“คะ คุณคิดจะทำอะไร”ริมฝีปากบางเปล่งถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ดวงตากลมโตมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจเมื่อเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเขา
ตอนนี้ความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้นกับร่างกายดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและเป็นอะไรที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต จนอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะแพ้แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป
“คุณไม่เก่งถึงขนาดทนมันได้หรอก”ชายหนุ่มที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนมองอาการของเธอปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหญิงสาวโดนยานั่นเล่นงานเหมือนกัน และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถทนฤทธิ์เดชของมันได้อย่างแน่นอน
“...” คิ้วเรียวงามเลิกขึ้นเป็นสัญลักษณ์คำถาม ตอนนี้เธอไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่ความปั่นป่วนภายในร่างกายที่เป็นอยู่ มันรู้สึกทรมานเหมือนต้องการอะไรบางอย่าง ที่เธอเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร
“ร้อนใช่มั้ยล่ะ หืม?” เขาถามพร้อมกับต้อนเธอจนแผ่นหลังของร่างเล็กสัมผัสกับผนังห้องและไม่สามารถหลีกหนีไปไหนได้ ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ โน้มเข้าใกล้คนที่ยืนประหม่าอยู่จนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน
หญิงสาวรีบหันหน้าหนีพร้อมกับพยายามเอาตัวเองออกจากวงแขนของคนตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ
ดารินตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่อยู่ใกล้จนแทบจะแนบชิดกันนั้น กลับทำให้เธอรู้สึกราวกับต้องมนต์สะกด ชายหนุ่มคนนี้หล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายที่เธอเคยอ่าน
ภาคินัยเห็นสีหน้าและจังหวะการกลืนน้ำลายของเธอก็รีบใช้ริมฝีปากขบเม้มไปที่ติ่งหูเธอเบาๆอย่างถือวิสาสะ ร่างเล็กรู้สึกขนกายลุกซู่อย่างไม่อาจห้ามได้ เขาเห็นอาการของเธอก็ยิ่งชอบใจจึงไม่ปล่อยให้เสียเวลา มือใหญ่เลื่อนไปรั้งท้ายทอยแล้วประกบริมฝีปากลงไปอย่างอุกอาจพร้อมมอบสัมผัสร้อนแรงและแสนวาบหวามให้แก่เธอ
ร่างเล็กอ่อนระทวยจนแทบจะลงไปกองกับพื้นยังดีที่คนตัวโตกว่าประคองเธอไว้แน่น ตอนนี้ร่างกายของทั้งสองรู้สึกทรมานเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ
หลังจากสติที่ถูกกลืนหายไปของเธอกลับมาอีกครั้งก็พยายามผลักเขาให้ออกห่างจากตัว จิตใต้สำนึกบอกว่าไม่อยากให้มันลงเอยแบบนี้ แต่ร่างกายกลับให้ความร่วมมือและตอบสนองทุกสัมผัสของเขาอย่างน่าอาย
“อย่าปฏิเสธเลย คุณก็ต้องการมันเหมือนกัน”ชายหนุ่มมองใบหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงระเรื่อแล้วจู่โจมเธอด้วยรอยจูบอีกครั้งซึ่งเป็นสัมผัสที่ต่างจากครั้งแรก และครั้งนี้เธอกลับไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย แถมยังจูบตอบเขาอย่างเงอะงะ ราวกับไม่ประสีประสา สร้างความแปลกใหม่ให้ชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“อื้ม หวาน!”เขาถอดถอนริมฝีปากออกจากเรียวปากเล็กแล้วยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
ตอนนี้เธอไม่สามารถควบคุมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองได้อีกแล้ว นอกจากปล่อยให้ร่างกายเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่ใช่น้ำหอมจากตัวเธอยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนในกายของเขาให้พลุ่งพล่าน
ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ไปยังซอกคอและเส้นผมหอมกรุ่นพร้อมกับสูดกลิ่นมันเข้าปอดอย่างแรงด้วยความกระหาย มือของเขาค่อยๆ รูดซิปด้านหลังชุดเดรสของเธอลงมาโดยหญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว
เนินอกอิ่มโผล่พ้นออกมาจากเกาะอกที่เธอสวมอยู่ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้เขารีบจัดการชุดของเธอให้พ้นสายตา ร่างกายขาวนวลเนียนที่มีแต่เกาะอกกับแพนตี้สีครีมตัวน้อยๆปกปิดอยู่ทำให้คนที่มองต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
