มินตราทานอาหารกลางวันคนเดียวเงียบๆ ก่อนจะขึ้นไปแต่งตัวรอให้กวินภพมารับ วันนี้เธอแต่งหน้าอ่อนกว่าทุกครั้งเพราะคิดว่าการไปทานอาหารกับครอบครัวของสามีควรแต่งตัวให้ดูสุภาพและเรียบร้อยกว่าการออกไปข้างนอกกับกวินภพ ผมที่มักจะมัดรวบก็ปล่อยยาวและคาดทับด้วยที่คาดผมแบรนด์หรูที่กวินภพเตรียมไว้ในตู้
เสียงรถแล่นเข้ามาจอหน้าบ้านเวลาบ่ายแก่ๆ กวินภพเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนเพราะอีกนับชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดใกล้เวลาที่นัดกับมารดาไว้แล้ว
“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ คุณภพจะอาบน้ำก่อนไปไหมคะ มิ้นต์จะไปเตรียมชุดให้”
“ไม่เป็นไรผมจัดการเองได้ คุณรอผมสักยี่สิบนาทีนะ” เขาเหลือบมองการแต่งตัวของเธอแล้วยิ้มก่อนอย่างพอใจก่อนจะเดินขึ้นไปอาบน้ำ
ชายหนุ่มกลับลงมาอีกครั้งด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดโปโลสีน้ำเงินกับกางเกงยีนสีเข้มดูแปลกตาไปจากวันปกติแต่มินตรากลับมองว่าเขาแต่งตัวแบบนี้ดูมีเสน่ห์และอบอุ่นกว่าการใส่สูทผูกไทเวลาไปทำงาน
“ไปกันเถอะ”
หญิงสาวเดินตามเขามาที่รถอย่างไม่คิดอะไรมากเพราะลุงสันติบอกแล้วว่ามันตราไม่สนิทกับทางบ้านของกวินภพเท่าไหร่ หญิงสาวคิดว่าเธอคงไม่ต้องแสดงอะไรมากนัก
“ทำไมเงียบไปล่ะมิ้นต์ คิดอะไรอยู่” กวินภพชวนเธอคุย ปกติเป็นคนคุยไม่เก่งแต่คิดว่าถ้าชวนเธอคุยแล้วเธอจะพลาดหลุดอะไรออกมาสักอย่าง
“มิ้นต์คิวว่าเราควรจะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปไหม เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มิ้นต์ไปบ้านคุณภพ”
“ครั้งแรกที่ไหน คุณเคยไปมาแล้ว” เขาหันมองและเห้นว่าตอนนี้ภรรยาของเขาหน้าถอดสีเล็กน้อย
“คือมิ้นต์หมายถึงครั้งแรกที่มิ้นต์ไปบ้านคุณภพในฐานะลูกสะใภ้ค่ะ” มินตรารีบแก้ตัวและคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่เขาจะเชื่อ
“นั่นสินะ ครั้งแรกจริงๆ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ บ้านผมอยู่กันแบบสบายๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรอยู่แล้ว ปกติผมก็ไปทานข้าวที่บ้านทุกอาทิตย์อยู่แล้วล่ะครับ ต่อไปมิ้นต์ก็ต้องมากับผมทุกครั้งนะ คุณจะสะดวกไหม”
“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”
เมื่อมาถึงบ้านบิดามารดาของกวินภพชายหนุ่มก็เดินจูงมือมินตราเข้าไปในบ้าน ซึ่งตอนนี้บิดามารดาของเขากำลังนั่งจิบชากลางห้องรักแขก
“แม่ครับ พ่อครับ” กวินภพเอ่ยทักทาย
“มาแล้วเหรอลูก” คุณรัตนาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่” มินตรายกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม
