“เลิกเรียนแล้ว ไปไหนกันต่อดีอะ” นิดาเดินออกมาจากห้องก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วกันมามองทางพวกเรา
“นั่นดิ ไปหาอะไรกินกันดีไหม ฉันอยากกินของหวานอะ”
“พวกแก เรามีนัดแล้วอะ” ทั้งมนและนิดาต่างหันมาจับจ้องฉันอย่างจับผิด
“นัดกับใครจ๊ะ” มนยกคิ้วสูงพลางเอ่ยถาม
“ก็นัดติวกับพี่ธีร์ไง” ฉันกระชับสายกระเป๋าของตัวเอง “เราไปก่อนนะ ป่านนี้พี่ธีร์น่าจะเลิกเรียนแล้วอะ”
“แหม เดี๋ยวนี้รู้ตารางเรียนพี่เขาแล้วเหรอ” นิดาเอ่ยแซวพร้อมด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม
“ก็พี่เขาให้เราเลือกวันเวลาติวอะ เราก็ต้องรู้ตารางเรียนของพี่เขาปะ” ฉันยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะโบกมือลาเพื่อน ๆ ทั้งสองที่มองมาทางฉันด้วยความหมั่นไส้
“เดี๋ยวนี้ลูกแกมันร้ายนะยายมน”
“ก็สมกับที่ฉันสอนมาเองกับมือ”
“พี่ธีร์คะ มารอนานหรือยัง” ฉันเดินเข้ามาในห้องสมุดของคณะแพทย์ฯ มีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่พวกเราสร้างความประหลาดใจให้ฉันจนแทบจะทำตัวไม่ถูก
“แฟนธีร์เหรอ ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“นั่นสิ ไม่ยักรู้ว่าธีร์มีแฟนแล้ว” สองสาวที่นั่งกลุ่มถัดไปซุบซิบแล้วเหลือบมามองทางฉันเป็นบางที
ไม่รู้ตัวเลยมั้ง
“เรามาเริ่มติวกันเลยดีกว่า” พี่ธีร์วางชีตไว้ตรงหน้าฉัน “นี่เป็นชีตสรุปของพี่ตอนสอบเข้าหมอ พี่อยากรู้ว่าพื้นฐานเธอเป็นยังไง” ฉันรับชีตนั้นมาเปิดออกดู ข้างในเต็มไปด้วยข้อมูลโยงกันเต็มไปหมดจนน่าปวดหัว
“นี่เป็นสรุปที่พี่ใช้ตอนสอบเข้าหมอเหรอคะ”
“อื้อ ทำไมเหรอ”
“เยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย” ฉันทำหน้าเหยเกก่อนจะปิดชีตสรุปเล่มนั้นแล้วค่อย ๆ เลื่อนออกไปให้ห่างจากตัว
“อยากเรียนจริงไหมเนี่ย”
“อยากค่ะอยาก” ฉันดึงชีตสรุปเล่มนั้นกลับมาวางไว้หน้าตัวเองตามเดิม
“พี่จะเริ่มแล้วนะ ตั้งสติให้ดีล่ะ”
“ได้ค่ะ พี่ธีร์” ฉันตอบรับอย่างหนักแน่น ก่อนพี่ธีร์จะเริ่มอธิบายขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ที่อยู่ในชีตสรุปมัธยมตอนปลาย น้ำเสียงนุ่มชวนให้ฉันเคลิบเคลิ้มจนดวงตาอยากจะปิดลงเข้าไปอยู่ในความฝัน เนื้อหาชวนน่าปวดหัวที่ลอยอยู่เต็มสมองยากที่จะปะติดปะต่อให้เข้าที่
ไม่รู้ว่านี่เวลาผ่านมาเท่าไรแล้ว ที่ฉันต้องต่อสู้กับสมองของตัวเองเพื่อไม่ให้ฟุบลงนอนต่อหน้าพี่ธีร์ สายตาชำเลืองมองนาฬิกาที่ข้อมือของคนพี่ ในใจแอบนับเวลาถอยหลังรอวันเลิกเรียน
“เข้าใจไหม วิ” ฉันพยักหน้ารับทั้ง ๆ ที่สมองโล่งไปหมด “เทวิกา”
