การมาถึงของกู้ภัยทำให้ทั้งสองคนแทบไม่พูดอะไร
“ผมเป็นคนสวมอุปกรณ์ให้กับหว่านหวานด้วยมือผมเอง คาดว่าอุปกรณ์ปีนเขาชำรุด ไม่มีใครคาดคิดว่าเชือกจะขาดและ…..ผมกับลูลู่เราพยายามช่วยแล้วแต่ ณ จุดนั้นมันทำอะไรไม่ได้เลย” เสียงเศร้าๆ ของเซิงเจี๋ยเต็มไปด้วยความเสียใจ
“อยู่ๆ เชือกที่เหนียวนั่นก็ขาดลงไปทั้งที่เราตรวจเช็คก่อนที่จะมาและของเหล่านั้นก็เป็นของใหม่เพิ่งใช้งานไม่กี่ครั้ง” หยางลู่บอกกับกู้ภัย
น้ำตาของเซิงเจี๋ยและหยางลู่ไหลออกมาอย่างไม่สามารถหยุดได้ ทุกสิ่งที่เคยสวยงามและสดใสกลับจบลงในพริบตานี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะหลุดลอยไปจากการควบคุมของพวกเขา…
สามวันผ่านไป
บรรยากาศในห้องในคอนโดที่เคยเป็นที่ที่ซูหว่านใช้ชีวิตอยู่ กลับเงียบเหงาไปหลังจากที่ซูหว่านจากไป ทุกสิ่งในห้องยังคงเหมือนเดิมผ้าปูเตียงเรียบแปล้สะอาดหอม แล้ปท็อปยังวางอยู่ที่โต๊ะทำงาน
หยางลู่และเซิงเจี๋ยยืนอยู่กลางห้อง หยางลู่ยิ้มมุมปากบางๆ ขณะที่เซิงเจี๋ยมองไปยังภาพถ่ายของซูหว่านที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้ววางคว้ำลงอย่างไม่ไยดี ใจจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการความทรงจำใดๆ จากซูหว่านอีก และไม่อยากสบตาซูหว่านอีกต่อไปด้วยต่างหาก
"วันนี้เราทำได้แล้วนะ ต้องขอบคุณเชือกนั่นที่ขาดได้เหมาะเจาะ ผมนี้ลุ้นแทบตายกลัวว่าจะไม่ยอมขาดและจะถึงแคมป์3เสียก่อนให้ได้ หว่านหวานตัวเล็กนิดเดียวเลยกว่าจะขาดได้ต้องใช้เวลา จะตัดไว้ลึกหน่อยก็กลัวว่าซูหว่านจะสังเกตเห็นเสียก่อน”
“ฉันลุ้นแทบตายตอนวิ่งลงมา เขามันไม่สูงมาก กลัวว่าจะแค่พิการให้เราคอยดูแลกันอีก ไม่งั้นก็ลังเลว่าจะทุบซ้ำดีไหมแต่ก็กลัวพิรุธ”
หยางลู่พูดขำเหมือนเรื่องตลก เดินไปหยิบของบางอย่างจากชั้นวางในห้องซูหว่านแล้วเริ่มเก็บมันลงกระเป๋าถือของตัวเอง เซิงเจี๋ยหันไปมองดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาแต่ก็มีร่องรอยของความโล่งใจ
"ซูหว่านจะไม่พอใจใช่ไหมที่เราหยิบเอาของโดยพลการ เราสองต้องการมากกว่านี้หรือเปล่านะ ได้อยู่ด้วยกันไม่มีหว่านหวานให้คอยระแวง" เซิงเจี๋ยถามอย่างไม่แยแส
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่ามันมากพอแล้ว ทุกอย่างของหว่านหวานเป็นของเราทั้งหมด ผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีใคร ไม่มีครอบครัว"
หยางลู่ยิ้มเหยียด หยิบสร้อยคอของซูหว่านขึ้นมาดูอย่างพึงพอใจ
“ฉันอยากได้สร้อยนี่มากพอกับเงินในบัญชีของซูหว่าน”
"แค่คิดก็รู้สึกดีแล้วที่ของของหว่านหวาน มันอยู่ในมือของฉัน ทุกอย่าง" หยางลู่ยิ้มตาเป็นประกาย
