จินเฟยหลงแม้ตัวจะนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้แต่ทุกความสนใจของเขา ได้ย้ายไปอยู่ที่โต๊ะของพวกเหรินเหยียนชิงเรียบร้อยแล้ว และด้วยเพราะเมื่อก่อนทุกครั้งที่พวกเขารับสำรับด้วยกัน คนที่เหรินเหยียนชิงจะคอยให้ความสนใจและคอยให้การดูแลก็คือเขา...หาใช่ผู้อื่นไม่! และเนื้อปลาที่ถูกแกะก้างปลาออกเรียบร้อยแล้วคนที่จะได้กินเป็นคนแรกทุกครั้งก็คือเขา แต่ในยามนี้มันหาได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
“คุณชายรองจินลองกินไก่จานนี้ดูนะเจ้าคะ ข้าลองแล้วใช้ได้เลยเจ้าค่ะ” หนิงฮุ่ยหลิงตักน่องไก่ทอดไปวางไว้ที่ถ้วยข้าวของจินเฟยหลง เพราะเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวและมองไปยังโต๊ะสหายของเจ้าตัวอีกโต๊ะหนึ่ง โดยไม่ยอมกินข้าวในชามเลยแม้แต่คำเดียว
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของหนิงฮุ่ยหลิง แต่เขาก็ไม่ได้กินน่องไก่ที่มาพร้อมกับกระดูกจากนางแต่อย่างใด
จิงเสี่ยวเจี้ยนเห็นจินเฟยหลงกับหนิงฮุ่ยหลิงยามนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องพูดอะไรออกมาหรือไม่ เพราะจินเฟยหลงก็เอาแต่มองไปที่เหรินเหยียนชิงโดยไม่สนใจสตรีที่นั่งอยู่ข้างกาย ส่วนหนิงฮุ่ยหลิงก็ตักอาหารให้กับจินเฟยหลง โดยไม่รู้เลยว่าสหายของเขามีนิสัยการกินเช่นไร แต่...ดูท่าแล้วกระดูกที่อยู่ในไก่ชิ้นนั้นคงจะไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงของจินเฟยหลงในยามนี้
จิงเสี่ยวเจี้ยนเลิกสนใจสองคนตรงหน้า แล้วหันไปเอ่ยปากถามสหายอีกโต๊ะหนึ่ง โดยที่เขาหาได้สนใจเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร เพราะพวกเขามักจะชอบพูดคุยกันระหว่างรับสำรับจนติดเป็นนิสัย
“เหยียนชิง แล้วเจ้าจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกกี่วันหรือ?”
“ข้าอยู่คืนนี้อีกแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ข้าก็กลับแล้ว” เหรินเหยียนชิงเงยหน้าขึ้นมาตอบจิงเสี่ยวเจี้ยน
“แล้วเจ้าจะเข้าเมืองหลวงอีกครั้งเมื่อไหร่ นี่ข้าได้เจอเจ้าในรอบสี่ปีเลยก็ว่าได้นะ” จิงเสี่ยวจางถามต่อจากแฝดผู้พี่
“ยังไม่รู้เลยเพราะข้าต้องเดินทางตลอด อย่างไรหากมีวาสนาพวกเราคงได้มาเจอกันอีก”
“อย่างนั้นคืนนี้พวกเรามานั่งร่ำสุราด้วยกันสักหน่อยดีหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยถามหลังได้ฟังคำตอบของสหาย
“ได้สิ แล้วพวกเราจะไปร่ำสุรากันที่ไหนดีล่ะ” เหรินเหยียนชิงถามขึ้น
จินเฟยหลงอยากเอ่ยปากชวนให้ไปร่ำสุราที่จวนของเขา แต่ยามนี้เขายังไม่กล้าร่วมวงพูดคุยกับสหายทั้งสาม โดยเฉพาะกับ...
