“จากที่แกเล่ามาอะนะ ฉันว่าพี่หมอของแกคงจะมีปัญหาเรื่องการเงินมาก ๆ เลยต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเกรดตก นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหลุดทุนอะ” นิดาว่าตามที่ตนเองคิด
“เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ” ฉันว่าพลางดูดน้ำส้มขึ้นมาดื่มเพื่อให้ร่างกายตัวเองสดชื่นหลังจากที่ถูกพี่ธีร์ไล่มา
“แกเลิกชอบเขาเหอะ ผู้ชายอะไรนิสัยไม่ดีเลย” มนใส่อารมณ์
“แต่เราก็ผิดนะเว้ยที่เข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขาอะ”
“แล้ว เพื่อน ๆ พี่เขาที่แกไปดื่มกาแฟด้วยเขาว่าไงบ้าง” นิดาเอ่ยถาม
“ก็ไม่ยังไงหรอก เขาก็บอกว่าพี่ธีร์ไม่ชอบให้คนเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา รู้แค่ว่าพี่แกอยู่ตัวคนเดียวเลยเป็นคนเย็นชาแบบนี้”
“แกก็เลยอยากช่วยเขาว่างั้น” ฉันพยักหน้าตอบกลับมน
“อือ แต่พี่เขาน่าจะโกรธเรามากเลยอะ”
“ทำไมแกไม่จ้างให้พี่เขามาติววิชาที่แกอ่อนให้วะ พี่เขาได้ทุนแสดงว่าต้องเรียนเก่งมาก ๆ ไม่ใช่เหรอ แบบนี้จะได้วิน ๆ ทั้งคู่ไง” นิดาเสนอ
“ฉันว่าแบบที่นิดาบอกมันก็ดีนะแก แต่ว่าพี่เขาดูเป็นคนทะนงตัวแบบนั้น เขาจะยอมรับข้อเสนอปะวะ” มนขมวดคิ้วอย่างฉงน
“เราต้องหาวิธีไปคุยกับเขาให้ได้”
ตั้งแต่วันนั้นฉันก็เดินผ่านที่ตึกเรียนของพี่ธีร์แทบจะทุกวัน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพี่เขาจะอยู่เลย แม้แต่ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ฉันก็ไม่เห็นรถจอดอยู่เลย
ทำยังไงถึงจะจับทางรุ่นพี่หนุ่มได้เนี่ย จะถามเพื่อน ๆ ของพี่เขาก็กลัวว่าจะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาเกินไปอีก
ยิ่งโดนบอกว่าอย่ามายุ่ง ก็ยิ่งไม่กล้าจะทำอะไรเลยแฮะ
หรือว่าฉันควรจะต้องตัดใจแล้วจริง ๆ
“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่เห็นบอกหนูเลยว่าจะพาหนูมาทานข้าว” ฉันเอ่ยขณะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นพ่อและแม่บนโต๊ะทานอาหารในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง
“ก็เห็นลูกเรียนมาเหนื่อย ๆ พ่อเขาก็เลยอยากให้ลูกได้ทานของดี ๆ น่ะสิ” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มใจดี แม่เหลือบสายตาไปมองทางพ่อที่เอาแต่นั่งมองเมนูอาหารในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเช่นทุกที
“คุยกันอยู่นั่นแหละ ไม่รีบสั่งอาหารสักที สั่งต้มยำทะเลไม่เผ็ดมากให้ลูกด้วยนะ” พ่อหันมาพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงกึ่งดุเล็กน้อยแต่แม่ก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวอะไรนอกจากแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ดูสิ ยังสั่งของที่ลูกชอบเลย” ฉันมองดูสองสามีภรรยาหยอกเหย้ากันแล้วอมยิ้มเบา ๆ หลังจากที่เราสั่งอาหารเสร็จแล้ว พ่อก็ถามฉันเรื่องเรียนตามปกติ
“แล้วเรื่องเรียนเป็นไงบ้าง เรียนหนักไหมช่วงนี้”
“ก็ดีค่ะคุณพ่อ” ฉันตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ
“วันหยุดยาวนี้อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า หรือว่ามีงานต้องทำ”
“อืม” ฉันนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หนูยังไม่รู้เลยค่ะ”
“ทำไมไม่ชวนพวกเพื่อนลูกมาบ้านบ้างล่ะ คิดถึงหนูนิดากับหนูมนจะแย่” คุณแม่ว่าน้ำเสียงอ่อนโยน