เซิงเจี๋ยหันไปมองห้องนี้อีกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างขัดแย้งอยู่ในใจเขา เขาคิดถึงทุกสิ่งที่ซูหว่านทำให้เขา ทั้งความรักและความพยายามของซูหว่านที่เขาเคยรู้สึกทึ่ง แต่ช่างเถอะตอนนี้ยังมีหยางลู่ คู่ขาคู่นอนและคู่คิดในขณะที่ซูหว่านแค่จูบยังให้เขาไม่ได้
และตอนนี้ความดีของซูหว่านกลับกลายเป็นแค่เครื่องมือ
"เรื่องกิจการของหว่านหวานที่ฉันมีหุ้น...หว่านหวานทำมันทั้งหมดจนสำเร็จและยิ่งใหญ่ส่งออกไปทั่วโลก แต่ตอนนี้มันต้องเป็นของฉันแล้ว...ได้ยินไหมเซิงเจี๋ยมันเป็นของฉันคนเดียวฮ่าาาาขอบคุณคุณนะที่เตือนฉันให้ขอร่วมหุ้นกับซูหว่าน เซิงเจี๋ยคุณต้องช่วยฉันดูแลกิจการนี้ด้วยนะ ฉันไม่เคยรู้อะไรเลย หว่านหวานเป็นคนบริหารทั้งหมด" หยางลู่พูดขึ้นหลังจากเลือกเก็บของที่อยากได้เสร็จแล้ว
เซิงเจี๋ยพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี
"ก็ได้ เราจะต้องดูแลมันอย่างดี...พอทุกอย่างเข้าที่ เราจะไม่ต้องกังวลอะไรอีก"
หยางลู่เดินไปนั่งลงบนเตียงนอนที่เคยเป็นที่ที่ซูหว่านนอนนั่งลงบนเตียงนุ่มขาวสะอาด หลายครั้งที่ซูหว่านเคยนั่งที่นี่หรือคุยกับเซิงเจี๋ย เคยเล่าสุขทุกข์ให้ฟังและครั้งหนึ่งเคยพูดว่ากิจการของตัวเองกำลังไปได้สวยวาดฝันถึงงานแต่งงานกับเขา แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นของหยางลู่ไปเสียแล้วสินะ และความริษยาที่หยางลู่มีคือการครอบครองทุกสิ่งของซูหว่านและวันนี้ก็มาถึง
"ที่นี่มัน...น่าเศร้านะ ฉันจะขาย คุณว่าดีไหม" หยางลู่พูดเบาๆ
เซิงเจี๋ยยิ้มเหยียดออกมาก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ ยื่นมือกอดหยางลู่แน่น
"จะเศร้าทำไม ดีใจนะดีกว่า ต่อไปมันจะไม่มีใครมาขวางเราได้อีก" เซิงเจี๋ยพึมพำด้วยเสียงที่ต่ำ
หยางลู่หันไปจูบเซิงเจี๋ยเบาๆ มือของพวกเขาสอดประสานกัน มือของเซิงเจี๋ยที่เคยจับมือซูหว่านตอนนี้กลับเป็นมือที่ปล่อยทุกอย่างไป ทุกอย่างถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พวกเขาต้องการ
“เราจะร่วมรักกันที่นี่จริงๆ หรือ” หยางลู่ถามเเสียงออดอ้อน เซิงเจี๋ยยิ้มอย่างมีเลศนัย
“กลัวผีเหรอ มา ผมจะช่วยปลอบขวัญคุณเอง แสดงบทรักแบบถึงพริกถึงขิงให้ผีหนีกระเจิงไปเลยดีไหม” พูดไปยิ้มไป
โน้มร่างบางของหยางลู่ลงบนเตียงนอนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของซูหว่าน ก่อนที่ความเงียบจะปกคลุมไปทั่วห้อง มีเพียงเสียงลมหายใจสั่นกระเส่าของทั้งสองคนที่บ่งบอกถึงความพอใจและการครอบครองทุกอย่าง
และในที่สุด... พวกเขาก็กอดกันแนบแน่นบนเตียงนั้น บนที่นอนที่ซูหว่านเคยนอน ทุกสิ่งในชีวิตของซูหว่านกลับกลายเป็นเพียงอดีตที่สูญหายไปตลอดกาล