“นั่นคุณหนูรองเยว่ใช่หรือไม่...สงสัยว่าข่าวลือจะเป็นจริงนะเนี่ย” จิงเสี่ยวจางพูดขึ้นเมื่อเห็นเยว่ซือซือเดินผ่านหน้าโรงเตี๊ยมของเขาพร้อมกับบุตรชายของเสนาคลัง
“ข่าวลืออะไรหรือ?” เหรินเหยียนชิงหันไปมองเยว่ซือซือ เมื่อได้ยินจิงเสี่ยวจางเอ่ยถึงอีกฝ่าย
“ข่าวลือที่ว่า...บิดาของนางจะให้นางแต่งกับบุตรชายคนโตของเสนาคลังอย่างไรล่ะ”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าบุตรชายคนโตของเสนาคลังผู้นี้เป็นคนเช่นไร?” เหรินเหยียนชิงยังคงถามจิงเสี่ยวจางต่อ
“ข้าก็ไม่แน่ใจนะ เพราะบุรุษผู้นี้ค่อนข้างจะเก็บตัว แต่เท่าที่รู้ก็คือบุตรชายคนโตของเสนาคลังผู้นี้ยังไม่มีเรือนหลังเลยนะ”
“แต่...ไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตของเสนาคลังจะทนนางไหวหรือไม่ ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งปากร้ายเสียขนาดนั้น” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยขัดขึ้น
เหรินเหยียนชิงหันไปมองที่จิงเสี่ยวเจี้ยนทันที หลังจากได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายพูด
จิงเสี่ยวจางเห็นดังนั้นจึงแอบกระซิบบอกเรื่องของแฝดผู้พี่กับเยว่ซือซือให้เหรินเหยียนชิงฟัง
“เมื่อก่อนนางชอบมาตามหาเฟยหลงที่นี่บ่อย ๆ น่ะ เลยได้รับฝีปากกับอาเจี้ยนอยู่บ่อยครั้ง”
เหรินเหยียนชิงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับคำพูดของจิงเสี่ยวจาง ก่อนจะหันกลับมาสนใจอาหารในสำรับต่อ
จินเฟยหลงที่มองเหรินเหยียนชิงมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายให้ความสนใจเรื่องของเยว่ซือซือ เพราะตั้งแต่ที่เขารู้จักกับเหรินเหยียนชิงมา อีกฝ่ายไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่องของสตรีมากนัก ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากตัวเขา ขนาดมีสตรีเข้ามามอบไมตรีให้กับเจ้าตัว อีกฝ่ายก็ยังไม่เคยให้ความสนใจ แต่ถ้าหากเมื่อใดที่เห็นหรือเป็นเรื่องของเยว่ซือซือ เหรินเหยียนชิงก็มักจะคอยแอบมอง และคอยให้ความสนใจเรื่องราวของเยว่ซือซือ แบบในตอนนี้เสมอ...
หนิงฮุ่ยหลิงที่คอยมองจินเฟยหลงอยู่...ยามนี้คนตรงหน้าเอาแต่มองไปยังสหายของเจ้าตัว ด้วยสายตาที่นางไม่เคยเห็นอีกฝ่ายใช้มองผู้ใดมาก่อน แม้แต่ตัวนางเองอีกฝ่ายก็ยังไม่เคยมองแบบนี้เช่นกัน!
“มาพูดเรื่องร่ำสุราของพวกเรากันต่อดีกว่า ข้าว่าพวกเราไปนั่งดื่มกันที่จวนของพวกข้าดีหรือไม่? แล้วคืนนี้พวกเจ้าทั้งสามคนก็เปลี่ยนมาพักที่จวนของพวกข้าด้วยเลย”
“จะไม่เป็นการรบกวนพวกเจ้าหรือ?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ เมื่อได้ยินคำชวนของจิงเสี่ยวเจี้ยน
“ไม่เลยห้องว่างในจวนของพวกข้ามีตั้งหลายห้อง พวกเจ้าอย่าได้เกรงใจไป” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยตอบเหรินเหยียนชิง
เหรินเหยียนชิงหันไปมองเด็กสาวกับบุรุษที่มากับเขา เพราะคนอื่น ๆ ได้ขอแยกตัวกลับหมู่บ้านกันไปหมดแล้ว หลังจากที่เห็นเขาได้เจอกับสหายเหลือเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น ที่ขอตามมาเที่ยวเล่นในเมืองหลวงกับเขาด้วย
“พวกข้าแล้วแต่พี่เหยียนชิงเจ้าค่ะ” เพ่ยหยีเอ่ยตอบเหรินเหยียนชิงแทนพี่ชาย
เหรินเหยียนชิงเมื่อได้ยินดังนั้นจึงยิ้มให้กับเด็กสาวก่อนจะหันกลับมาตอบสหาย
“อย่างนั้นพวกข้าทั้งสามคน คงต้องขอรบกวนพวกเจ้าแล้ว”
จิงเสี่ยวเจี้ยนพยักหน้ารับคำตอบของเหรินเหยียนชิง ก่อนจะหันมาถามจินเฟยหลง
“เฟยหลงแล้วเจ้าจะมาร่ำสุรากับพวกข้าด้วยหรือไม่?”