“นั่นสิ พวกนั้นไม่ได้มาบ้านนานแล้วเนอะ”
“เดี๋ยวหนูลองถามเพื่อน ๆ ดูนะคะ” หลังจากนั้นอาหารก็มาเสิร์ฟก่อนที่เราจะเริ่มนั่งทานอาหารร่วมกัน ทั้งฉันและพ่อต่างนั่งทานอาหารเงียบ ๆ จึงมีแม่ที่คอยชวนคุยเสมอไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเหงาจนเกินไป
มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ฉันจำความได้
ฉันรู้ว่าพ่อรักฉันมาก แต่ก็เข้มงวดกับฉันมากเหมือนกัน มันเลยทำให้พวกเราไม่ได้คุยกันมากนักเท่าที่ควร
ฉันยังไม่เข้าใจเลย ว่าแม่อยู่กับพ่อได้ยังไง เวลาที่ฉันมองท่านทั้งสอง แม่เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ที่คอยส่องแสง ส่วนพ่อก็เหมือนดอกทานตะวันที่รอรับแสงจากแม่
“หนูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฉันกล่าวกับพ่อและแม่ก่อนจะลุกขึ้นยืนหวังจะเดินออกไป แต่พอเดินมาถึงหน้าร้านสายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงของคนที่คุ้นเคยอยู่ในชุดทำงานของพนักงานร้าน
“ดูสิเนี่ย พนักงานคุณเดินยังไงคะ ดูสิน้ำแกงเปื้อนรองเท้าฉันหมดแล้ว” หญิงสาวมาดคุณนายคนหนึ่งเอ่ยโวยวาย ฉันเหลือบมองน้ำแกงที่เปื้อนเพียงรองเท้าของนางแต่เมื่อเทียบกับคนที่กำลังโดนดุคือโดนลวกไปทั้งแขน
“ขอโทษแทนพนักงานของทางเราด้วยนะครับคุณผู้หญิง”
“รองเท้าฉันคู่ละเท่าไรรู้ไหม ทำเปื้อนแบบนี้ก็เสียของหมดน่ะสิ”
“เดี๋ยวผมเช็ดให้นะครับ” พี่ธีร์เอ่ย
“ไม่ต้องย่ะ ฉันรีบ” ป้าสูงวัยกอดอกตัวเองพลางเบะปาก “เอาเงินชดใช้มาเลย”
“เรื่องแค่นี้เองทำไมต้องเรียกค่าชดใช้ด้วยครับ อีกอย่างคุณป้าเป็นคนเดินมาชนผมเอง” ชายหนุ่มเอ่ยโต้เถียง
“ธีร์ อย่าไปขึ้นเสียงใส่ลูกค้า” ผู้จัดร้านร้านพูดเสียงดุยิ่งทำป้าคนนั้นได้ใจ ฉันแอบยืนมองดูอยู่ห่าง ๆ เพื่อดูสถานการณ์
“หักเงินเดือนพนักงานคนนี้มาชดใช้ให้รองเท้าฉันเลยนะคะ พนักงานแบบนี้มีไว้ในร้านก็มีแต่ล่มจม”
“แต่คุณป้าเดินเล่นโทรศัพท์มาชนผมเองนะครับ ไม่เชื่อก็ให้เปิดกล้องวงจรปิดได้เลย”
“ธีร์ ขอโทษคุณหญิงเขาเดี๋ยวนี้” ผู้จัดการร้านตะคอกใส่พี่ธีร์
“ผมไม่ผิด”
“เอ๊ะ นายคนนี้ ฉันไล่นายออก” ผู้จัดการร้านว่า “คุณหญิงครับเชิญทางนี้ครับเดี๋ยวผมจะชดใช้ให้”
“พี่ครับ”
“ไม่ต้องพูดเลยนะ ไปเก็บของเลยไป แล้วเงินรายวันวันนี้ไม่ต้องเอานะ” พี่ธีร์มีสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินไปที่หลังร้านด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก ฉันได้แต่มองตามแผ่นหลังของร่างสูงแล้วตัดสินใจเดินตามเข้าไป
“แม่งเอ๊ย” ชายหนุ่มค้ำตัวเองไว้กับซิงก์ล้างจาน
“พี่ธีร์” เจ้าของชื่อหันมามอง
“เธออีกแล้วเหรอ” พี่ธีร์ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองทางอื่น เขาเปิดก๊อกน้ำให้ไหลผ่านบาดแผลจากการถูกน้ำร้อนลวก
“พี่ควรใช้น้ำเย็นนะคะ”
“พี่เรียนหมอนะ ทำไมจะไม่รู้อะ” ชายหนุ่มตอบกลับมา ฉันเลยหยิบน้ำแข็งออกมาจากตู้แช่แล้วถือวิสาสะดึงแขนของอีกคนมา
“ต้องประคบน้ำแข็งด้วยสิคะ”
“เดี๋ยว” พี่ธีร์ยกมือห้าม “น้ำแข็งจากตู้แช่เนื้อเนี่ยนะ เธอหวังดีหรืออยากให้พี่ตายไวเนี่ย”
“อุ๊ย” ฉันรีบวางก้อนน้ำแข็งลงบนซิงก์ล้างจานทันที
“จับแล้วก็ล้างมือด้วย” ชายหนุ่มจับมือของฉันไปล้างกับน้ำเปล่า แล้วบีบเจลล้างมือใส่ในฝ่ามือของฉัน
“คะ?”