เสียงสัญญาณการประกวดการแข่งขันดังขึ้นจากทุกทิศทาง ผู้เข้าแข่งขันต่างเตรียมพร้อมและทำอาหารด้วยความมุ่งมั่น บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความคาดหวังจากทุกฝ่าย ท่ามกลางกลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดที่เต็มไปด้วยความพิเศษและรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนท่านฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปยังเหล่าผู้เข้าแข่งขันแต่ละรายพร้อมกับขันทีข้างกายที่คอยรายงานข้อมูลและชี้ชวนให้ดูยังจุดต่างๆ ภายในบริเวณงาน การมองลึกๆ ของพระองค์สะท้อนถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียด และความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการประกวดในครั้งนี้"นั่นใช่ไหม เปิ่นหลี่ของอ๋องแปด"ฮ่องเต้ถามพร้อมกับมองไปยังผู้เข้าแข่งขันในชุดประดับที่เด่นชัดขันทีข้างกายยิ้มและตอบอย่างนอบน้อม "พ่ะย่ะค่ะ ความจริงแล้วโรงเตี๊ยมที่ลงแข่งขันทั้งหมดล้วนมีจุดเด่น และเปิ่นหลี่ของอ๋องแปดก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้าว่าท่านอ๋องแปดคงคิดหนักหน่อยเมื่อเห็นผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้ ทุกคนล้วนมาเพื่อแข่งขัน"ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วทอดพระเนตรต่อไปที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดที่ซูหว่าน ที่กำลังก้มลงเติมฟืนในเตาอย่างมุ่งมั่นท่ามกลางเตาอาหารที่ยังคงคุกรุ่นไปด้วยความร้
ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวแต่ก็ประมาทไม่ได้ โรงเตี๊ยมผิงจื้อมีชื่อด้านสุราหอมหวนอาหารที่ทำล้วนแต่เป้นกับแกล้มที่คยนกินรุ้สึกสึกปากเมื่อต้องกินคู่กับสุราฉะนั้นประมาทไม่ได้เรื่องรสชาติอาหารที่จัดจ้าน” ซูหว่านพยักหน้ายิ้มๆด้านข้างหอโอชารสที่เข้าแข่งขันครั้งนี้ด้วย ป้ายแผ่นไม่ด้านหลังงดงามด้วยตัวอักษรที่พลิ้วไหว“หอโอชารส”“หอโอชารส ส่วนมากจะปรุงอาหารที่นิยมในหมู่ขุนนางและคนในราชสำนักนับว่ายกระดับอาหารจากที่ชาวบ้านกิน ส่วนมากแล้วขุนนางในราชสำนัมักจะนัดพบปะพูดคุยหารือเรื่องต่างๆ หรือตกลงกันด้วยเรื่องการเมืองมักจะมากินอาหารที่นี่เสมอมีทั้งสุราดีและนารีที่งดงาม” ซูหว่านยิ้ม“แล้วนั่นล่ะค่ะ” ชี้มือไปที่ด้านนซ้ายนถัดจากโรงเตี๊ยมไห้ถัง“นั่นโรงเตี๊ยม จือฮวาที่แค่คงตั้งใจเข้ามาร่วมการแข่งขันเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้นเพราะข้าเพิ่งเห้นว่าดรงเตี๊ยมแห่งนี้เพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่วัน” ฟงหงเหวินชี้มือไปที่โรงเตี๊ยม เปิ่นหลี่“เปิ่นหลี่”“นั่นคือคู่แข่งคนสำคัญเพราะเป็นโรงเตี๊ยมที่ขายให้เฉพาะคนในราชสำนักีรุ้ใจเข้าใจคนในวังหลวงว่าชมชอบอาหารแบบไหนซึ่งคนในวังหลวงก็มีฝ่าบาทในนั้นด้วยเกรงวาสครึ่งใจของฝ่าบาทจะเทไปที่เ