จินเฟยหลงพยักหน้าตอบรับคำชวนของสหายแต่สายตาของเขาก็ยังคงมองไปที่เหรินเหยียนชิง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้หันกลับมาสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่พวกเขารับสำรับเสร็จ และนัดเจอกันอีกครั้งในต้นยามซวี (ยามซวี เวลา 19.00 – 20.59 น.) จินเฟยหลงก็ขอแยกตัวออกไปส่งหนิงฮุ่ยหลิง จิงเสี่ยวเจี้ยนก็รีบสั่งคนไปเตรียมห้องพักรับรองในจวนให้กับพวกเหรินเหยียนชิง ก่อนที่เขาจะกลับขึ้นไปจัดการงานบนโรงเตี๊ยมของตัวเองต่อ ส่วนจิงเสี่ยวจางก็ตามพวกเหรินเหยียนชิงไปช่วยเก็บของแล้วย้ายเข้ามาพักที่จวนของเขา
หลังจากพิธีการต่าง ๆ ในงานมงคลสมรสจบลง เหรินเหยียนชิงก็ถูกพาตัวเข้าไปนั่งรอเขาอยู่ในห้องหอ ส่วนตัวจินเฟยหลงก็ทำได้เพียงนั่งอยู่ในห้องโถงแล้วยกสุราขึ้นดื่ม เนื่องจากยามนี้มีผู้คนตรงเข้ามาชนสุราเพื่อแสดงความยินดีกับเขาอย่างไม่ขาดสาย โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็เพียงต้องการกลั่นแกล้งเขาในคืนเข้าหอเท่านั้น ซึ่งตัวจินเฟยหลงเองได้กินยาแก้อาการเมาสุราที่ได้รับจากผู้เป็นพี่ชายมาแล้ว เขาจึงไม่เกรงกลัวต่อฤทธิ์สุราที่ต้องดื่มในตอนนี้มากนัก จินเฟยเทียนนั่งมองสีหน้าของจินเฟยหลงแล้วอดที่จะสงสารไม่ได้ แต่เพราะในวันส่งตัวของเขากับหยางหมิงเซียน ผู้เป็นน้องชายได้ร่วมมือกับชิงหลวนคุนทำกับเจ้าลูกกวางไว้แสบ โดยหยางหมิงเซียนมาเล่าให้เขาฟังว่า...จินเฟยหลงกับชิงหลวนคุนได้พาทหารในกองทัพแวะเวียนเข้ามาชนสุรากับเจ้าตัวก่อน วันนี้เจ้าลูกกวางก็เลยขอเอาคืนด้วยการชวนทั้งคู่ค้า คนที่เจ้าตัวรู้จัก หรือแม้แต่คนป่วยที่เขาเคยทำการรักษา เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับผู้เป็นน้องชายของเขาแบบจัดเต็ม
หลังจากผ่านเหตุการณ์การสูญเสีย จินเฟยหลงก็เริ่มใช้ชีวิตให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ โดยแต่ละวันของเขาก็แทบจะไม่พูดคุยกับผู้ใดอีกเลย แม้แต่สหายร่วมเรือนอย่างเหรินเหยียนชิง ยามนี้จินเฟยหลงหมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อไปอีกแล้ว ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะจบชีวิตของตนเองลง แต่เหรินเหยียนชิงก็ดันเข้ามาเจอตอนที่เขากำลังจะลงมือทำเสียก่อน “เฟยหลงลุกขึ้น...ได้ยินหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้น!!” จินเฟยหลงหันมามองเหรินเหยียนชิงที่เข้ามาตวาด และกระชากแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง“ไม่...ข้าจะนอน” “ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นมา!!” จินเฟยหลงถูกเหรินเหยียนชิงกระชากแขนจนต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ยามนี้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้ามาล้ำเส้นในชีวิตของเขามากจนเกินไปเสียแล้ว!&nb
“เฟยหลง หยุดฝึกดาบแล้วมาอ่านหนังสือกับข้าก่อน พรุ่งนี้จะมีสอบศาสตร์ด้านการคำนวณกับบทกวี ส่วนนี้เป็นส่วนที่ข้าจดแยกหัวข้อเอาไว้แล้ว ข้าคิดว่าท่านอาจารย์น่าจะ...” “อืม...ได้” จินเฟยหลงตอบรับคำสั่งของสหาย ตั้งแต่ที่เจ้าตัวบอกกับเขาว่าจะมีสอบ จากนั้นเขาจึงเดินไปล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วพอกลับมาเขาก็ได้รับสายตาคาดโทษจากคนตัวเล็ก ดูท่าคงจะโมโหที่เขาเดินออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะพูดจบเป็นแน่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจินเฟยหลงจึงเลือกเดินเลยโต๊ะไม้ที่เหรินเหยียนชิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ แล้วตรงไปยังห้องพักของเขาเพื่อเข้าไปหยิบขนม จากนั้นเขาจึงเดินกลับมาแล้ววางขนมในมือลงที่กลางโต๊ะไม้ ก่อนที่ตัวเขาจะเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหรินเหยียนชิง แล้วหยิบสมุดที่เจ้าตัวจดแยกหัวข้อที่จะสอบขึ้นมาอ่าน และเพียงไม่นานเขาก็เห็นคนตรงหน้าเอื้อมมือมาหยิบขนมของเขาขึ้นไปกิน แล้วหลังจากที่เหรินเหยียนชิงได้กินขนมสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้น และเพียงไม่นานอีกฝ่า
