้อมกับก้มลงไปคำนับให้กับพวกเหรินเหยียนชิง
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงต้องรีบออกไปทำข้อสอบอีกหนึ่งวิชาที่เหลืออยู่ แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากเรือน เขาได้แวะเข้าไปดูเหรินเหยียนชิงในห้องพักของเจ้าตัว แล้วเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง สงสัยว่าเมื่อคืนคนตรงหน้าคงนอนไม่หลับเหมือนกันกับเขา เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าจิงเสี่ยวจางจะเข้ามาเห็นในสิ่งที่เขาทำเมื่อคืน หลังจากที่จินเฟยหลงทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เขาก็รีบตรงไปยังบริเวณที่กลุ่มของพวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะมากล่าวลากัน ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะต้องแยกย้ายกันไปในวันนี้ แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินมาถึงบริเวณที่นัดหมาย เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังถูกคู่แฝดสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ และก็ดูเหมือนว่าจิงเสี่ยวจางน่าจะเล่าเรื่องที่ได้เห็นให้กับแฝดผู้พี่ของเจ้าตัวฟังหมดแล้ว “เหยียนชิง เรื่องเมื่อคืน...” จิงเสี่ยวจางที่คิดจะถามเรื่องเมื่อคืนกับสหายตรงหน้า แต่เขาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำถามจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ชิงตอบคำถามของเขากลับมาเสียก่อน “ที่เจ้าเห็นมันไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคิด คือ...เมื่อคืนพวกเจ้าก็เห็นว่าเฟยหลงค่อนข้างที่จะเมาหนัก” “อืม...