“รอบนี้หายไปนานเลยนะเฟยหลง” จิงเสี่ยวเจี้ยนกล่าวทักจินเฟยหลงที่เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมของเขาพร้อมกับหนิงฮุ่ยหลิง
จินเฟยหลงเมื่อเดินมาถึงโต๊ะเขาก็ทำเพียงพยักหน้าทักทายจิงเสี่ยวเจี้ยน ส่วนหนิงฮุ่ยหลิงก็ได้ก้มลงไปคำนับให้กับสหายของเขา
“ข้าได้สั่งสำรับไว้รอพวกเจ้าแล้ว ดีนะที่เจ้าส่งคนมานัดเจอพวกข้าในวันนี้ เพราะพวกเราสี่คนไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันมานานแล้วนะ”
จินเฟยหลงแปลกใจกับคำพูดของสหายแต่เขาก็ยังไม่ทันที่จะได้ถามเอาคำตอบจากอีกฝ่าย คำตอบที่เขาต้องการก็ได้เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“มากันแล้วหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนหันไปทักแฝดผู้น้องของเขากับสหายที่ได้หายหน้าไป ตั้งแต่วันที่พวกเขาจบจากสำนักศึกษา
“เหยียนชิง” จินเฟยหลงเอ่ยชื่อคนตรงหน้าพร้อมกับมองไปที่เจ้าตัว เหรินเหยียนชิงทำเพียงพยักหน้าทักทายเขา ก่อนจะละสายตากลับไปสนใจเด็กสาวและบุรุษที่เดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าตัว ยามนี้เหรินเหยียนชิงดูสงบและดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แล้วตอนนี้อีกฝ่ายก็ได้พกพัดเล่มเล็กติดมือแทนสมุดอย่างที่เจ้าตัวเคยพูดเอาไว้แล้ว
“ข้าขอไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งดีกว่า พอดีข้ามีคนมาด้วยหากนั่งโต๊ะเดียวกันดูท่าจะอึดอัด” เหรินเหยียนชิงพูดกับจิงเสี่ยวเจี้ยน เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะเรียกคนเข้ามายกเก้าอี้เพิ่มให้กับคนของเขา ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ ซึ่งก็ไม่ไกลจากโต๊ะของอีกฝ่ายมากนัก
“อย่างนั้นข้าขอไปนั่งกับพวกเจ้าด้วยนะ” จิงเสี่ยวจางพูดพร้อมกับเดินตามเหรินเหยียนชิงไปที่โต๊ะ
เหรินเหยียนชิงหันไปพยักหน้าตอบจิงเสี่ยวจาง ก่อนจะหันมาสนใจเด็กสาวที่กำลังกระตุกชายเสื้อของเขาอยู่ตอนนี้
“พี่เหยียนชิงเจ้าคะ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นพวกเราสั่งอาหารกันเลยดีหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงหันกลับมาพูดกับผู้ร่วมโต๊ะคนอื่น
“เต็มที่เลยนะ มื้อนี้ข้าขอเลี้ยงเอง” จิงเสี่ยวจางกล่าวขึ้นอย่างใจกว้าง แต่ก็โดนเหรินเหยียนชิงเอ่ยขัดอย่างรู้ทัน
“ที่นี่โรงเตี๊ยมของตระกูลเจ้าไม่ใช่หรือ?”