“ล้างให้สะอาดสิ” ฉันรีบพยักหน้าก่อนจะล้างมือตามที่พี่ธีร์บอก ถึงแม้จะยังงง ๆ อยู่ก็ตาม
มาช่วยเขา แต่ก็ให้เขาช่วยเหมือนเดิม
ฉันล้างมือจดสะอาดก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูมาซับมือจนแห้ง ฉันมองไปหาหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา
“ให้หนูช่วยนะคะ” ชายหนุ่มช้อนสายตามามองฉันด้วยความสงสัย
“ทำไมอยู่ ๆ ถึงจะมาช่วยพี่”
“พี่ช่วยหนูมาตั้งสอง ไม่สิ สามครั้งแล้วอะ ให้หนูช่วยพี่บ้างนะ” ฉันอมยิ้มเบา ๆ ก่อนจะเปิดกล่องปฐมพยาบาลออก
“รู้เหรอ ว่าแผลโดนน้ำร้อนลวกต้องใช้อะไร”
“พี่ก็บอกหนูสิคะ” พี่ธีร์แอบหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะชะเง้อมองของในกล่องปฐมพยาบาล
“เอาเจลว่านหางจระเข้มาทาบาดแผล” ฉันหยิบเจลว่านหางจระเข้ออกมาก่อนจะชโลมทาบนบาดแผลของคนพี่ที่ผิวเริ่มขึ้นสีแดงจากความร้อน คงจะแสบน่าดู
“แล้วไงต่อคะ”
“เอาผ้าสะอาดมาพันรอบบาดแผล” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะหยิบผ้าก๊อซออกมาพันรอบท่อนแขนแกร่งปกปิดบาดแผลจนมิดก่อนจะเผลอเป่าบาดแผลด้วยความเคยชิน “อันนี้ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนนะ”
“หนู... ชินอะ ขอโทษค่ะ” ฉันเก็บทุกอย่างใส่กล่องปฐมพยาบาลด้วยความร้อนลน พอเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนใกล้ ๆ หัวใจดวงน้อย ๆ มันก็เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วมาทำอะไรที่นี่ มาทานข้าวเหรอ”
“ค่ะ หนูมากับครอบครัว” พี่ธีร์พยักหน้ารับก่อนจะก้มลงมองดูบาดแผลของตัวเอง
“ทำแผลเก่งเหมือนกันนะเธอ ไม่คิดเลยว่าจะเรียนวิศวะฯ”
“ตอนแรกหนูก็อยากเรียนหมอแหละ แต่ว่าหนูไม่เก่งเคมีอะ” ฉันตอบกลับไปจามความจริง
“ก็เลยหนีไปเรียนวิศวะคอมฯ”
“ใช่ค่ะ ถึงมันจะมีเรียนอยู่นิดหนึ่งอยู่ดี” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ
“งั้นเหรอ ยังไงก็โชคดีนะ แล้วก็ขอบใจเรื่องทำแผลให้” พี่ธีร์ว่าก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา “วันนี้ว่างงาน ว่าจะกลับบ้านไปนอนก่อนจะหางานใหม่”
“เอ่อ พี่ธีร์คะ” ฉันรีบเรียกรั้งอีกคนที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องไว้
“ครับ?” ร่างสูงหันกลับมา
“พี่มาเป็นพี่ติวให้หนูหน่อยได้ไหมคะ”
“ว่าไงนะ”
“หนูอยากให้พี่มาเป็นพี่ติวให้หนูค่ะ” ฉันทวนคำอีกรอบยิ่งทำให้หนุ่มรุ่นพี่ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ไม่เอาอะ อย่างพี่เนี่ยนะจะไปสอนใครรู้เรื่อง เธอไปหาคนอื่นดีกว่า” พี่ธีร์กำลังจะหันกลับไป
“เป็นพี่ติวให้หนูดีนะคะ พี่จะได้ทวนหนังสือ แล้วก็ทำงานไปด้วย แบบนี้ไม่ดีเหรอคะ”
“นี่เธอ หางานให้พี่อยู่เหรอ” ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาหาฉันแถมสีหน้ายังเต็มไปด้วยความแปลกใจ “สงสารพี่อยู่เหรอ”
“เปล่านะคะ พี่ได้เงิน หนูได้เรียน มันก็ดีกับเราทั้งคู่ไม่ใช่เหรอคะ” ฉันเกร็งจนน้ำเสียงที่พูดออกไปตะกุกตะกักยามที่ถูกดวงตาคมคู่นั้นจับจ้องมาอย่างจับผิด