คุณหญิงรัตนา มารดาของกวินภพ มองมินตราด้วยความสงสัยเล็กน้อย เธอเคยเจอมันตรามาแล้วแต่ที่ผ่านมามันตรามาไม่ใช่คนที่จะพูดจาอ่อนหวานและนอบน้อมแบบนี้
“สวัสดีจ้ะ หนูมิ้นต์” คุณหญิงรัตนากล่าวตอบด้วยรอยยิ้มที่ยังคงมีความเคลือบแคลงใจ
คุณธีระบิดาของกวินภพ พยักหน้ารับและมองมาที่มินตราอย่างพิจารณา
“หนูมิ้นต์หิวหรือยังล่ะลูก” คุณรัตนาชวนคุย
“ไม่เท่าไหร่ค่ะคุณแม่ แล้วคุณภพล่ะคะ” มินตราตอบพร้อมกับหันมาถามสามีแสดงถึงความห่วงใยที่มีให้เพราะเธอไม่รู้ว่าออกไปข้างนอกจะได้ทานอาหารกลางวันมาหรือเปล่า
“หิวแล้วครับแม่ วันนี้ไปตีกอล์ฟกับลูกค้าเลยใช้พลังงานไปเยอะหน่อย”
“พ่อว่าไปทานข้าวกันก่อนก็ได้เดี๋ยวทานเสร็จค่อยมานั่งคุยกันนะ”
อาหารเย็นก็ถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ มินตราสังเกตเห็นว่าอาหารทุกจานล้วนเป็นอาหารไทยที่เธอคุ้นเคยและชอบทาน ต่างจากอาหารฝรั่งเศสที่กวินภพพาเธอไปทานเมื่อวาน
เมื่อแม่บ้านวางอาหารลงบนโต๊ะ มินตรายิ้มและกล่าวขอบคุณแม่บ้านอย่างสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ”
คุณหญิงรัตนามองมินตราด้วยความแปลกใจอีกครั้ง มันตราตัวจริงไม่เคยกล่าวขอบคุณแม่บ้านเลย เธอจะวางตัวเป็นคุณนายที่สูงส่งและไม่สนใจคนรับใช้ในบ้าน
“อาหารน่าทานจังเลยค่ะคุณแม่” มินตราเอ่ยชมอาหาร
“ทานเยอะๆ นะลูก” แม้จะคำถามมากมายแต่คุณรัตนาก็ชอบที่เห็นลูกสะใภ้เป็นแบบนี้
มินตราทานอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งทำให้คุณรัตนากับคุณธีระมองหน้ากันอย่างเงียบๆ เพราะแต่ก่อนมันตราไม่ชอบอาหารไทยและมักจะทานน้อยมาก
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มินตราพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด เธอพูดคุยตอบคำถามของคุณหญิงรัตนาและคุณธีระด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนน้อม ทำให้ทั้งสองท่านรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน แต่มินตราก็ยังคงระมัดระวังคำพูดของตัวเองไม่ให้หลุดสิ่งที่เกี่ยวกับตัวตนของเธอออกมา
“หนูม้านต์ดูเปลี่ยนไปมากเลยนะจ๊ะ ดูเรียบร้อยขึ้นเยอะเลย” คุณรัตนากล่าวขึ้นหลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว
“ค่ะคุณแม่ มิ้นต์คิดว่าพอแต่งงานแล้วก็ควรจะปรับตัวให้เป็นแม่บ้านที่ดีน่ะค่ะ” เธอตอบด้วยเหตุผลเดียวกับที่เคยบอกกวินภพ
“เป็นเรื่องที่ดีนะที่คิดจะปรับปรุงตัวเอง” คุณธีระที่นั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นบ้าง