“ก็ในเมื่อมื้อนี้ข้าจะไม่เก็บเงินพวกเจ้า ดังนั้นก็ถือว่าข้าเป็นผู้เลี้ยงพวกเจ้าอย่างไรล่ะ” จิงเสี่ยวจางตอบกลับคำพูดของสหายอย่างโอ้อวด
เหรินเหยียนชิงทำได้เพียงส่ายหน้าให้กับคำพูดของสหายที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่ก็ดูเหมือนว่านิสัยของอีกฝ่ายจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย เพราะหลังจากที่พวกเขาเรียนจบจากสำนักศึกษา เขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาผู้ใดอีกเลย จนกระทั่งเขาบังเอิญเจอกับจิงเสี่ยวจาง ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางเข้ามาส่งของให้กับลูกค้าในเมืองหลวง
และในระหว่างที่พวกเขาเดินทางร่วมกัน จิงเสี่ยวจางก็ได้เล่าความเคลื่อนไหวตลอดสี่ปีที่ผ่านมาของเจ้าตัวและแฝดผู้พี่ให้เขาฟัง จนเขาได้รู้ว่ายามนี้สหายทั้งสองคนของเขาได้รับช่วงดูแลโรงเตี๊ยมของตระกูลต่อจากผู้เป็นบิดาแล้ว ซึ่งจิงเสี่ยวเจี้ยนเป็นคนบริหารงานและดูแลงานด้านบัญชีทั้งหมดของโรงเตี๊ยมทุกสาขา ส่วนจิงเสี่ยวจางมีหน้าที่ไปตรวจดูงานและความเรียบร้อยตามโรงเตี๊ยมสาขาต่าง ๆ แล้วส่งรายงานกลับมาแจ้งให้กับแฝดผู้พี่ที่เมืองหลวง
แล้วจิงเสี่ยวจางก็ยังได้เล่าเรื่องราวของจินเฟยหลงให้เหรินเหยียนชิงฟังด้วย ไม่ว่าจะเรื่องที่ยามนี้อีกฝ่ายได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตง รวมไปถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของจินเฟยหลงเมื่อสองปีก่อน และในเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องดีเกิดขึ้น เพราะยามนี้จินเฟยหลงได้พี่ชายคนสำคัญของเจ้าตัวกลับคืนมาแล้ว ซึ่งเขาก็เพิ่งได้เจอกับพี่ชายคนสำคัญของจินเฟยหลงมาแล้วด้วย และจิงเสี่ยวจางก็ได้แอบบอกกับเขามาด้วยว่า...อีกไม่นานจวนแม่ทัพก็น่าจะมีข่าวดี
และถ้าหากจะให้เหรินเหยียนชิงเดา ข่าวดีที่จิงเสี่ยวจางแอบบอกกับเขา ก็คงจะไม่พ้นข่าวดีของจินเฟยหลงกับสตรีที่กำลังนั่งอยู่ข้างกายของอีกฝ่ายในยามนี้เป็นแน่
“อาจางบังเอิญเจอกับเหยียนชิงระหว่างเดินทางกลับเข้ามาในเมืองหลวงน่ะ เห็นอาจางบอกว่าเหยียนชิงเพิ่งจะไปส่งของที่ค่ายทหารกับที่โรงหมอของพี่ชายเจ้า พวกเจ้าไม่ได้เจอกันที่นั่นหรอกหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนพูดขึ้นเมื่อเห็นจินเฟยหลงเอาแต่มองไปที่เหรินเหยียนชิง โดยไม่สนใจเขาหรือแม้แต่สตรีที่นั่งอยู่ข้างกาย
“ไม่เจอ” จินเฟยหลงตอบกลับสหาย แต่สายตาของเขาก็ยังคงมองไปที่เหรินเหยียนชิง...ผู้ที่ยังคงติดอยู่ในความคิด และความทรงจำของเขาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
“พี่เหยียนชิงน่ารักที่สุดเลยเจ้าค่ะ” เพ่ยหยีเอ่ยชมเหรินเหยียนชิง เมื่ออีกฝ่ายนำเนื้อปลาที่แกะเอาก้างออกเรียบร้อยแล้วมาวางไว้ที่ถ้วยข้าวของนาง
“เหยียนชิงนี่เจ้ายังไม่เลิกดูแลผู้อื่นยามรับสำรับอีกหรือ?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่เหรินเหยียนชิงทำ
“อะ...แบบนี้พอใจเจ้าหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงตักเนื้อปลาที่แกะก้างปลาออกเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือไปใส่ในถ้วยข้าวของจิงเสี่ยวจาง
“ครั้งนี้แกะก้างปลาออกให้ข้าด้วย แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าใช้ได้” จิงเสี่ยวจางเอ่ยชมสหาย
“กินต่อได้แล้ว” เหรินเหยียนชิงเอ่ยตัดบท
เพ่ยหยีมองสหายของเหรินเหยียนชิงด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะบุรุษผู้นี้กำลังจะมาแย่งความสนใจของคนตรงหน้าไปจากนาง