ไม่รู้ว่าด้วยฤทธิ์ยาหรืออะไร ทว่าหญิงสาวกลับไม่มีความเคอะเขินแม้แต่น้อย รู้แค่ว่าทุกสัมผัสที่ชายหนุ่มมอบให้ล้วนทำให้เธอรู้สึกแปลกใหม่ ราวกับอยู่บนปุยเมฆนุ่มๆที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ไม่รอช้า เขารีบจัดการเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว กระทั่งเหลือแต่อันเดอร์แวร์สีขาวปกปิดความเป็นชายขนาดใหญ่ที่โป่งพองอย่างเต็มที่แล้วของเขา หญิงสาวมองแผงอกล่ำของคนตรงหน้าพร้อมกับหัวใจเต้นแรง
ร่างสูงรีบยกเธอขึ้นโดยให้ขาเรียวเกี่ยวรอบเอวไว้ แขนของเธอทั้งสองข้างคล้องคอเขาแค่เพียงหลวมๆ ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ลงไปยังอกอิ่ม จนเธอรู้สึกถึงความสยิวชวนขนลุกจนต้องแอ่นอกรับพร้อมกับเอนกายไปด้านหลัง
ชายหนุ่มอุ้มเธอเข้าไปในห้องที่มีเตียงสีดำวางเด่นอยู่กลางห้องพร้อมกับโยนร่างเล็กลงบนเตียงอย่างแรงโดยไม่กลัวว่าเธอจะเจ็บแม้แต่น้อย
แล้วขึ้นคร่อมเธอพร้อมกับซุกไซ้ซอกคอหอมอีกครั้ง ผิวกายขาวอมชมพูเมื่ออยู่บนเตียงสีดำและแสงไฟสลัวในห้องยิ่งขับผิวให้ดูโดดเด่น มือใหญ่ถอดเกาะอกของเธอออกจนก้อนเนื้อนุ่มนิ่มขนาดใหญ่สองก้อนปรากฏแก่สายตา ลิ้นร้อนค่อยๆ กระหวัดโลมเลียยอดถันสีชมพูอ่อนอย่างหยาบโลนพร้อมขบกัดมันอย่างหยอกล้อ
"อื้อ"เสียงหวานเปล่งออกมาอย่างทนไม่ไหว
ริมฝีปากหยักลึกกระตุกขึ้นอย่างชอบใจครั้นได้ยินเสียงของคนใต้ร่าง
ภาคินัยเคลื่อนตัวไปประกบจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้สึกเบื่อ มือใหญ่ไม่ปล่อยให้ว่างค่อยๆ เลื่อนลงเข้าไปในแพนตี้ตัวน้อยที่ปกปิดสามเหลี่ยมอวบอูมของเธอจนสัมผัสได้ถึงเส้นไหมนุ่มบางเบา นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ส่งเข้าไปยังกลีบกุหลาบที่หลั่งหยาดน้ำหวานฉ่ำแฉะออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วจนหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว
"อ้าส์"
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอีกครั้ง เนื่องจากภายในของเธอตอดรัดนิ้วของเขาจนน่าใจหาย นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ขยับเข้าออกเนิบนาบ จนคนที่นอนอยู่ต้องซู้ดปากแล้วเม้มเข้าหากันแน่นไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาอีก
เขาเห็นอาการของเธอก็รีบลุกขึ้นถอดอันเดอร์แวร์ของตัวเองพร้อมกับเดินไปหยิบเกราะป้องกันในลิ้นชักหัวเตียงมาสวม แล้วเดินมาถอดแพนตี้ของเธอออก รีบจ่อแกนกายที่ทรมานอย่างขีดสุดไปยังกลีบกุหลาบเปียกชุ่ม เขาดันมันเข้าไปอย่างแรงแต่กลับต้องชะงักเมื่อความเป็นชายเข้าไปได้แค่ครึ่งเดียวและรู้สึกถึงเนื้อเยื่อบางที่เขาพึ่งทำลายลงไป
"โอ๊ย จะ..เจ็บ"ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกลางกายสาว เธอรู้ดีว่าตอนนี้อารมณ์ของตัวเองมันไปไกลถึงขั้นกล้ามีอะไรกับคนแปลกหน้าเสียแล้ว
“Fu*k!”เขาสบถออกมาอย่างหัวเสียแล้วรีบก้มลงไปประกบปากเธออย่างดูดดื่มพร้อมกับเล้าโลมใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ร่างกายเธอมีความผ่อนคลายมากขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาจะทรมานไม่ต่างกันก็ตาม
เขาค่อยๆ ดันแกนกายเข้าไปจนมิดในเวลาต่อมา จากนั้นก็เริ่มขยับสะโพกเบาๆ แล้วเพิ่มจังหวะป่าเถื่อนสลับกัน ชายหนุ่มใช้มือใหญ่บีบหน้าอกเธออย่างแรงจนแดงเป็นปื้น ลำคองามเต็มไปด้วยร่องรอยที่เขาทำไว้จนแดงเถือก
"อ้าส์"
เรียวขากระหวัดเกี่ยวเอวเขาไว้แน่น แม้จะรู้สึกเจ็บมากในตอนแรก แต่พอผ่านไปสักพักกลับมีความรู้สึกเคลิบเคลิ้มซึ่งสามารถลบล้างความเจ็บปวดก่อนหน้าให้มลายไปแทบจะหมดสิ้น ทว่าบางจังหวะเธอกลับรู้สึกจุกอย่างบอกไม่ถูก จนต้องเปล่งเสียงหวานออกมาเป็นการระบาย
เขามองใบหน้าหวานของคนใต้ร่างด้วยความหลงใหลโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับกระแทกแกนกายเข้าออกแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องใช้มือเล็กดันหน้าท้องแกร่งของเขาเป็นเชิงปรามอยู่บ่อยครั้ง
"อื้อ อ้ะ!"
"โอ้ว"
กรามของเขาขบเข้าหากันแน่นด้วยความรู้สึกเสียวซ่านเมื่อภายในของเธอตอดรัดความเป็นชายของเขาถี่ยิบครั้งแล้วครั้งเล่า
อารมณ์ของทั้งสองกำลังจะถึงจุดปะทุในอีกไม่ช้า กระทั่งร่างเล็กเกร็งสะท้านนำไปก่อนเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงเร่งจังหวะให้แรงขึ้นอีกเท่าตัว ไม่นานก็ปลดปล่อยตัวเองออกมาอย่างเต็มที่พร้อมกับซุกใบหน้าลงกับอกอิ่มแล้วหายใจเหนื่อยหอบ แต่มีหรือที่เขาจะพอแค่นี้เพราะกว่ายาจะหมดฤทธิ์ก็คงได้อีกหลายยกและมันอาจจะถึงเช้า!!
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