กวินภพที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ มาตลอด ก็ได้แต่สังเกตการณ์ มันตราในวันนี้แตกต่างจากมันตราที่เขารู้จัก วันนี้หญิงสาวพูดจาไพเราะ อ่อนน้อมถ่อมตนและคุยกับบิดามารดาของเขาได้นานกว่าทุกครั้งมันทำให้เขาเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ภรรยาตัวจริงของเขา
“แล้วภพพาหนูมิ้นต์ไปจดทะเบียนสมรสหรือยังล่ะ วันนี้พ่อเจอคุณสันติท่านก็ถามอยู่”
“ผมยังไม่มีเวลาว่างเลยครับพ่อ”
“ว่างไม่ว่างยังไงก็ต้องหาเวลาไปทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องนะ หนูมิ้นต์กับคุณสันติจะได้สบายใจ” คุณธีระบอกกับลูกชายและยิ้มให้กับลูกสะใภ้
“ครับพ่อ” กวินภพรับคำแต่เขาจะยังไม่พามันตราไปจดทะเบียนสมรสจนกว่าจะหาคำตอบเรื่องที่เธอไม่เหมือนเดิมได้
ชายหนุ่มไม่เชื่อคำพูดของเธอที่ว่าเปลี่ยนตัวเองเพราะแต่งงานแล้วเพราะมันฟังดูไม่ขึ้นเลยสำหรับผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและถูกเลี้ยงอย่างตามใจอย่างมันตรา
“แล้วเรื่องฮันนีมูนล่ะ” คุณรัตนาหันมาถามลูกชายบ้าง
“เรายังไม่ได้คุยกันเลยครับ”
“ได้ยังไงแต่งงานแล้วก็ต้องพากันไปฮันนีมูนนะ หนูมิ้นต์ละลูกอยากไปเที่ยวที่ไหนบอกภพเขาได้เลย”
“มิ้นต์ตามใจคุณค่ะ อันที่จริงมิ้นต์ว่าเราไม่ต้องไปก็ได้ค่ะมิ้นต์รู้ว่าคุณภพงานยุ่งมากๆ”
“เอาอย่างนี้สิเดือนหน้าภพต้องไปคุยงานที่ยุโรปไม่ใช่เหรอ ถือโอกาสนั้นพาหนูมิ้นต์ไปเที่ยวแล้วก็ไปเรียนรู้งานด้วยเลยดีไหม” มารดาของกวินภพเสนอ
“ก็ดีนะครับแม่ ไปฮันนีมูนแล้วไปเที่ยวด้วยจะได้ไม่เสียงานพอกลับมาจากฮันนีมูนมิ้นต์ก็คงพร้อมที่จะเริ่มไปทำงานกับผมที่บริษัทใช่ไหม”
“ค่ะ” มินตรารับคำแล้วยิ้มเธอไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องเข้าไปช่วยงานกวินภพที่บริษัทด้วย
หญิงสาวไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันตราคุยอะไรกับกวินภพไว้บ้างแต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเธอคงต้องไปหาคุณสันติที่บ้านแล้วศึกษางานสักหน่อยเผื่อเวลาไปช่วยงานกวินภพจะได้ไม่ถูกเขาจับได้
ทั้งสี่คนนั่งคุยกันในห้องรับแขกอยู่อีกราวครึ่งชั่วโมงกวินภพก็ขอตัวกลับ
“ขอบคุณสำหรับอาหารเย็นนะคะคุณพ่อคุณแม่ อร่อยมากเลยค่ะ”
“ยินดีจ้ะลูก ว่างๆ ก็มาอีกนะ” คุณรัตนายิ้มให้มินตราอย่างอ่อนโยน
“ค่ะคุณแม่” มินตราตอบรับ
ตลอดทางกลับบ้านบรรยากาศในรถเงียบสงบ กวินภพไม่ได้พูดอะไร มินตราก็ไม่กล้าชวนคุย
เธอได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอรู้สึกว่าเธอทำได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่รู้ว่ากวินภพและบิดามารดาของเขาจะคิดอย่างไรกับเธอ