“ข้าว่าจะทักเจ้าตั้งแต่เจอกันแล้ว พัดเล่มนี้...ใช่พัดเล่มที่ข้าเคยเลือกให้เจ้าหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางถามขึ้นเมื่อเห็นพัดเล่มเล็ก ที่อีกฝ่ายมักจะหยิบติดมือไปไหนมาไหนด้วยตั้งแต่เจอกัน
เหรินเหยียนชิงพยักหน้าตอบรับคำถามของสหาย ก่อนจะกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ
“ข้าบอกแล้วว่าพัดเล่มนี้เหมาะกับเจ้า” จิงเสี่ยวจางพูดจบก็กลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อเช่นกัน
เหรินเหยียนชิงแม้จะยังตกใจกับการกระทำของจินเฟยหลงเมื่อครู่ แต่เขาก็อดแปลกใจกับตัวเองขึ้นมาไม่ได้ เพราะเพียงแค่คำพูดของจินเฟยหลงไม่กี่ประโยค มันได้ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดใจตั้งแต่ช่วงเย็นของเขา...หายไป อย่างกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ เช้าวันรุ่งขึ้น เหรินเหยียนชิงและครอบครัวได้ถือโอกาสกล่าวลาจินเฟยหมิงหลังจากที่พวกเขาร่วมรับสำรับเช้าด้วยกันเสร็จ และเหรินเหยียนชิงก็ได้รู้จากมารดาของตนเองว่าเมื่อวานจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนได้ขอร่วมเดินทางออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับพวกเขาด้วย เนื่องจากคนทั้งสองก็คิดจะเดินทางกลับโรงหมอที่หมู่บ้านหยางเซินในวันนี้เช่นกัน แต่ก็ด้วยเพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะถึงวันคล้ายวันเกิดของบุตรชายท่านราชครูหลงจิ้นสิง ซึ่งในยามนี้หลงจิ้นเปียวก็ได้เดินทางมาเอ่ยรั้งจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนถึงหน้าจวนแม่ทัพใหญ่แล้ว จินเฟยเท
“ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?” จินเฟยหลงเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยความไม่มั่นใจ เพราะช่วงเย็นหยงหมินมาบอกกับเขาว่าเหรินเหยียนชิงเดินมาเห็นตอนที่เขาเอื้อมมือไปจับแขนของหนิงฮุ่ยหลิงเข้าพอดี แม้หลังจากนั้นเขาอยากจะตามมาอธิบายกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ในยามนั้นทั้งผู้เป็นบิดา ชิงหลวนคุน รวมไปถึงรองแม่ทัพหนิงและบุตรชาย กำลังรอพูดคุยเรื่องของพวกไป่จือกับเขาอยู่ ถึงแม้ว่าในระหว่างการเดินทางกลับจวน เขาจะได้ฟังรายงานจากรองแม่ทัพหนิงมาบ้างแล้ว เกี่ยวกับเรื่องที่ไป่จือส่งคนไปฆ่าชิงซูเฉิน หลังจากที่ทหารปล่อยตัวอีกฝ่ายแถวแนวชายแดนแคว้นฉินได้เพียงแค่ครึ่งวัน แต่เมื่อเขาได้ฟังรายงานจากข่าวสายของชิงหลวนคุนเพิ่มเติม... เขาจึงรู้แล้วว่าจากนี้พวกเขาคงไม่อาจรั้งรอที่จะเข้าจัดการกับพวกไป่จือได้อีกต่อไป แล้วในยามนั้นจินเฟยหลงก็เริ่มรู้สึกผิดที่ในช่วงเย็น เขาไม่ยอมส่งคนไปแจ้งกับเหรินเหยียนชิงว่าตนเองติดงาน จนผ่านล่วงเลยมาถึงเวลารับสำรับเย็นของจวนแม่ทัพ ซึ่งจินเฟยหมิง
เหรินเหยียนชิงเดินกลับไปยังเรือนพักรับรอง ด้วยสภาพที่มือข้างขวายังคงวางอยู่ที่อกข้างซ้ายของตนเอง ยามนี้เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกเจ็บ! แล้วเมื่อเหรินเหยียนชิงเดินกลับมาถึงหน้าเรือนพักรับรอง เขาก็เจอกับมารดาและน้องต่างบิดาทั้งสองของเขา ที่ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังจะออกมาตามเขา คงด้วยเพราะยามนี้ใกล้ถึงเวลาที่พวกเขาต้องออกไปรับสำรับเย็นพร้อมกับเจ้าของจวนที่เรือนใหญ่ จากนั้นเหรินเหยียนชิงก็ถูกคนในครอบครัวทักเรื่องที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูซีดลง เขาจึงถือโอกาสเอ่ยปากขอตัวกลับเข้าไปพักยังห้องของตนเองทันที ด้วยเพราะยามนี้เขารู้ตัวว่า...ตนเองคงยังไม่พร้อมที่จะไปเผชิญหน้ากับจินเฟยหลง เขาจึงได้ฝากให้ผู้เป็นมารดาบอกกล่าวเรื่องที่พวกเขาจะเดินทางกลับจวนตระกูลเหรินในเช้าวันถัดไปกับเจ้าของจวนอีกครั้งด้วยเลย เหรินเหยียนชิงเมื่อกลับเข้ามาในห้อง เขาก็เดินไปที่เตียงก่อนจะล้มตัวลงนอน ยามนี้แม้เขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังเป็นอยู่และกำลังรู้สึกอยู