“ค่ะ ๆ” ฉันรีบเด้งตัวนั่งหลังตรงเมื่อถูกคนพี่เรียกด้วยชื่อเต็ม
“แน่ใจนะว่าเข้าใจ”
“มันหนักไปนะคะพี่ธีร์ แต่ละเรื่องก็มีแต่เรื่องยาก ๆ”
“แล้วทำไมไม่บอกพี่ตั้งแต่แรกล่ะ” ฉันก้มหน้าลงมองโต๊ะเรียนด้วยความเหนื่อยล้า
“หนูไม่รู้จะขัดพี่ตอนไหน” ฉันทำปากมุ่ย ตอนนี้ร่างกายของฉันกำลังงอแงเพื่อรอรับการพักผ่อน
“งั้นเอางี้ ทีหลังพี่จะสอนทีละเรื่องโอเคไหม จะได้ไม่หนักไป”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าระรัวก่อนคนพี่จะเก็บอุปกรณ์การสอนทั้งหมดลงกระเป๋าเป้ของตัวเอง
“อย่าบอกนะ ว่าเธอดูสรุปพี่ไม่รู้เรื่อง”
“สรุปพี่ธีร์คงมีแต่อัจฉริยะเท่านั้นแหละค่ะที่เข้าใจ” พี่ธีร์หลุดหัวเราะออกมา “สมองฉันมันตื้อไปหมดแล้วเนี่ย”
“เธอคงไม่ถนัดวิชานี้จริง ๆ แหละ พี่เชื่อแล้ว ปกติก็เห็นเธอเป็นท็อปของสาขาตลอดเลยนี่”
“พี่รู้ได้ไงคะ” ฉันรีบโน้มใบหน้าเข้าไปหาคนพี่อย่างจับผิด
“ถึงพี่จะดูไม่มีเพื่อนคบแต่พี่ก็มีรุ่นน้องที่รู้จักเรียนอยู่สาขาเดียวกันกับเธอ” พี่ธีร์ใช้มือดันหน้าผากของฉันให้ออกห่างก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ใครคะ หนูรู้จักหรือเปล่า” ฉันรีบเก็บของก่อนจะเดินตามหลังร่างสูงออกมาจากห้องสมุดของคณะแพทย์ฯ ที่ดึกขนาดนี้แล้วก็ยังมีนักศึกษานั่งอ่านหนังสือกันอย่างขมักเขม้นอยู่เลย
“รุ่นน้องที่อยู่ในสังกัดเดียวกันตอนแข่งรถน่ะ เธอคงไม่รู้จักหรอกมั้ง”
“คนที่เรียนอยู่สาขาเดียวกันแล้วหนูรู้จัก นอกจากเพื่อนสนิทหนูกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้วก็มีแต่พี่รันเวย์นั่นแหละค่ะ” ฉันกำลังพูดต่อไปแต่ใบหน้าก็กระแทกเข้ากับแผ่นหลังของหนุ่มรุ่นพี่เข้าอย่างเต็มแรง “โอ๊ย หยุดละทำไมไม่บอกอะ”
“พี่จะกลับแล้ว เธอจะกลับยังไง”
“เดี๋ยวหนูเดินกลับหอในก็ได้ค่ะ” ฉันตอบกลับก่อนที่หมวกกันน็อกจะถูกวางไว้บนมือของฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ขึ้นมาสิเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“หอในอยู่แค่นี้เองนะคะ”
“จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่แล้ว จะเดินให้รถชนเหรอ”
“ค่ะพี่ธีร์” ฉันยกหมวดกันน็อกขึ้นมาสวมก่อนจะขึ้นไปนั่งซ้อนหลังของคนพี่แล้วเกาะบนไหล่ของพี่ธีร์อย่างที่เคยทำ
“รู้งานดีจังเลยนะเธอเนี่ย”
“หรือจะให้หนูกอดเอวล่ะคะ” พี่ธีร์หัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้าเบา ๆ แล้วขี่ออกไปจากลานจอดรถของคณะมุ่งหน้าสู่หอในที่ฉันอยู่
ไม่นานก็มาถึงหน้าหอฉัน ฉันลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล้วถอดหมวดกันน็อกคืนให้กับหนุ่มรุ่นพี่