ซูหว่านก้มมองตัวเองพร้อมกับรอยยิ้ม แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาทำให้ดูสง่างามอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ชุดกี่เพ้าแบบฟ้าขาวทำให้ดูสวยงามและสงบเยือกเย็น แต่ก็มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เข้ากับบุคลิกของซูหว่านอย่างลงตัวฉายหยาเลิกคิ้วขึ้น พลางมองไปที่ซูหว่านจากหัวจรดเท้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อ"อ่อ พี่เซิ่นหยี่ยนเข้าใจหาลูกค้านะคะ นางกำลังจะลงแข่งขันการปรุงอาหาร สวมอาภรณ์ที่มาจากผ้าเนื้อดีและตัดเย็บมาจากร้านหวงฝูเหอแบบนี้ เท่ากับช่วยโฆษณาสินค้าของร้านหวงฝูเหอสินะคะ เพราะว่านางเป็นหญิงเพียงคนเดียวที่ลงแข่งขันในครั้งนี้ ทุกสายตาในงานเทศกาลจะต้องจับจ้องมาที่นาง อาภรณ์ชุดนี้พออยู่บนตัวนางยิ่งทำให้นางดูงดงาม แบบนี้หญิงงามทั้งเมืองจะต้องอยากได้ชุดแบบนี้บ้างสินะคะแล้วร้านหวงฝูเหอก็จะ ทำยอดขายเป็นกอบเป็นกำสินะคะ พี่เซิ่นเหยี่ยนนี้สุดยอดจริงๆ"คำพูดของฉายหยาเหมือนมีแรงกดดันบางอย่าง และเมื่อพูดถึงร้านหวงฝูเหอ น้ำเสียงนั้นก็เหมือนจะตีความว่าเซิ่นเหยี่ยนกำลังใช้ซูหว่านเป็นเครื่องมือในการโฆษณา แม้ว่าคำพูดของฉายหยาออกจะดูเหมือนการชมเชย แต่ก็แฝงไปด้วยการวิจารณ์บางอย่างเซิ่นเหยี่ยนถอนหายใจ เขากลับรู้ส
เซิ่นเหยี่ยนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ข้างๆ ฉายหยาที่เกาะแขนของเขาเดินไปติดๆ ในขณะที่ทั้งคู่เดินไปข้างหน้า หยางลู่ที่เดินอยู่ข้างหลังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ทั้งๆ ที่พยายามทำใจให้สงบ แต่ทว่าความรู้สึกบางอย่างกลับฉุดรั้งให้ไม่สามารถละสายตาจากแผ่นหลังของเซิ่นหยี่ยนได้เซิ่งเจี๋ยที่ยืนอยู่ข้างหน้าเห็นหยางลู่ที่เดินเข้ามาใกล้ก็ยกมือขึ้นมาโบกให้กับหยางลู่รอยยิ้มบนใบหน้า แม้จะเป็นเพียงการแสดงออกธรรมดา แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกบางอย่างในเมื่อหยางลู่สวมชุดสีแดงเพลิงสะดุดตาขนาดนั้นฉายหยาที่เห็นเซิ้งเจี๋ยโบกมือก็พูดขึ้นยิ้มๆ"พี่จะไปหาพี่เซิ่งเจี๋ยก็ได้นะคะ ส่วนข้ากับพี่เซิ่นเหยี่ยนเราจะได้ใช้เวลาด้วยกันเพียงลำพัง พี่เองก็จะมาเดินตามเราทำไมกัน" เสียงของฉายหยาที่พูดด้วยท่าทางไร้เดียงสาแทรกเข้ามาในหูของหยางลู่ แม้รอยยิ้มใสใสที่ส่งมาเป็นเพียงแค่การแสดงออกภายนอก แต่หยางลู่กลับเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตาของฉายหยาความเย้ยหยันที่แฝงมาในท่าทีที่แสนสงบ ทำให้รู้สึกไม่พอใจ"อืม เข้าใจแล้ว ก็น่าเห็นใจเจ้านะฉายหยานานๆ ครั้งไม่สิคงไม่มีโอกาสได้เดินเคียงข้างคุณชายหวงสินะ วันนี้จึงอยากจะใช้โอกาสนี้ใ
