ซูหว่านลืมตาขึ้นในความมืดสนิท รู้สึกปวดไปทั้งร่างกาย ราวกับทุกส่วนของร่างกายมันบิดเบี้ยวไปหมด ไม่สิมันต้องแหลกละเอียดสินะแต่ทำไมยังอยู่ครบทุกส่วนนี่ฉันตายแล้วเหรอ หรือมาอยู่กับหมอ ลืมตาขึ้นมองเพดานที่แรกคิดว่าจะต้องเจอเพดานสีขาวสะอาดตาของโรงพยาบาลแต่กับเป็นหลังคาผุๆ
"ที่นี่...ที่ไหนกัน" ซูหว่านพึมพำออกมาเบาๆ พยายามจะลุกขึ้นแต่ก็แทบจะทำไม่ได้ ร่างกายอ่อนแอเกินไป
กวาดสายตามองไปในความมืด เห็นภาพของเด็กแฝดทั้งสองนั่งกอดเข่าด้วยท่าทางอิดโรยผอมแห้งดวงตาไร้แววสดใสไม่เหมือนเด็กในวัยนี้ทั่วไป เด็กทั้งสองมีรอยเขียวช้ำกระจายไปทั่วร่างกาย สภาพดูไม่ดีนัก
"พี่ใหญ่อาเยวี่ยน ท่านแม่ฟื้นแล้ว" เด็กหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใสแต่เต็มไปด้วยความกังวลรีบคลานมานั่งข้างๆ ซูหว่าน
ซูหว่านพยักหน้าเล็กน้อยขณะที่เด็กชายที่ชื่ออาเยวี่ยนเดินเข้ามาใกล้เพื่อพยุงตัวของซูหว่านให้ลุกขึ้น แม้ว่าร่างกายเล็กๆ ของอาเยวี่ยนจะไม่ค่อยมีแรงเลย แต่เขาก็พยายามทำอย่างเต็มที่
"อาวี่ เอาหมั่นโถวให้ท่านแม่สิ" อาเยวี่ยนพูดกับแฝดหญิงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า
เด็กหญิงตัวเล็กนามว่าอาอวี่ที่กำของสิ่งหนึ่งที่ห่อไว้กับกระโปรงสีหม่นขาดวิ่น ซูหว่านมองเห็นหมั่นโถวก้อนหนึ่งในนั้น เด็กหญิงอาอวี่บิหมั่นโถวเก่าๆ นั้นให้เป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนยื่นให้ซูหว่าน
"ท่านแม่ ท่านกินเสียเถิด"
อะไรเนี้ย จะกินลงเร๊อะ นี่ฉันต้องกินจริงๆเหรอ…ไม่สิแสบท้องสะบัดเลย ซูหว่านมองไปที่เด็กทั้งสอง มันไม่ใช่ความรู้สึกห่วงใยที่รู้สึกในทันที แต่ท่าทีของเด็กแฝดที่ดูใส่ใจนั้นทำให้ซูหว่านรีบอ้าปากงับเอาหมั่นโถวไว้ในปาก เคี้ยวหยับๆ
"ท่านแม่..." อาอวี่พูดเสียงเบา ขณะที่นั่งมองซูหว่านกินหมั่นโถวไปพร้อมๆ กับเสียงท้องของอาอวี่ที่ร้องจ้อกแจ้กๆ โอ้โหท้องร้องขาดนี้ยังใจดีกับข้าอีกเนาะ แล้วแบบนี้ข้าจะกล้ากินคนเดียวไหม
“อาอวี่ให้ท่านแม่กินก่อนเราต้องอดทน” อาเยวี่ยนดุน้องสาวเบาๆ
ซูหว่านชะงักคาบหมั่นโถวคาปากไว้ มองไปที่ท่าทางของเด็กๆ พวกเขาทั้งสองดูเหมือนไร้ที่พึ่งและหิวโหย ซูหว่านรู้สึกถึงความอ่อนแรง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะห่วงเด็กทั้งสอง
ถ้าพวกเขาไม่ได้กินอาหาร จะทนได้อย่างไรกัน
ในใจรู้สึกว่าเด็กทั้งสองจะต้องมาก่อน แต่เอมันจะแปลกไปไหม พวกเขาเป็นลูกก็ต้องรักแม่มากๆ สินะถึงกับคอยมาดูแลตอนที่ซูหว่านหลับไป นึกแล้วก็น่าสงสารหากพวกเขารู้ว่าแม่เขาไม่อยู่แล้ว จะรู้สึกเศร้าแค่ไหน ตามน้ำไปก่อนแล้วกัน