“ขอบคุณนะคะ ที่มาส่ง”
“วันเสาร์อาทิตย์นี้ว่างหรือเปล่า” ฉันเอียงคอด้วยความสงสัย
“ทำไมเหรอคะ”
“เรื่องติวน่ะ พี่แค่อยากรู้ว่าเรียนแบบไหนที่เหมาะกับเธอ”
“โธ่ พี่ธีร์คะ วันหยุดก็อยากพักผ่อนบ้างนะคะ” ฉันร้องโอดครวญ
“ไม่ไปใช่ไหม อุตส่าห์ว่าจะพาไปเที่ยวเล่นคลายเครียดหลังเรียนจบด้วย”
“ไปค่ะ” ฉันรีบเปลี่ยนใจทันที โอกาสที่จะได้ไปเที่ยวกับพี่ธีร์เชียวนะ พี่เขาอุตส่าห์เสนอเองจะพลาดได้อย่างไรกัน
“เข้าหอก่อนที่เขาจะปิดไป”
“รับทราบค่ะ” ฉันยกมือข้างขวาขึ้นตะเบ๊ะแล้วฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเดินขึ้นตึกหอไป
ฉันแอบมองดูหนุ่มรุ่นพี่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปจากหอพัก แล้วยกมือขึ้นกุมตำแหน่งหัวใจของตัวเองที่เต้นตึกตักเสียงดัง
บ้าบอ ไปทำท่าอย่างนั้นต่อหน้าพี่เขาได้ยังไงเนี่ย
“อารมณ์ดีแปลก ๆ นะเนี่ย” มนเอ่ยแซวเมื่อเห็นว่าฉันกำลังจิ้มผลไม้เข้าปากแล้วเผลออมยิ้มออกมาอยู่คนเดียว
“วันนี้วันศุกร์แล้วก็ต้องอารมณ์ดีสิ อย่างน้อยก็ได้นอนตื่นสายสักสองวัน” นิดาว่าก่อนจะเท้าคางตัวเองกับโต๊ะหินอ่อน
“เสาร์อาทิตย์ไม่ไปเที่ยวกับพี่คิณเหรอ” ฉันเอ่ยถามเพื่อนเพียงคนเดียวของกลุ่มที่มีแฟนในขณะนี้
“พี่คิณเขาก็คงเหนื่อยอะ น่าจะแค่ไปทานข้าวด้วยกันเฉย ๆ”
“ไปทานแค่ข้าวจริงดิ” มนว่าพลางเขยิบไหล่มากระแทกเพื่อนสาวอยากหยอกเย้า
“แล้วแกอะวิ นัดกับพ่อแม่ไว้เหรอ”
“เรานัดกับพี่ธีร์”
“แค่ก ๆ” มนสำลักแตงโมที่กำลังเคี้ยวอยู่ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมามองฉันอย่างคาดคั้น “นัดอะไร ไปไหน ตอนไหน”
“ก็แค่นัดติว แกเป็นไรเนี่ย”
“แค่ติวแน่นะ”
“พี่เขาแค่บอกว่าจะพาเราไปเที่ยวนิดหน่อย ก็คงไม่ได้อะไรหรอกมั้ง” ฉันกล่าวกับเพื่อน ๆ
“พี่หมอเขาไว้ใจได้แค่ไหนวะ ฉันได้ข่าวมาว่าพวกหมอเซ็กซ์จัดนะ”
“ไปเอาข่าวมาจากไหนอีกเนี่ย” นิดาหรี่ตามองมนอย่างไม่อยากเชื่อ
“พี่ธีร์ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
นิดาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ฉันก่อนจะพูดเสียงกระซิบ “ของแบบนี้ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอก”
“แกเอาอะไรมากรอกหูลูกฉันยะ” มนดึงหูของนิดาให้กลับมานั่งที่เดิมจนนิดาต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ
“เจ็บนะ” นิดาลูบหูของตัวเอง “ฉันไปซื้อชานมไข่มุกดีกว่า มีใครเอาอะไรไหม”
“ฉันเอาแตงโมปั่น แล้วแกล่ะ”
“เราเอาน้ำส้มปั่น”
“รับทราบค่ะคุณนาย รับทราบค่ะคุณหนูเดี๋ยวบ่าวไปซื้อให้นะคะ” นิดาทำท่าตะเบ๊ะใส่ก่อนจะเดินออกไปทำเอาฉันนึกถึงภาพตัวเองเผลอทำท่านี้ใส่พี่ธีร์จนเขามีสีหน้าแปลกใจ