“เอาโทรศัพท์มา”
“คะ?” ฉันถึงกลับเผลอปล่อยหน้าเหวอ
“พี่จะเพิ่มไลน์ให้ เสนอราคา วิชา สถานที่มาเลย เดี๋ยวพี่ดูอีกที”
“ค่ะ ๆ” ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งต่อไปให้พี่เขาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน
พี่เขารับโทรศัพท์ของฉันไปกดเพิ่มเพื่อนทันทีก่อนจะส่งกลับมาให้ฉัน
“เรียบร้อยแล้ว” ฉันรับโทรศัพท์ของตัวเองกลับคืนก่อนจะอ่านชื่อไลน์ของพี่ธีร์อย่างแปลกใจ
“Theeradon Handsome and Cool พี่ธีร์เป็นแฟนคลับน้ำตากามเทพเหรอคะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมาถามชายหนุ่มที่รีบเสหน้าหันไปมองทางอื่น ฉันแอบเห็นว่าใบหูของหนุ่มรุ่นพี่แดงก่ำอย่างเขินอายก็อดจะอมยิ้มไม่ได้
“ปกติเพื่อนในไลน์พี่น้อยอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยเห็นเท่าไร”
“งั้นแปลว่าหนูก็เป็นส่วนน้อยที่ได้เห็นอีกมุมของพี่ใช่ไหมคะ” ฉันจ้องมองหนุ่มรุ่นพี่อย่างคาดหวัง
“อย่าลืมไลน์มาแล้วกัน พี่ไปก่อนนะ” มือหนายกขึ้นมาลูบท้ายทอยก่อนจะเดินออกไปราวกับทำตัวไม่ถูก
พี่เขาก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย
ตั้งแต่งานหมั้นฉันก็ผันตัวมาเป็นแม่บ้านแบบเต็มตัว จะเข้าบริษัทก็ต่อเมื่องานมีปัญหาแล้วทำงานอยู่ที่บ้านแทนเพราะจะได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ธีร์มากขึ้น ใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นเวลาเกือบจะเข้าปีที่สาม “กลับบ้านแล้วเหรอคะ” วันนี้พี่ธีร์เลิกเวรค่อนข้างดึก ฉันนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านของพี่ธีร์เพื่อรอให้แฟนหนุ่มกลับบ้าน พ่อให้พี่ธีร์มาประจำการที่คลินิกใหญ่ในกรุงเทพฯ พวกเราเลยได้ใช้เวลาร่วมกันบ้างเวลาที่พี่ธีร์เลิกงาน “อื้อ นั่งรอพี่เหรอ” “ค่ะ พี่ธีร์ทานอะไรมาหรือยังเดี๋ยวหนูอุ่นกับข้าวให้นะ” “ครับ แต่วิต้องทานเป็นเพื่อนพี่นะ” “อื้อ” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปอุ่นอาหารในห้องครับโดยมีพี่ธีร์เดินตามเข้ามาเพื่อช่วยก่อนที่พวกเราจะมานั่งทานอาหารที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาในห้องนั่งเล่นด้วยกัน “วันนี้ที่คลินิกเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันเอ่ยถามระหว่างที่เรานั่งทานอาหารด้วยกัน “วันนี้คนไข้เยอะเป็นพิเศษเลย เป็นช่วงวันหยุดด้วย ยิ่งเยอะไปใหญ่” พี่ธีร์ถอนหายใจเพื่อไล่ความเมื่อยล้าแล้วตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็