“ข้าแบ่งให้เจ้า เด็กน้อยกินเสีย”
หมั่นโถวในมือของเด็กๆ มีเพียงไม่กี่ชิ้น แถมยังเป็นก้อนเก่าๆ ที่ถูกเก็บไว้นานแล้ว
อาเยวี่ยนหันมามองน้องสาวอาอวี่ด้วยแววตาเคร่งเครียดและกังวล พูดเสียงดุๆ พยายามยับยั้งตัวเอง
"อดทนเอาหน่อยอาอวี่ หมั่นโถวมีแค่นี้ ให้ท่านแม่กินก่อนเถอะท่านแม่จะได้หายเร็วๆ" อาเยวี่ยนพูด
อาอวี่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความเชื่อฟัง
"พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจแล้ว...เราสองคนหยิบมาได้แค่หมั่นโถว…เพื่อท่านแม่ที่กำลังบาดเจ็บจะได้แข็งแรง ข้าจะอดทน…"
ซูหว่านเห็นท่าทางของเด็กทั้งสองแล้วรู้สึกสะเทือนใจ ขมวดคิ้วพยายามจะทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันความสงสัยก็ก่อตัวขึ้นในใจ นี่ฉันตายแล้วแต่ยังไม่ตายและถูกให้มาใช้ชีวิตลำเค็ญที่นี่กับเด็กสองคนนี้หรือ
"เดี๋ยวๆๆๆ พวกเจ้ากินกันเถอะ ข้า..เอ๋ยแม่ไม่หิวเท่าไหร่ ดูพวกเจ้าสิหิวขนาดนั้นแล้วพวกเจ้าทำไมถึงมีแต่รอยเขียวคล้ำไปทั้งตัวด้วย ไปโดนอะไรมาทายาหรือยัง" ซูหว่านถามออกไปอย่างกังวล คิดถึงขวดน้ำมันปาล์มที่หอมและแก้ฟกซ้ำ หงส์ไทย…
"ข้าไปหยิบหมั่นโถวจากในห้องครัว...แล้วหกล้มจนตัวเขียว ท่านแม่ไม่ต้องห่วงเรา ปกติข้าก็ล้มบ่อยๆ"
ซูหว่านได้ยินคำตอบนั้นแล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องปกติ รอยเขียวช้ำที่กระจายไปทั่วตัวของเด็กๆ ไม่ใช่แค่จากการหกล้มธรรมดาแน่ๆ แต่ดูเหมือนพวกเขาอาจถูกใครลงโทษโดยการลงไม้ลงมือ
"เจ้าทั้งสอง...เอาแบบนี้กินหมั่นโถวกันเสียทั้งสองคน ส่วนที่เหลือครึ่งลูกในมือเอามาให้แม่ แม่จะกินเอง" ซูหว่านพูด รู้สึกว่าถ้าจะให้ร่างกายหายจากการบาดเจ็บจะต้องกินอะไรเสียหน่อย
ซูหว่านก้มลงมองหมั่นโถวในมือของเด็กๆ อย่างสงสัยถึงมันจะไม่ได้ช่วยอะไรเพราะไม่ใช้อาหารที่เลิศหรูหรือเพียงพอ แต่ก็คงพอทำให้มีแรง ซูหว่านรู้สึกเห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสถานการณ์นี้
“ขอบคุณท่านแม่” อาอวี่ยิ้ม
ในตอนนี้ ซูหว่านรู้แค่เพียงว่าในขณะที่เธอกำลังอ่อนแอและเจ็บปวดตามร่างกาย เด็กๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก พวกเขายังคงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ซูหว่านรอดพ้นจากความเจ็บปวด อาจเพราะกลัวว่าซูหว่านจะตายเพราะซูหว่านคือแม่ของพวกเขา
"ขอบใจ..." ซูหว่านพึมพำออกมาเบาๆ อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบใหม่นี่ละว่ะ ยังมีภาระน้อยๆ อีกสอง ฉันเกลียดเด็กกกกกกกกกกกกกกกกกก