ฉันยกมือขึ้นทาบแก้มขาวที่ร้อนผ่าวของตัวเองพลางก้มหน้าลงมองโต๊ะหินอ่อนแล้วเผลออมยิ้มกับตัวเองเบา ๆ
“เป็นอะไรเนี่ย ไข้ขึ้นเหรอ”
“ไม่ใช่ แค่คิดอะไรนิดหน่อยอะ” ฉันบอกปัดก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดูข้อความที่เพิ่งส่งมา
[พรุ่งนี้ตอนสิบโมง พี่ไปรับหน้าหอนะครับ]
เป็นพี่ธีร์นี่เองที่ส่งข้อความมา ฉันเพียงส่งสติกเกอร์ตอบกลับไปแล้ววางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ
“ยิ้มคนเดียวบ่อย ๆ แบบนี้ หล่อนทำท่ามีพิรุธนะ”
“พิรุธอะไรเล่า” ฉันว่า “เออ มน พรุ่งนี้เราแต่งตัวยังไงดีอะ”
“ไหนบอกว่าแค่ไปติวไง”
“ก็มีเที่ยวต่อปะ”
“ยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน ฉันจะไปแต่งให้แกถูกได้ยังไงกันเล่า” มนว่าพลางทำสีหน้าครุ่นคิด “งั้นแกมานอนที่คอนโดฯ ฉันก่อนไหม”
“แต่พรุ่งนี้ตอนสิบโมงพี่ธีร์จะมารับเราที่หอ”
“พี่เขารู้ด้วยว่าแกอยู่หอใน” ฉันพยักหน้ารับ
“พี่ธีร์เคยไปส่งอะ”
“เอาว่ะ โคตรพ่อหนุ่มที่แสนดี” มนยกมือขึ้นลูบเรียวคางของเธอ “งั้นแต่งตัวแนวน่ารักไปเลย พวกชุดเอี๊ยมอะไรพวกนี้ แต่อย่าใส่กระโปรงนะเพราะแกต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์”
“ขอบใจแกมากนะ” ฉันส่งยิ้มให้เพื่อนสาว
“ส่วนเรื่องแต่งหน้าก็น่ารักใส ๆ ไปเลย พวกผู้ชายอบอุ่นแบบนี้น่าจะชอบแนวน่ารักใส ๆ นะ”
“นี่แกว่าพี่ธีร์เป็นผู้ชายอบอุ่นจริงเหรอ” ฉันมองใบหน้าของเพื่อนสนิท
“ดูจากที่เขาคอยปกป้องแก ก็เป็นสุภาพบุรุษพอควรเลยแหละ”
“แกว่าเขาจะทำแบบนี้กับคนอื่นไหมอะ”
“แกก็ทำให้เขามองแกแค่คนเดียวสิจ๊ะ สะกดสายตาผู้ชายอะหรือต้องให้เจ้สอน”
“ไม่อะ ถ้าแกทำได้แกคงไม่เจอแต่คนเจ้าชู้หรอก”
“อันนี้มันอยู่ที่ผู้ชายหน้างานด้วยนะจ๊ะ” มนว่าอย่างไม่สบอารมณ์พลางถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“งั้นขอถามคนมีประสบการณ์ที่เจอผู้ชายเจ้าชู้มานับครั้งไม่ถ้วน แกว่าพี่ธีร์เป็นคนเจ้าชู้ไหมอะ”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“เจ้าชู้อะเหรอ”
“ตายด้านไม่ก็ชอบผู้ชาย”
“เฮ้ยจริงดิ” ฉันร้องด้วยความแปลกใจ
“ล้อเล่น” มนหัวเราะออกมาอย่างขำขันเมื่อหลอกฉันได้สำเร็จ “พี่เขาแค่ดูไม่ค่อยสนใจคนอื่นเท่าไรอะ การที่แกตีตัวเองเข้าไปอยู่ในวงโคจรของเขาได้ก็แปลว่าพี่แกเปิดใจแล้ว ต้องใช้โอกาสนี้แหละ เข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาให้ได้”
“แกพูดจริงเหรอ”
“ฉันเคยโกหกแกด้วยเหรอ” มนเลิกคิ้วถามฉัน ฉันส่ายหน้าระรัว
