เพียงไล้ผ้าเช็ดหน้าไปบนดวงหน้าคมคายหมดจด ความยินดีราวได้พบสิ่งของที่เคยทำหล่นหาย ก็แล่นปราดไปทั้งใจ
เหตุใดเพียงพบพาลประมุขน้อยหนุ่มแห่งพรรคมารโลหิตผู้นี้ไม่กี่ชั่วยาม จึงทำให้หัวใจอันเหน็บหนาวมาเนิ่นนาน กลับอุ่นซ่านได้เช่นนี้นะ
หลัวเซียนถามตนเอง ชักมือกลับรวดเร็ว เมื่ออู๋เหริ่นชวนไอเบาๆ แล้วปรือตาขึ้นช้าๆ
แพขนตากระพือขึ้นนั้น คล้ายปีกผีเสื้อกำลังขยับบิน
“เป็นไงบ้าง”
แทนที่จะตอบคำถาม ประมุขน้อยหนุ่มกลับผุดลุกขึ้น กวาดสายตาไปรอบๆ
“ท่านพาข้าออกมาจากป่านั่นหรือ”
หลัวเซียนพยักหน้ารับ
“ข้าเห็นเจ้าหมดสติ จึงพาออกมา”
“ข้าคงไม่ขอบใจท่านหรอกนะ เพราะท่านทำให้ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“เรื่องมนุษย์พิษกับเรื่องงูนั่น ข้าขออภัยด้วย ที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าเกือบได้รับอันตราย” หลัวเซียนมองประมุขน้อยหนุ่มด้วยประกายตาอ่อนโยน ทว่าอู๋เหริ่นชวนกลับทำเป็นมองไม่เห็นแววตาคู่นั้น
“หลัวเซียน ท่านช่างมีมารยาทงามซะจริงนะ พาผู้อื่นไปเสี่ยงตาย แต่กลับพูดได้เพียงคำว่าขอโทษ”
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” เห็นคนอายุน้อยกว่าพูดจาล่วงเกินไร้ซึ่งมารยาทเช่นนี้ หลัวเซียนก็นึกฉุนขึ้นมาบ้าง
ดูเถอะ… เขาอุตส่าห์พาประมุขน้อยผู้นี้เหินกายออกมาจากป่า ตัวก็มิใช่เบาๆ เดินทางออกมาก็มิใช่ใกล้ๆ แทนที่จะได้รับคำขอบคุณ กลับได้รับคำพูดถากถางตอบแทนซะนี่
“ไม่ต้องทำอย่างไร แค่อยู่ให้ห่างข้าก็พอ”
“ได้” หลัวเซียนผุดลุกขึ้น เดินจากไปหน้าตาเฉย
ขณะที่อู๋เหริ่นชวนเสมองไปทางอื่น บ่นงึมงำไล่หลังไปว่า
“ชิ ไปไกลๆ ได้เลยยิ่งดี”
คล้อยหลังหลัวเซียน ประมุขน้อยหนุ่มก็ออกเดินหาเก็บผลไม้ป่ามาประทังความหิว เดินมาไกลจนเมื่อยขบไปทั้งขา หลงคิดว่าตนเองคงใกล้จะออกจากป่าได้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่า จะยังเดินวนมาถึงป่าไผ่ที่เคยทำเครื่องหมายไว้อีก
“แล้วอย่างนี้ เมื่อไหร่ข้าจะออกจากป่าได้ละเนี่ย แล้วจะไปงานเลี้ยงปักบุปผาทันมั้ยเนี่ย” อู๋เหริ่นชวนบ่นกับตนเอง ระบายลมหายใจยาว ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบผมตนเอง ก่อนนั่งลงข้างกอไผ่
พลันสายตาของเขาก็ไปปะทะเข้ากับหน่อไม้ป่า ขนาดกำลังพอดี
“วิเศษเลย” เขาบอกตนเอง ดีว่าพกกริชเล่มเล็กติดตัวมาด้วย จึงเดินเข้ามาในกอไผ่ แล้วลงมือขุดเอาหน่อไม้ นึกถึงตอนตามอู๋หมิ่นเยี่ยนเข้าไปเที่ยวในป่า ขุดหาหน่อไม้ เผือก มัน มาเผากิน ก็อดเป็นห่วงศิษย์พี่ไม่ได้เลยว่า ป่านนี้นางและคนของพรรคมารโลหิตจะเดินทางใกล้ถึงเจียงหนานแล้วหรือยัง
“เท่านี้ก็เรียบร้อย” ประมุขน้อยหนุ่มบอกตนเอง ดึงหน่อไม้ออกจากดิน พลางยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
ทันใดนั้น สายลมหอบหนึ่งก็พัดมา ต้องใบไผ่เอนลู่อู้หวิว ลำไผ่ยืนนิ่งสูงขึ้นไปเมื่อแรก พลันเคลื่อนเข้าแนบชิดกันแน่น ราวค่ายกล กลายเป็นกรงขังอู๋เหริ่นชวนเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของชายหญิงดังมาจากทุกทิศทุกทาง