รถม้าหลายคันเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ล้อไม้ดังเสียงกรอบแกรบขณะที่พาหนะแต่ละคันวิ่งเข้ามาหยุดยังบริเวณงาน บริเวณนี้เต็มไปด้วยคนของโรงเตี๊ยมทั้งใหญ่และเล็ก ทุกคนต่างช่วยกันจัดเตรียมทั้งอุปกรณ์ทำอาหารและการก่อเตาฟืนกลางแจ้งเพื่อใช้ในการแข่งขันครั้งนี้"ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม" เสียงของเซิ่งเจี๋ยดังขึ้นในระหว่างที่เขากำลังเดินไปมาในพื้นที่ เขายืนอยู่ในชุดสูทที่ทันสมัย ดูสง่างามและนอบน้อม ในขณะที่ขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต่างๆ เดินผ่านมา พวกเขาหยุดและกล่าวทักทายเขาด้วยท่าทางสุภาพ จนทำให้บรรยากาศรอบๆ ยิ่งดูเป็นทางการและยิ่งใหญ่“จอมปลอม” ซูหว่านเผลอพึมพำเบาๆรุ้สึกหนักอึ้งกับภาพตรงหน้าเซิ่งเจี่ยคนเดียว“เจ้าว่าอะไรนะ”“อ่อเปล่า…….ข้ากำลังรู้สึกว่าฮ่าาาๆๆๆๆบางอย่างมันดูยิ่งใหญ่ที่สุดเลยจริงๆไม่เคยเห้นอะไรแบบนี้มาก่อนงานปีใหม่นี่ดีจริงๆนะฮ่าาาาา”"หลังจากจบการแข่งขันการทำอาหารข้าจะพาเจ้าเดินชมงานเทศกาลรอบๆ ที่นี่มีของขายมากมายและยังมีการแสดงหุ่นกระบอกกับการร่ายรำกระบี่ที่หาดูยากแล้วในตอนนี้อีกด้วย" ซุหว่านพยักหน้ายิ้มๆ"ขอบคุณคุณชายมากๆเลยคะ ข้าคงใจจดจ่อที่การแข่งขันในตอนนี้ แต่พวกเด็กๆไม่รอแล้ว
ก่อนจะตอบออกไปอีกทีอย่างรวดเร็ว "ไม่ ไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น!"หยางลู่ผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองไปข้างนอกที่มีแสงจากพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า "เราจะต้องเหนือกว่าทุกคนที่นี่โดยเฉพาะซูหว่านนางขอทานนั่น ที่นี่เรามีเงิน มีอำนาจ ทุกอย่างที่คนธรรมดาไม่มี คุณจะกลัวทำไม ซูหว่านก็แค่ผู้หญิงไร้พิษสงคนหนึ่งเท่านั้น!"คำพูดของหยางลู่ยังดังก้องในห้อง แต่เซิ่งเจี๋ยกลับมองไปที่หยางลู่ด้วยแววตาที่ไม่อาจบอกได้ว่ากำลังคิดอะไร เขายังคงเงียบ และท่าทางนั้นทำให้หยางลู่หันกลับมามองเขาด้วยความสงสัย"คุณไม่เชื่อใช่ไหมคอยดูก็แล้วกัน ซูหว่านจะต้องไร้ที่ยืนที่นี่" หยางลู่ถามเสียงต่ำเซิ่งเจี๋ยพยักหน้าอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าไม่ใช่แค่ซูหว่านที่เขาต้องระวัง แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่เขาต้องคิดถึงอีกมากมาย... " คุณเกลียดอะไรเขาหนักหนาผมไม่เข้าใจ ผมก็แค่ไม่อยากเห็นความผิดพลาดครั้งใหญ่" เขาพูดเบาๆหยางลู่ยิ้มหยัน"ไม่ต้องห่วง คุณชายเซิ่งเจี๋ย ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ที่นี่จะไม่มีคำว่าผิดหวังในเมื่อต้นทุนเรามาดีขนาดนี้ฉันถึงปฏิเสธระบบบ้าบอนั่นอย่างไรเล่า"หยางลู่พูดก่อนจะหันกลับไป และจากไปด้วยท่าทีที่มั่นใจ จะไม่ยอมให้ใ