ก็จริงอย่างที่มนว่านะ
ตั้งแต่งานหมั้นฉันก็ผันตัวมาเป็นแม่บ้านแบบเต็มตัว จะเข้าบริษัทก็ต่อเมื่องานมีปัญหาแล้วทำงานอยู่ที่บ้านแทนเพราะจะได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ธีร์มากขึ้น ใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นเวลาเกือบจะเข้าปีที่สาม “กลับบ้านแล้วเหรอคะ” วันนี้พี่ธีร์เลิกเวรค่อนข้างดึก ฉันนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านของพี่ธีร์เพื่อรอให้แฟนหนุ่มกลับบ้าน พ่อให้พี่ธีร์มาประจำการที่คลินิกใหญ่ในกรุงเทพฯ พวกเราเลยได้ใช้เวลาร่วมกันบ้างเวลาที่พี่ธีร์เลิกงาน “อื้อ นั่งรอพี่เหรอ” “ค่ะ พี่ธีร์ทานอะไรมาหรือยังเดี๋ยวหนูอุ่นกับข้าวให้นะ” “ครับ แต่วิต้องทานเป็นเพื่อนพี่นะ” “อื้อ” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปอุ่นอาหารในห้องครับโดยมีพี่ธีร์เดินตามเข้ามาเพื่อช่วยก่อนที่พวกเราจะมานั่งทานอาหารที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาในห้องนั่งเล่นด้วยกัน “วันนี้ที่คลินิกเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันเอ่ยถามระหว่างที่เรานั่งทานอาหารด้วยกัน “วันนี้คนไข้เยอะเป็นพิเศษเลย เป็นช่วงวันหยุดด้วย ยิ่งเยอะไปใหญ่” พี่ธีร์ถอนหายใจเพื่อไล่ความเมื่อยล้าแล้วตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็
เวลาผ่านมาเนิ่นนานหลังจากที่เราทั้งสองตกลงคบกัน นี่ก็ปามาปีที่สี่ของการคบกัน ฉันเรียนจบก่อนพี่ธีร์จนออกมาทำงานในบริษัทในเครือของพ่อ ส่วนพี่ธีร์ที่เพิ่งจบออกมาได้หมาด ๆ ก็ต้องไปทำงานเพื่อใช้ทุนตามข้อตกลงที่ต้องไปประจำการที่โรงพยาบาลตามต่างจังหวัด เรามีโอกาสได้เจอกันน้อยลง ถึงแม้แต่จะติดต่อกันไม่ขาด แต่ยอมรับเลยว่าฉันคิดถึงพี่เขาเอามาก ๆจนในที่สุดเวลาเราก็ตรงกัน ไหน ๆ เราก็คิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้วฉันเลยคิดว่าถึงโอกาสแล้วที่พ่อกับแม่จะต้องได้เจอกับพี่ธีร์สักที แม้ที่ผ่านมาพวกท่านจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ธีร์แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกันอย่างจริงจังเสียที “พี่โอเคหรือยัง” พี่ธีร์เอ่ยถามฉันเป็นรอบที่สิบของวันนี้ ชายหนุ่มแสดงอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ฉันเอื้อมมือไปจัดผมของคนพี่ที่ยุ่งเหยิงเพราะหมวกกันน็อก “ดูดีแล้วค่ะ เข้าบ้านกัน” ฉันสิ่งยิ้มหวานให้อีกคนได้ผ่อนคลายก่อนจะจูงมือพี่ธีร์เดินเข้ามาในตัวบ้าน คุณแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมรอต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน แต่ก่อนแม่ก็ไม่โอเคนักที่ฉันไม่ได้ชอบพี่รันเวย์คนที่