“แย่แล้ว ทำยังไงดี” อู๋เหริ่นชวนกำหน่อไม้ในมือแน่นขึ้น กวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยประกายตาหวาดหวั่น
แม้จะไม่เคยเห็นด้วยตา แต่ก็เคยอ่านพบในตำราว่า สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่คือ ฉูซื่อ หรือปีศาจต้นไผ่
ปีศาจชนิดนี้ สามารถสร้างค่ายกลมรณะ ขังมนุษย์หรือสัตว์ที่พลัดหลงเข้ามาเอาไว้ ค่อยๆ ดูดพลังชีวิตของเหยื่อทีละน้อย เพียง 3 วันเท่านั้น พลังชีวิตของเหยื่อก็จะหมดลง ร่างกายถูกกรงไผ่บีบจนแหลกเละ ไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูก
“แล้วข้าจะออกไปยังไง” ประมุขน้อยหนุ่มหวาดหวั่นนัก หากยามนี้มีศิษย์พี่ ศิษย์น้องอยู่ด้วยสักคน คงใช้กระบี่หยกโลหิต ตัดต้นไผ่พาเขาออกไปได้ แต่นี่… ลำพังมารอ่อนแอ ไร้ซึ่งพลังยุทธเช่นเขา จะมีชีวิตรอดกลับออกไปได้อย่างไร
ไม่นึกเลยว่า ประมุขน้อยพรรคมารโลหิตเช่นเขา จะตกต่ำขนาดต้องมาตายด้วยน้ำมือของปีศาจปลายแถวเช่นนี้
คิดแล้วก็ท้อใจนัก แต่ก็เอาเถอะ คนอ่อนแอเช่นเขา ตายไปซะได้ก็คงดี อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้ท่านพ่อ บรรดาศิษย์พี่ ศิษย์น้องให้ต้องมาคอยปกป้องอีก
ห่วงก็แต่ศิษย์พี่หมิ่นเยี่ยน นางคงเสียใจมาก หากรู้ว่าเขามีอันเป็นไปเช่นนี้
“เอาเลย จะฆ่าก็ฆ่า ไม่ต้องมาหัวเราะ คนอ่อนแอเช่นข้า อยู่ก็เหมือนตายอยู่แล้ว” จากความหวาดหวั่นเมื่อแรก ก็กลายเป็นความกล้าอย่างคนจนตรอก
แม้กรงไผ่จะบีบแคบใกล้เข้ามา ประมุขน้อยหนุ่มก็ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว
เขาหลับตาลง สัมผัสกับกลิ่นไอแห่งความตาย ลอยอวลอยู่เบื้องหน้า
แต่แล้ว สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ ลำไผ่ตรงหน้าก็ล้มครืนลง เมื่อลืมตาขึ้น จึงเห็นพัดเวทย์สีฟ้าน้ำทะเลพุ่งเข้าตัดลำไผ่ทีละลำอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องมากมายดังอยู่ข้างหู ก่อนที่พัดเล่มนั้น จะลอยกลับไปอยู่ในมือเจ้าของ
ยามนี้อู๋เหริ่นชวนไม่รู้เลยว่า ตนเองควรจะดีใจดีหรือไม่ ที่เห็นหลัวเซียนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า กรีดพัดในมือก่อนสะบัดกางออก พัดเบาๆ กลีบปากได้รูปแย้มน้อยๆ แววตาทั้งคู่ยังคงนิ่งสนิท เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ท่านยังไม่ไปอีกหรือ”
“หากข้าไปแล้ว จะมาช่วยเจ้าทันหรือ”
“ใครใช้ให้ท่านมา ข้าไม่ได้ต้องการให้ใครมาช่วยสักหน่อย”
“เป็นถึงประมุขน้อยพรรคมารโลหิต จะตายง่ายดายเช่นนี้ ท่านอู๋ลี่หมิงจะไม่เสียใจหรือ”
ได้ยินคำพูดแทงใจเช่นนี้ อู๋เหริ่นชวนก็พูดไม่ออก
“เจ้า…” จากที่เรียกขานเซียนตรงหน้าว่า “ท่าน” จึงลืมมารยาทที่พึงมีไปจนหมดสิ้น ดวงตาทั้งคู่วาวโรจน์จ้องหน้าอีกฝ่ายแน่วนิ่ง
“ถึงเจ้าจะไม่อยากร่วมทางกับข้า แต่ก็คงต้องฝืนใจสักครั้งแล้วล่ะ อย่างน้อยก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง อีกสามวันก็จะถึงงานเลี้ยงปักบุปผาแล้ว เจ้าคงไม่อยากให้ท่านอู๋ลี่หมิงว่าได้หรอกใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นจริงอย่างที่หลัวเซียนว่า อู๋เหริ่นชวนก็ยอมเดินตามหลัวเซียนออกมาจากป่าไผ่แต่โดยดี