ซูหว่านลงมือเก็บตำลึงหอบใหญ่ไว้ในอ้อมแขนเดินกลับบ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านยัยป้าข้างบ้านชะเง้อชะแง้ตามประสาคนขี้เสือกซูหว่านเก็บฟักเขียวลูกโตไปวางไว้ในห้องครัว พลางหยิบมีดหั่นเปลือกบางๆของมันออก เผยให้เห็นเนื้อในที่เขียวสดใส ก่อนที่เสียงเบาๆจากในหัวจะดังขึ้นมาติ้ง……เสียงดังก้องในหูของซูหว่าน พร้อมกับข้อความที่ปรากฏขึ้นในอากาศจางๆเป็นรูปจอสี่เหลี่ยมโปร่งแสง"เช็คอินเป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน รับทันที 120 ฟองไข่ทองคำและเปิดใช้งานระบบแบบเต็มรูปแบบ ทั้งโต้ตอบและช่วยบริหารจัดการ""อะไรเนี่ย..." ซูหว่านหยุดมือที่กำลังหั่นฟักเขียว มองไปรอบๆตัวเองด้วยความงุนงง ทันใดนั้น เสียงหนุ่มหล่อแปลกประหลาดก็เอ่ยขึ้นจากในหัวของนาง ราวกับว่าเป็นเสียงที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือหรือระบบคอมพิวเตอร์ที่ปรากฎอยู่ในอากาศ"ออนไลน์…ยินดีต้อนรับสู่ระบบครัววิเศษ ข้าน้อยเสี่ยวปังเรียกง่ายๆก็ขนมปัง ยินดีให้บริการ ถามอะไรก็ได้ในทันที….."เสียงนี้มีความนุ่มนวลและคมชัด ราวกับเสียงพากษ์พระเอกในซีรีส์จีนสุดเท่ เสียงของมันเต็มไปด้วยความมั่นใจและความตื่นเต้นที่อยากจะช่วยเหลือซูหว่านเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจ
เช้าวันต่อมาซูหว่านเดินออกจากบ้านไปโดยมีความกังวลอยู่เต็มอกเด็กๆ ป่วยอยู่บนแท่นนอนตัวร้อนจัดจนแทบจะจับไม่ได้แล้วเพราะที่ผ่านมาก็เจ็บตัวประจำอาหารการกินก็ไม่สมบูรณ์และไหนจะความเครียดสะสม ซูหว่านเช็ดตัวให้ทั้งสองคนแล้วขยับตัวลุกขึ้น“แม่จะลองไปที่ร้านหมอเพื่อขอยาดูนะ…” ซูหว่านพึมพำเบาๆ เด็กทั้งสองยังไม่รู้สึกตัวเหงื่อซึมโชกอยู่บนหน้าผากเล็กๆ ของพวกเขา บางครั้งก็มีอาการตัวเกร็งเหมือนกับจะมีไข้สูงขึ้นไปอีก รู้ว่าเวลานี้ต้องรีบหายามาช่วยเหลือไม่อย่างนั้นพวกเขาจะทรมานจนทนไม่ไหว"ต้องหายามาให้ได้ ต้องไปร้านหมอไปหายามาให้พวกเขากินแก้ไข้"เมื่อถึงร้านขายยา ซูหว่านผ่านประตูเข้าไปในร้านที่เงียบสงัด มีกลิ่นยาหอมฟุ้งไปทั่ว "ท่านหมอได้โปรด ข้าอยากขอยาให้เด็กๆ" ซูหว่านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ แต่ในใจลึกๆ ก็เต็มไปด้วยความห่วงใยหมอชราในร้านซึ่งนั่งอยู่หน้าตู้เก็บสมุนไพร ก้มมองซูหว่านด้วยสายตาเย็นชา เขาคงรู้ดีถึงชื่อเสียงของซูหว่านมาบ้าง “มีเงินหรือไม่” คำพูดเบาๆ แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ ซูหว่านส่ายหน้าไปมา"ไม่ได้ อยากได้ยาก็ต้องมีเงิน" หมอชราพูดสั้นๆ ก่อนที่จะหันไปทำอย่างอื่นต่อซูหว่านถูกปฏิเสธอย่า