เราทั้งสองนัวเนียกันอยู่ในเต็นท์ ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงบรรยากาศรอบข้างที่เป็นป่าตีนภูเขายิ่งทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ฉันกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน “พี่ธีร์คะตรงนี้จะดีจริง ๆ เหรอ หนูรู้สึกแปลก ๆ” ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมจนลามมาถึงใบหู ในใจสั่นระรัวราวกับว่าเลือดลมกำลังสูบฉีดเป็นอย่างดี “ตื่นเต้นดีใช่ไหมครับ” พี่ธีร์ไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองด้วยอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในฉันเองก็ทนไม่ไหวแล้วเลยถอดเสื้อผ้าของตัวเองจนหมดเกลี้ยง ความมืดในเต็นท์ไม่ได้เป็นอุปสรรคของพวกเราเลย แต่ความแคบเนี่ยสิที่เป็นอุปสรรค “ระวังเต็นท์สั่นนะคะ” ฉันแอบเห็นชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากก่อนจะเข้ามาคลอเคลียที่ลำคอขบเม้มเล็กน้อยแล้วไล่ลงมาจนถึงเนินอกขาวไร้อาภรณ์ปิดบัง จังหวะของหัวใจฉันเต้นถี่กระชั้นเสียจนเหมือนจะระเบิดออกมา ลมหายใจที่รินลดบนผิวหนังของฉันย้ำเตือนว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ยอดอกของฉันถูกครอบครองด้วยลิ้นอุ่นก่อนที่สติของฉันมันจะเริ่มขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรเลยน
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าเพราะแสงไฟที่ส่องสว่างจนแยงตา ดวงตาเคลื่อนไปมองบานหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้รับลมเพราเมื่อคืนไฟดับจนไม่มีพัดลมคอยเปิดเพื่อระบายความร้อน ฉันยันตัวเองขึ้นมานั่งพลางบิดขี้เกียจจากอาการเมื่อยล้า ความโล่งประหลาดทำเอาฉันต้องก้มหน้ามองเนื้อตัวที่เปลือยเปล่าของตัวเองแล้วหน้าแดงแจ่ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทีตอนทำไม่รู้จักอายยายวิเอ๊ย ฉันยกมือขึ้นมากุมขมับก่อนจะเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกาย พี่ธีร์นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่ขึ้นมาสวมใส่แล้วเดินตรงไปอาบน้ำ หลังจากที่ทำร่างกายให้สดชื่นแล้วฉันก็เดินลงบันไดมาที่ห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นออกดู ในตู้เย็นโล่งโจ้งมีเพียงแผงไข่ไก่ อยากซื้อของมาเติมจัง ไม่เป็นไรทำไปก่อนแล้วกัน ฉันหยิบแผงไข่ไก่ออกมาก่อนจะเริ่มทำอาหารเช้าทันที เห็นอย่างนี้ฉันก็ทำอาหารเป็นนะ สกิลเด็กหอไง ผ่านไปสักพักหนึ่งฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเก้าเหยียบลงมาจากบันไดก่อนที่พี่ธีร์จะเดินเข้ามาในห้องครัว “ทำไรกินเหรอ” พี่ธีร์เดินงัวเง