แม้จะบอกตนเองว่า ฝืนใจตามเขามา แต่พอพลบค่ำ ก็กลับเห็นตนเองนั่งกินย่างกระต่ายป่า ฝีมือหลัวเซียนอยู่ข้างกองไฟ ใกล้กับคนย่างกระต่ายป่าส่งให้น่าตาเฉย
ได้แต่บอกตนเองว่า ในสถานการณ์แบบนี้ แม้จะไม่ชอบขี้หน้าหลัวเซียนนัก แต่เอาตัวรอดไว้ก่อนก็คงไม่เสียหายอะไร
“หยุดมือได้แล้ว เจ้าไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือ”หลัวเซียนไม่เอ่ยเปล่า แกล้งหลบรัศมีกระบี่ไม่พ้น พาให้คมกระบี่ถากชายเสื้อของเขาขาดเป็นทางยาวอู๋เหริ่นชวนเบิกตากว้าง แรกทีเดียวเขาเข้าใจว่าทำร้ายอีกฝ่ายเข้าแล้ว จึงยอมหหยุดมือในทันใด“หยุดเถอะ เจ้าทำชายเสื้อข้าขาดหมดแล้ว”“ยังสู้ไม่หนำใจเลย เจ้าก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่สนุกเลย” อู๋เหริ่นชวนสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก แล้วเดินมาประจันหน้ากับคนถูกทำชายเสื้อขาด“หายโมโหแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะได้บอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า”“อึม” อู๋เหริ่นชวนพยักหน้ารับ แล้วก็แทบไม่อยากเชื่อหูตนเองกับสิ่งที่ได้ยิน“ข้าสละตำแหน่งประมุขเผ่าเซียนแล้ว หลังจากประชุมผู้นำเซียนยุทธจากสำนักต่างๆ ทุกคนเห็นว่า ควรมีการเลือกสรรประมุขขึ้นมาใหม่ ข้าสนับสนุนให้เจ้าสำนักเจียงเหวิน ขึ้นเป็นผู้นำเผ่าเซียนคนต่อไป”“แล้วเจ้าล่ะ”“ส่วนข้า ก็จะออกท่องโลกกว้าง ดังที่ได้ปรารถนาเอาไว้แต่แรก จากนั้นก็จะกลับไปบำเพ็ญเซียนที่ตำหนักฉางชุน”“เจ้าจะถือสันโดษงั้นหรือ”ฟังเจตนารมณ์ของอีกฝ่ายแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ใจหาย เขาจะไปขัดขวางการบรรลุเซียนของหลัวเซียนได้อย่างไรกัน“ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตเรียบง่าย หลังเสร็จจากสอ
“เหตุใดจึงแค้นเล่า เขาจำเรื่องราวในภพก่อนได้อย่างนั้นหรือ” ผู้ฟังนิทานวัยสิบหกปีผู้หนึ่งเอ่ยถามขัดจังหวะขึ้น“ย่อมจำได้อยู่แล้ว ก็จอมมารอู๋เซียงอี๋ได้อธิษฐานต่อแม่น้ำวั่งชวน หอวั่งเซียง สะพานไน่เหอเอาไว้ ก่อนดื่มน้ำแกงยายเมิ่งไว้นี่นาว่า จะไม่ขอลืมเลือนหนี้แค้นที่ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนได้ก่อไว้ไปชั่วชีวิต”“เช่นนั้น เขาทำอย่างไร อย่าบอกนะว่า หาทางเอาชีวิตหลัวเซียนน่ะ” หนุ่มน้อยอีกคนถามขึ้นบ้าง“เจ้าหนุ่ม อย่าเพิ่งขัดจังหวะสิ เดิมทีประมุขน้อยอู๋เหริ่นชวนก็หมายเอาชีวิตหลัวเซียนอยู่หรอก ทว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร หลัวเซียนกลับเป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ระหว่างที่ประมุขน้อยอู๋เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงปักบุปผาที่เจียงหนานขณะประมุขน้อยเดินหลงอยู่ในป่า ได้ถูกปีศาจงูจงอางจับตัวไปกักขังไว้ในถ้ำ หลัวเซียนตามไปช่วย ฆ่าปีศาจงูด้วยกู่ฉินพิฆาต ทั้งยังปกป้องประมุขน้อยอู๋ จนตนเองได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้แล้ว ประมุขน้อยยังจะทวงหนี้แค้นได้อีกเรอะ...”ฟังเรื่องราวจริงบ้างเท็จบ้าง ปนเปกันไปนั่นแล้ว อู๋เหริ่นชวนก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทียกกาสุราขึ้นดื่ม แล้วก็ต้องขัดใจนัก เมื่อพบว่าไม่มีสุราเหลืออยู่เลย
“ข้านำกระจกหมื่นลี้จากห้องใต้หอคัมภีร์ออกมาไว้ที่ห้องข้า รู้ว่าเจ้าถูกจับตัวมายังเขาเซียนกู่ จึงเร่งเดินทางมาที่นี่ ข้ารู้ว่าอาจช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายได้”“ช่วยอะไรไม่ได้ที่ไหนกัน เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดีเลยต่างหาก”“องค์ชาย” หลัวเซียนประสานมือคารวะนอบน้อม“โปรดเล่าให้ทุกท่าน ณ ที่นี้ฟังทีว่า ตอนข้าไปยังแคว้นไป่ลี่นั้น เป็นอย่างไรบ้าง” หลัวเซียนเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายเงียบงันมาครู่ใหญ่“ทุกท่าน ข้าคือองค์ชายหนิงจิ้ง รัชทายาทแห่งแคว้นไป่ลี่ ทั้งสองท่านนี้ เป็นสหายของข้า ตอนข้าออกไปล่าสัตว์นั้น บังเอิญได้ยินเสียงฉิน ท่วงทำนองไพเราะดังแว่วมา จึงตามเสียงฉินไป จนได้พบกับหลัวเซียนและอู๋เหริ่นชวน ดวงตาของเขาพิการทั้งสองข้าง แต่ก็มีฝีมือดีดฉินล้ำเลิศนัก ข้าจึงเชิญเขาไปเป็นแขกที่วังไป่ลี่ แม้ข้าจะมิได้เป็นเซียนยุทธเช่นทุกท่าน เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ก็ถือสัจจะเป็นที่ตั้ง มิใช่เพียงกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืนคำ แม้แต่รัชทายาทเช่นข้า ก็เช่นกัน”ฟังคำตรัสขององค์ชายแล้ว บรรดาเซียนยุทธก็ต่างประจักษ์ถึงความจริงว่า หลัวจุ้นซินอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน“เมื
“ประมุขอู๋ ท่านคงไม่ปกป้องตัวหายนะผู้นี้ จนไม่นึกถึงความสงบสุขของทั้งสองเผ่าหรอกนะ”“ตัวหายนะที่เจ้าอ้างถึง คือบุตรชายคนเดียวของข้า เหตุใดข้าจะปกป้องเขาไม่ได้เล่า” ประมุขอู๋ลี่หมิงประกาศกร้าว“ท่านเจ้าสำนักเกาคงยังไม่ทราบว่า ข้าได้ฝึกวิชาในคัมภีร์มหาเวทย์สำเร็จแล้ว ต่อให้ข้ากลายเป็นวิหคโลหิต ก็ยังสามารถควบคุมตนเองได้ ไม่ทำร้ายผู้อื่นอีก”“ลมปากของเจ้า ผู้ใดเชื่อก็โง่เต็มทีแล้ว” เจ้าสำนักเกาฉียังคงดื้อดึง ไม่ฟังเหตุผลอยู่นั่นเอง“เรื่องบาดหมางระหว่างสำนักของท่านกับข้า หากจะโทษ ก็ต้องโทษบรรดาศิษย์ของพวกท่าน ที่นินทาศิษย์พี่ของข้า ข้าจึงเล่นงานตอบด้วยพิษเห็ดหัวเราะ เรื่องเล็กๆ เพียงเท่านั้น ท่านยังอุตส่าห์เก็บมาใส่ใจ มองข้าด้วยอคติ จนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นเรื่องของคนทั้งเผ่าเลยเรอะ แทนที่ท่านจะกล่าวโทษข้า ด้วยอคติส่วนตัวเช่นนี้ มิสู้รามือสักนิด แล้วใคร่ครวญให้ดีก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!” เจ้าสำนักเกาฉีตวาดลั่น ยกมือเป็นสัญญาณให้บรรดาศิษย์ของตนดาหน้าเข้าหาคนพรรคมารโลหิต ทว่าเจียงเหวินกลับมิอาจนิ่งดูดายได้ รีบร้องห้ามขึ้นเสียก่อน“ช้าก่อน!”“เจ้าสำนักเจียง ท่านเองก็เข้าข้างปร
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์