“ทำไมใครๆ เขาก็รู้ว่าเจ้าฆ่าสามี ข้าพูดแล้วจะทำไมข้า คนอื่นเขาพูดกันทั่วไป ไม่ได้พูดแต่ข้าเสียหน่อยเจ้าก็ตามไปฆ่าทุกคนสิ”ซูหว่านยิ้มเหยียดเดินเข้าหายายป้าข้างบ้าน“ชิ อย่างนั้นหรือพูดกันทั่วไป ข้าไม่ได้ยินถือว่าไม่พูดแต่คนที่พูดให้ข้าได้ยินนี่ อย่างไงดีน้าาาา”“เจ้าอย่ามาทำนิสัยเหมือนที่ผ่านมา มิน่าเล่าแม่สามาีเจ้าถึงได้ไล่เจ้าออกจากบ้านเพราะเจ้ามาจิตใจต่ำทรามชอบฆ่าคนแบบนี้นี่เอง”“หุบปากเจ้านะไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย”“เจ้าจะทำอะไรข้า” ยัยป้าเริ่มหวั่นๆ ไม่กล้าสบตาซูหว่าน"คราวหลังอย่ามากล่าวหาข้าอีก...ไม่อย่างนั้นข้า…ที่ไม่เคยฆ่าใครจะฆ่าเจ้านั่นแหละคนแรก" ซูหว่านพูดเสียงดังคำพูดของซูหว่านดังก้องไปทั่วบริเวณ ชาวบ้านที่มามุงดูเงียบเสียงลงไป ป้าข้างบ้านมองซูหว่านด้วยสายตาที่ตื่นตระหนกในชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็กัดฟันและพูดกลับด้วยเสียงสั่นๆ ซูหว่านชี้มือไปยังยัยป้าอย่างคาดโทษ"เจ้า...เจ้ายังจะกล้าทำร้ายข้าอีกหรือ อ่อแน่ละซี้ เจ้ามันชอบฆ่าคนนี่ อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปได้ง่ายๆ ข้าจะไล่เจ้าทุกวันคอยดูเถอะ"ซูหว่านที่ยังคงยืนอยู่ด้วยท่าทางมั่นคงยิ้มเย็น พูดกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ
ซูหว่านก็เตรียมข้าวร้อนๆ ในถ้วยที่ล้างจนสะอาด อาหารมื้อแรกบนอิสรภาพกลับมีค่ามากมายในตอนนี้ คนเรามันอยู่ที่ใจหรอกจบอกว่าสุขก็สุข ฮ่าาาาจริงไหมนี่เอิ้กกกกฉ้านนนนนนนมีความสุข“หน้าตาดูดีไม่น้อยทีเดียว” เสิร์ฟข้าวพร้อมกับผัดผักบุ้งกลิ่นหอมฟุ้งบนโต๊ะที่ทำมาจากไม้เก่าๆ“อาอวี่...อาเยวี่ยน มานี่เร็ว ลูกร้ากกกกก” ซูหว่านเรียกเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งสองพยักหน้าและรีบเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารอาเยวี่ยนมองข้าวร้อนๆ และผัดผักบุ้งที่กลิ่นหอมลอยมาเต็มห้อง เขายิ้มออกมาอย่างอิ่มใจ “ท่านแม่เก่งจัง หอมที่สุดเลย หอมจริงๆ แค่ผัดผักบุ้งแต่หอมไปสามบ้าน”ซูหว่านยิ้ม เด็กๆ พุ้ยข้าวใส่ปากแก้มป่อง คีบผัดผักบุ้งใส่ปาก อาอวี่นิ่งงันอ้าปากค้าง“อืออร่อยจัง ผักนี่หวานจังเลยค่ะท่านแม่ อร่อยมากๆ เลยค่ะ” อาอวี่พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง ใบหน้าเล็กๆ เปล่งประกายไปด้วยความสุขจากการได้ทานอาหารร้อนๆ รสชาติอร่อยที่ซูหว่านปรุงกับมือ“ผักที่อร่อยต้องสดใหม่เท่านั้น ผักเก็บมาจากต้นปรุงอาหารได้รสดีที่สุดและผักบุ้งมีสรรพคุณมากมายแต่ที่สำคัญในตอนนี้คือช่วยลดอาการปวดศีรษะและอ่อนเพลีย จากการที่เราสามคนหนีนางปีศาจเมื่อคืนฮ่าาาาา แ