“กลับมาแล้วหรือ?” พูดจบ เหรินเหยียนชิงก็มองตามหลังจินเฟยหลงที่เดินผ่านหน้าเขาเข้าไปในห้องพัก โดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันกลับมองหรือสนใจที่เขาเอ่ยทักเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจปิดหนังสือในมือ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามจินเฟยหลงเข้าไปในห้องพักของเจ้าตัว เหรินเหยียนชิงเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักของจินเฟยหลง เขาก็เห็นเจ้าตัวกำลังนั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ตรงมุมห้อง เขาจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย จากนั้นเขาจึงลองเอ่ยถามคนตรงหน้าอีกครั้ง “เฟยหลง...เจ้าเป็นอะไร? หรือที่จวนมีอะไรเกิดขึ้น?” “เหยียนชิงคือข้า...ข้าเพิ่งได้รู้สิ่งที่มารดาของข้าทำในอดีต...” จากนั้นจินเฟยหลงจึงเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้มาให้คนตรงหน้าฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่มารดาของเขาทำ...ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือจบชีวิตของตนเองลง และก็ด้วยเพราะสิ่งที่นางทำมันได้ส่งผลให้จินเฟยเทียน พี่ชายของเขาต้องเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอและป่วยง่าย แล้วก็ด้ว
จินเฟยหลงในวัยแปดหนาวยืนอยู่หน้าเรือนพักหลังหนึ่งในสำนักศึกษาหลวง พร้อมกับห่อผ้าใส่สัมภาระของเขาจำนวนสามห่อ ‘นี่คงเป็นเรือนที่ข้าต้องใช้พักยามอยู่ที่นี่สินะ’ จินเฟยหลงกล่าวกับตนเองในใจ หลังจากที่ผู้เป็นอาจารย์เดินมาส่งเขาที่หน้าเรือนพักแล้วก็เดินจากไปโดยไม่พูด ไม่บอก และไม่แนะนำอะไรกับเขาเลยสักคำ จินเฟยหลงยังคงยืนมองเรือนพักอยู่แบบนั้น เพราะในตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากรับความจริง เพราะเพิ่งจะเมื่อวานที่ผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า ให้เตรียมตัวเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาหลวงพร้อมกับต้องย้ายเข้าไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นห้าวันต่อสัปดาห์ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาสามารถเดินทางไปกลับระหว่างจวนแม่ทัพกับสำนักศึกษาหลวงได้ เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่มีจวนอยู่ในเมืองหลวง แต่เมื่อผู้เป็นบิดาได้ให้เหตุผลกับเขาว่า เพราะในภายภาคหน้าจินเฟยหลงจะต้องสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ รวมไปถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลจินต่อจากบิดา ยามนี้เขาจึงจำเป็นต้องเริ่มฝึกความอดทน ฝึกการอยู่ด้วยต
เหรินเหยียนชิงนั่งรับสำรับเย็นด้วยความรู้สึกมึนงง อยู่ดี ๆ เขาก็กำลังจะแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินให้กับจินเฟยหลง เพราะยังไม่ทันที่เขาจะได้แก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย ยามนี้เจ้าตัวก็กำลังนั่งพูดคุยเรื่องงานมงคลสมรสระหว่างพวกเขากับท่านตาและท่านแม่ของเขาแล้ว โดยจินเฟยหลงได้บอกกับท่านทั้งสองว่า...ยามนี้เจ้าตัวได้ส่งสารไปแจ้งบิดาของตนเองเรียบร้อยแล้ว และบิดาของเจ้าตัวก็น่าจะพาแม่สื่อเข้ามาพูดคุยกับพวกท่านทั้งสองที่นี่ในเร็ววัน “เหยียนชิง เจ้าไม่อยากแต่งให้ข้าหรือ?” จินเฟยหลงเอ่ยถาม หลังจากพาคนตัวเล็กกลับเข้ามานั่งในห้องพักของเจ้าตัว แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่มันไม่ต่างอะไรเลยกับการบังคับคนตรงหน้า แต่หากไม่ทำเช่นนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าเมื่อใดอีกฝ่ายถึงจะยอมแต่งให้เขา “ไม่ใช่! ข้าก็แค่ตั้งตัวไม่ทัน แต่เจ้า...ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเฟยหลง?” “ช้าไปเสียด้วยซ้ำ เหยียนชิงเจ้าก็รู้ว่าด้วยตำแหน่ง หน้าที่ และงานที่