หนิงฮุ่ยหลิงรวบรวมความกล้าของตนเองอีกครั้ง จากนั้นนางจึงเริ่มเอ่ยสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมา... “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ เรื่องที่ข้าอยากจะขอพูดคุยกับท่านก็คือเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเราเจ้าค่ะ หลังจากวันที่ท่านลุงจินได้เข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นและการแต่งงานระหว่างเรากับท่านพ่อของข้า แล้วในวันถัดมาท่านพ่อของข้าก็ได้เข้ามาขอปฏิเสธเรื่องงานมงคลทั้งหมดระหว่างเรากับท่านลุงจิน ที่จริงแล้ว...ท่านพ่อเพียงทำตามคำขอร้องของข้าเจ้าค่ะ เพราะที่ผ่านมา...ข้ารู้มาตลอดว่าสายตาที่ท่านแม่ทัพใช้มองข้า และทุกอย่างที่ท่านปฏิบัติต่อข้า มันไม่ต่างอันใดเลยกับสิ่งที่ท่านปฏิบัติต่อเฟยฮวา แต่ถึงจะรู้เช่นนั้นข้าก็ยังคงแอบหวังเจ้าค่ะ ข้าหวังว่าสักวันท่านแม่ทัพคงจะมองข้าและปฏิบัติต่อข้าดั่งเช่นคนรักของท่าน จนในวันนั้น...วันที่ท่านแม่ทัพได้กลับมาเจอกับคุณเหรินอีกครั้ง และก็เพราะสายตาของท่านในวันนั้น มันทำให้ข้าได้รู
หลังจากที่จินเฟยหลงเล่าจบ หยางหมิงเซียนก็ได้เดินเข้ามาตบบ่าเขาไม่หนักไม่เบาสามครั้ง ซึ่งหากมองจากภายนอกก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวคงจะกำลังรู้สึกเห็นใจเขาอยู่ แต่ในความรู้สึกของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขารู้ว่ายามนี้พี่เขยของเขาน่าจะกำลังรู้สึกสาแก่ใจในเรื่องความรักของเขาเสียมากกว่า... แล้วหลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันจบ ทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายกลับไปยังห้องพักของตนเอง ยามนี้ภายในห้องพักจึงเหลือเพียงแค่จินเฟยหลงเท่านั้น ‘เหยียนชิง จากนี้ก็คงเหลือเพียงกำแพงความรู้สึกของเจ้าเท่านั้น ที่ข้าต้องฝ่ามันไปให้ได้ และในครั้งนี้ข้าก็จะไม่มีวันถอย และจะไม่ยอมปล่อยมือไปจากเจ้าอีกครั้งเป็นแน่!’ รุ่งเช้า วันนี้เป็นวันที่คนตระกูลเยว่รวมไปถึงผู้ที่ร่วมกระทำผิดทั้งหมดจะถูกคุมตัวไปทำงานชดใช้ความผิดในเหมืองแร่... ซึ่งจินเฟยหลงได้รับหน้าที่เป็นผู้นำขบวนนักโทษระหว่างเส้นทางจากศาลไปจนถึงหน้าประตูเมืองหลวง &
จินเฟยหมิงมองบุตรชายคนรองที่กำลังนั่งคุกเข่าและใช้สายตามองมาทางเขา ซึ่งสายตาของเจ้าตัวในยามนี้มันแสดงออกให้เขารู้ว่า สิ่งที่จินเฟยหลงเอ่ยขอเป็นสิ่งที่เจ้าตัวต้องการมันจากเขาจริง ๆ แล้วเมื่อจินเฟยหมิงมองไปทางจินเฟยฮวา ยามนี้นางก็กำลังแอบส่งสายตาคล้ายกับจะขอลุแก่โทษไปทางจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียน มันจึงทำให้เขารู้ว่าการที่นางพยายามยื้อให้เขานั่งเล่นอยู่ที่เรือนของสหายเก่าต่อนั้น มันคงเป็นแผนการเพื่อใช้ถ่วงเวลาเขาเอาไว้นั่นเอง ถึงแม้ว่าตอนนี้จินเฟยหมิงจะรู้ถึงแผนการของคนทั้งสามแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดโปง เพราะด้วยแผนการนี้มันได้ทำให้เขารู้ว่า ภายใต้ใบหน้าอันเฉยชาของบุตรชายคนรองที่จริงแล้วเจ้าตัวกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่บ้าง “เฟยหลง พ่อบอกให้เจ้าลุกขึ้น! ยามนี้เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตง เจ้าจะลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าผู้อื่นง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าจงรีบลุก! แล้วกลับขึ้นไปนั่งที่เตียงของเจ้าเดี๋ยวนี้!!” จินเฟยหมิงพูดยังไม่ทั