เวลาผ่านมาเนิ่นนานหลังจากที่เราทั้งสองตกลงคบกัน นี่ก็ปามาปีที่สี่ของการคบกัน ฉันเรียนจบก่อนพี่ธีร์จนออกมาทำงานในบริษัทในเครือของพ่อ ส่วนพี่ธีร์ที่เพิ่งจบออกมาได้หมาด ๆ ก็ต้องไปทำงานเพื่อใช้ทุนตามข้อตกลงที่ต้องไปประจำการที่โรงพยาบาลตามต่างจังหวัด เรามีโอกาสได้เจอกันน้อยลง ถึงแม้แต่จะติดต่อกันไม่ขาด แต่ยอมรับเลยว่าฉันคิดถึงพี่เขาเอามาก ๆจนในที่สุดเวลาเราก็ตรงกัน ไหน ๆ เราก็คิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้วฉันเลยคิดว่าถึงโอกาสแล้วที่พ่อกับแม่จะต้องได้เจอกับพี่ธีร์สักที แม้ที่ผ่านมาพวกท่านจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ธีร์แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกันอย่างจริงจังเสียที “พี่โอเคหรือยัง” พี่ธีร์เอ่ยถามฉันเป็นรอบที่สิบของวันนี้ ชายหนุ่มแสดงอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ฉันเอื้อมมือไปจัดผมของคนพี่ที่ยุ่งเหยิงเพราะหมวกกันน็อก “ดูดีแล้วค่ะ เข้าบ้านกัน” ฉันสิ่งยิ้มหวานให้อีกคนได้ผ่อนคลายก่อนจะจูงมือพี่ธีร์เดินเข้ามาในตัวบ้าน คุณแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมรอต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน แต่ก่อนแม่ก็ไม่โอเคนักที่ฉันไม่ได้ชอบพี่รันเวย์คนที่
เราทั้งสองนัวเนียกันอยู่ในเต็นท์ ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงบรรยากาศรอบข้างที่เป็นป่าตีนภูเขายิ่งทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ฉันกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน “พี่ธีร์คะตรงนี้จะดีจริง ๆ เหรอ หนูรู้สึกแปลก ๆ” ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมจนลามมาถึงใบหู ในใจสั่นระรัวราวกับว่าเลือดลมกำลังสูบฉีดเป็นอย่างดี “ตื่นเต้นดีใช่ไหมครับ” พี่ธีร์ไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองด้วยอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในฉันเองก็ทนไม่ไหวแล้วเลยถอดเสื้อผ้าของตัวเองจนหมดเกลี้ยง ความมืดในเต็นท์ไม่ได้เป็นอุปสรรคของพวกเราเลย แต่ความแคบเนี่ยสิที่เป็นอุปสรรค “ระวังเต็นท์สั่นนะคะ” ฉันแอบเห็นชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากก่อนจะเข้ามาคลอเคลียที่ลำคอขบเม้มเล็กน้อยแล้วไล่ลงมาจนถึงเนินอกขาวไร้อาภรณ์ปิดบัง จังหวะของหัวใจฉันเต้นถี่กระชั้นเสียจนเหมือนจะระเบิดออกมา ลมหายใจที่รินลดบนผิวหนังของฉันย้ำเตือนว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ยอดอกของฉันถูกครอบครองด้วยลิ้นอุ่นก่อนที่สติของฉันมันจะเริ่มขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรเลยน
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าเพราะแสงไฟที่ส่องสว่างจนแยงตา ดวงตาเคลื่อนไปมองบานหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้รับลมเพราเมื่อคืนไฟดับจนไม่มีพัดลมคอยเปิดเพื่อระบายความร้อน ฉันยันตัวเองขึ้นมานั่งพลางบิดขี้เกียจจากอาการเมื่อยล้า ความโล่งประหลาดทำเอาฉันต้องก้มหน้ามองเนื้อตัวที่เปลือยเปล่าของตัวเองแล้วหน้าแดงแจ่ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทีตอนทำไม่รู้จักอายยายวิเอ๊ย ฉันยกมือขึ้นมากุมขมับก่อนจะเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกาย พี่ธีร์นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่ขึ้นมาสวมใส่แล้วเดินตรงไปอาบน้ำ หลังจากที่ทำร่างกายให้สดชื่นแล้วฉันก็เดินลงบันไดมาที่ห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นออกดู ในตู้เย็นโล่งโจ้งมีเพียงแผงไข่ไก่ อยากซื้อของมาเติมจัง ไม่เป็นไรทำไปก่อนแล้วกัน ฉันหยิบแผงไข่ไก่ออกมาก่อนจะเริ่มทำอาหารเช้าทันที เห็นอย่างนี้ฉันก็ทำอาหารเป็นนะ สกิลเด็กหอไง ผ่านไปสักพักหนึ่งฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเก้าเหยียบลงมาจากบันไดก่อนที่พี่ธีร์จะเดินเข้ามาในห้องครัว “ทำไรกินเหรอ” พี่ธีร์เดินงัวเง
วันนี้เพื่อน ๆ ของฉันชวนมาเที่ยวส่งท้ายเทอมที่ผับของรุ่นพี่ในคณะที่จบไปแล้ว ซึ่งก็เป็นผับเดียวกันกับที่ที่พี่ธีร์ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ ฉันเลยถือโอกาสมาเช็กซะเลยว่าพี่ธีร์ของฉันจะฮอตสักแค่ไหน “รับอะไรดีครับคุณลูกค้า” พี่ธีร์ส่งยิ้มพราวเสน่ห์มาให้ฉันที่นั่งอยู่ตรงริมสุดของเคาน์เตอร์ แพรวพราวชะมัด “มาตินีหนึ่งแก้วค่ะ” ฉันยกยิ้มมุมปากก่อนที่พี่ธีร์จะหันไปจัดตามที่ฉันบอก ฉันทอดสายตามองชายหนุ่มด้วยความชื่นชม คนอะไรครบเครื่องชะมัด ฉันเดินมาตามทางเดินที่มีแสงไฟหลากสีสาดส่องไปมาเพื่อมุ่งตรงไปเข้าห้องน้ำ วันนี้ผู้คนไม่ค่อยหนาตาเท่าไรเลยไม่ค่อยมีคนเดินพลุกพล่านไปมาชวนปวดหัว แต่แล้วก็มีแรงกระชากที่ข้อมือก่อนจะดันให้ฉันติดกำแพง “พี่รันเวย์” ฉันเรียกชื่อของอีกคนเสียงตื่น แต่คนพี่ก็ยกนิ้วขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากของฉันไว้เพื่อบอกใหฉันเงียบลง “น้องวิ พี่วานอะไรหน่อยได้ไหม” พี่รันเวย์มองซ้ายมองขวาราวกับกำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่าง “ช่วยแกล้งเป็นแฟนพี่ทีได้ไหม” “พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย” ฉันรีบดันให้
“หงอยเลยอะดิ พี่ธีร์ไปค่ายแค่สามวัน นั่งหงอยเหมือนไม่เคยตัวห่างกันเลยเนอะ” นิดาเอ่นแซวเมื่อเห็นว่าฉันนั่งเขี่ยข้าวในจานด้วยความเบื่อหน่าย พี่ธีร์ไปค่ายอาสากับทางคณะตั้งสามวันแล้ว ขึ้นไปบนเขาไม่มีสัญญาณติดต่อกลับมาก็ไม่ได้ “แผลเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ฉันบ่นพึมพำกับสองเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง “สติค่ะสาวค่ายคณะแพทย์ฯ แปลว่าอะไรคะ แปลว่ามีหมอเต็มไปหมดค่ะ ยิ่งกว่าแขกวีไอพีอีกนะ หมอล้อมขนาดนั้นอะ” มนตอกย้ำสติหลุดลอยของฉันให้กลับคืนมา “จริงด้วย พี่ธีร์เรียนหมอนี่” “แกลืมไปแล้วเหรอว่าแฟนแกเป็นนักศึกษาแพทย์ แล้วแกลืมไปหรือเปล่าว่าแกเรียนวิศวะฯ ไม่ใช่พยาบาล เก่งจังนะดูแลผู้ชายเนี่ย” นิดาเข้ามาซ้ำเติมเพิ่มอีกคน “แล้วเวลาแฟนแกป่วยแกไม่อยากดูแลหรือไง ขนาดพี่คิณเมื่อยยังไปนวดให้เลย แกเป็นหมอนวดเหรอ” “เจ็บแสบมาก รู้เลยว่าได้ความปากแจ๋วมาจากใคร” นิดายกมือขึ้นทาบอกตัวเองก่อนจะแอบชำเรืองหางตามามองทางมนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กับเธอ “นี่ยายวิ พี่ธีร์เขากลับเย็นนี้ไม่ใช่เหรอ ยิ้มหน