"เด็กๆ วันนี้เราจะเริ่มต้นกันใหม่โดยการทำความสะอาดบ้าน" ซูหว่านพูดเสียงมั่นคง ก่อนจะหันไปมองลูกๆ "เราจะหาทางอยู่ให้ได้ และไม่ต้องหนีอีกต่อไป"ซูหว่านยืนอยู่กลางห้อง มองไปรอบๆ บ้านร้างที่ไม่มีใครจับจอง ภายในบ้านท่ามกลางความเงียบสงัด รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ค้างคาในใจ เด็กๆ ก็ดูจะตื่นเต้นมาก"ฮึบบบบ…" ซูหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเดินสำรวจไปรอบๆ บ้านอย่างตั้งใจ แม้ภายในบ้านจะเต็มไปด้วยฝุ่นและข้าวของเก่าๆ แต่ในทุกมุมที่มองดูก็เห็นบางสิ่งที่ยังพอใช้ได้“ปัดฝุ่นเสียหน่อยก็ใช้ได้แล้วล่ะ”บนผนังห้องครัวเก่าๆ ซูหว่านพบกับอุปกรณ์ครัวที่เก่าแต่ยังพอใช้งานได้ น้ำมันเก่าๆ ในโถดีๆ ที่ยังไม่เหม็นหืนอาจเพราะอากาศเย็น ถูกวางอยู่บนชั้นไม้ที่ดูเหมือนจะเก็บไว้ไม่ได้ใช้มานาน ข้างฝาที่เป็นซี่คล้ายลูกกรงมีเชือกที่ผูกพริกแห้งที่ยังไม่ได้ใช้จนแห้งสนิท กระเทียมกับผักชีแห้งๆ ผักเครื่องหอมที่แห้งแต่ยังหอมและฝักข้าวโพดแห้งที่อยู่ในมุมหนึ่งถูกวางทิ้งไว้ เกลือกับเครื่องเทศในห่อกระดาษแห้งสนิทของแค่นี้ก็พอจะทำให้อาหารได้ดวงตากลมเลิกคิ้วสูง ด้านในสุดข้างเตามีกระทะแขวนไว้ ซูหว่านเอื้อมมือไปดึงถังไม้เปิดฝาเห็นข้าวสาล
ซูหว่านหันหลังกลับเด็กๆ ยืนข้างๆ ด้วยท่าทางหวาดกลัว สายตาของซูหว่านมองไปที่จอบที่พิงผนัง เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่พอจะใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ ซูหว่านเอื้อมมือไปคว้าจอบนั้นมาอย่างรวดเร็ว ตายเป็นตายวะอย่างดีก็แค่ตายอีกที เสียงฝีเท้าของสาวใช้วิ่งเข้ามา ใจซูหว่านร้อนรนแต่ไม่มีเวลาคิดมากกว่านี้ ขณะที่สาวใช้พุ่งเข้ามาหา ซูหว่านคว้าจอบยกขึ้นทันที แล้วทุบลงไปที่แผ่นหลังของสาวใช้อย่างเต็มแรง"โอ๊ยยย" เสียงร้องของสาวใช้ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ตัวจะงอไปข้างหน้า ใช้ลงไปกับพื้น หมดแรงที่จะขยับต่อไปฮูหยินซูที่อ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าซูหว่านที่ไม่เคยมีปากเสียงครั้งนี้กลับสู้คน “พวกเจ้ามาเร็วๆ มาช่วยกันจับนาง”เสียงแหลมและแข็งกร้าวสั่งการให้ทุกคนทำตาม แต่ยังไม่มีใครมาสักคันก็มันดึกแล้ว มีแต่ฮูหยินซูเท่านั้นที่อยู่คนจับผิดซูหว่านซูหว่านรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะลังเลอีกแล้ว การเผชิญหน้ากับฮูหยินซูในตอนนี้หมายถึงการสู้ หากเอาแต่หนีทั้งยังพาเด็กๆ ไปด้วยคงถูกไล่ตามมาจับได้แน่ ไม่มีทางเลือกนอกจากสู้แล้ว จะต้องทำให้ฮูหยินซูไม่กล้ากับซูหว่านอีกต่อไปซูหว่านหันไปมองฮูหยินซูที่ยืนอยู่ไม่ไกล มือยังคงกำจอ