วันนี้เพื่อน ๆ ของฉันชวนมาเที่ยวส่งท้ายเทอมที่ผับของรุ่นพี่ในคณะที่จบไปแล้ว ซึ่งก็เป็นผับเดียวกันกับที่ที่พี่ธีร์ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ ฉันเลยถือโอกาสมาเช็กซะเลยว่าพี่ธีร์ของฉันจะฮอตสักแค่ไหน “รับอะไรดีครับคุณลูกค้า” พี่ธีร์ส่งยิ้มพราวเสน่ห์มาให้ฉันที่นั่งอยู่ตรงริมสุดของเคาน์เตอร์ แพรวพราวชะมัด “มาตินีหนึ่งแก้วค่ะ” ฉันยกยิ้มมุมปากก่อนที่พี่ธีร์จะหันไปจัดตามที่ฉันบอก ฉันทอดสายตามองชายหนุ่มด้วยความชื่นชม คนอะไรครบเครื่องชะมัด ฉันเดินมาตามทางเดินที่มีแสงไฟหลากสีสาดส่องไปมาเพื่อมุ่งตรงไปเข้าห้องน้ำ วันนี้ผู้คนไม่ค่อยหนาตาเท่าไรเลยไม่ค่อยมีคนเดินพลุกพล่านไปมาชวนปวดหัว แต่แล้วก็มีแรงกระชากที่ข้อมือก่อนจะดันให้ฉันติดกำแพง “พี่รันเวย์” ฉันเรียกชื่อของอีกคนเสียงตื่น แต่คนพี่ก็ยกนิ้วขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากของฉันไว้เพื่อบอกใหฉันเงียบลง “น้องวิ พี่วานอะไรหน่อยได้ไหม” พี่รันเวย์มองซ้ายมองขวาราวกับกำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่าง “ช่วยแกล้งเป็นแฟนพี่ทีได้ไหม” “พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย” ฉันรีบดันให้
“หงอยเลยอะดิ พี่ธีร์ไปค่ายแค่สามวัน นั่งหงอยเหมือนไม่เคยตัวห่างกันเลยเนอะ” นิดาเอ่นแซวเมื่อเห็นว่าฉันนั่งเขี่ยข้าวในจานด้วยความเบื่อหน่าย พี่ธีร์ไปค่ายอาสากับทางคณะตั้งสามวันแล้ว ขึ้นไปบนเขาไม่มีสัญญาณติดต่อกลับมาก็ไม่ได้ “แผลเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ฉันบ่นพึมพำกับสองเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่ง “สติค่ะสาวค่ายคณะแพทย์ฯ แปลว่าอะไรคะ แปลว่ามีหมอเต็มไปหมดค่ะ ยิ่งกว่าแขกวีไอพีอีกนะ หมอล้อมขนาดนั้นอะ” มนตอกย้ำสติหลุดลอยของฉันให้กลับคืนมา “จริงด้วย พี่ธีร์เรียนหมอนี่” “แกลืมไปแล้วเหรอว่าแฟนแกเป็นนักศึกษาแพทย์ แล้วแกลืมไปหรือเปล่าว่าแกเรียนวิศวะฯ ไม่ใช่พยาบาล เก่งจังนะดูแลผู้ชายเนี่ย” นิดาเข้ามาซ้ำเติมเพิ่มอีกคน “แล้วเวลาแฟนแกป่วยแกไม่อยากดูแลหรือไง ขนาดพี่คิณเมื่อยยังไปนวดให้เลย แกเป็นหมอนวดเหรอ” “เจ็บแสบมาก รู้เลยว่าได้ความปากแจ๋วมาจากใคร” นิดายกมือขึ้นทาบอกตัวเองก่อนจะแอบชำเรืองหางตามามองทางมนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กับเธอ “นี่ยายวิ พี่ธีร์เขากลับเย็นนี้ไม่ใช่เหรอ ยิ้มหน