เมื่อถึงบ้านมินตราก็เดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำ เมื่อออกมาจากห้องน้ำ กวินภพก็เดินเข้ามาในห้อง เขาเดินไปนั่งที่โซฟาและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคน
“ยงยุทธ มีอะไรคืบหน้าไหม”
“ได้ข้อมูลมาแล้วภพ แต่ต้องคุยรายละเอียดกันหน่อย”
“พรุ่งนี้ฉันไปเจอนายที่สำนักงานนะเปิดไหม” กวินภพถาม
“ไม่หรอกแต่นายมาเจอฉันที่สำนักงานก็ได้ ไม่มีคนอื่นอยู่เราจะได้คุยกันสะดวก พรุ่งนี้เจอกันนะ”
หญิงสาวไม่รู้ว่ากวินภพคุยเรื่องอะไรกับคนที่ชื่อยงยุทธรู้แต่มันต้องเกี่ยวกับตัวเธอแน่ๆ เพราะเขาเหลือบมามองเธออยู่ตลอด มินตราแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือแต่ในใจเต็มไปด้วยความกังวล
มินตราไม่รู้ว่าเวลาของเธอกำลังจะหมดลงแล้วและเธอไม่รู้ว่าเมื่อความจริงถูกเปิดเผย ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป หญิงสาวเธอเหลือบมองกวินภพที่นั่งอยู่บนโซฟา เขามองมาที่เธอเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและจริงจัง ทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่หน้าที่ก็ต้องมาก่อน เช้านี้มินตราก็ตื่นนอนแต่เช้ามาช่วยป้ากัลยาทำอาหารระหว่างที่กวินภพวิ่งออกกำลังกายรอบๆ บ้านเมื่อเตรียมอาหารเสร็จเธอก็ขึ้นไปอาบน้ำ ขณะนั่งแต่งหน้ากวินภพก็อาบน้ำแต่วตัวเสร็จพอดี เขาเดินถือเนกไทมาให้มินตราผูกเหมือนกับทุกวัน มินตราชอบหน้าที่นี่มากเพราะหญิงสาวเคยดูละครตอนตัวเองยังเป็นเด็กแล้วเห็นฉากที่นางเอกผูกเนกไทให้พระเอกก่อนไปทำงาน พอเข้ามหาวิทยาลัยเธอเลยให้เพื่อนผู้ชายช่วยสอนและจำวิธีผูกมาจนถึงทุกวันนี้“เป็นอะไรหรือเปล่าครับมิน” กวินภพถามเมื่อเห็นว่าจู่ๆ ภรรยาก็นิ่งไปขณะกำลังผูกเนกไทให้“มินกำลังนึกถึงตัวเองตอนเด็กค่ะ”“มีอะไรเหรอครับ”“ก็มินเคยดูละครแล้วเห็นนางเอกในละครผูกเนกไทให้พระเอกก่อนที่พระเอกจะไปทำงาน มินก็เลยฝันว่าโตขึ้นมินอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง”“ตอนนี้มินก็เป็นแบบนั้นแล้วนะ หน้าที่ผูกเทกไทที่พี่ยกให้มินทำให้คนเดียวเลยนะครับ แล้วมินไปฝึกทำมาจากไหน”“มินให้เพื่อนผู้ชายที่มหาวิทยาลัยสอนจากนั้นก็จำวิธีการผูกมาเรื่อยๆ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ทำเหมือนในละครจริงๆ เหมือนเป็นการเติมเต็มความฝันค่ะ ถึงจะเป็นความฝันเล็กๆ แต่มันก็ทำให้มินมีความส
มินตรากรีดเสียงร้องลั่นห้องร่างกายหญิงสาวสั่นสะท้าน เมื่อกวินภพส่งเธอแตะขอบสวรรค์ น้ำหวานจากกุหลาบดอกสวนล้นทะลักจนชุ่มไปทั่วปลายลิ้น ชายหนุ่มกวินภพไม่พลาดที่จะดูดกิน รสชาติหอมหวานจากภรรยาสาว มันทำให้เขาหลงใหลเธอมากขึ้น กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ กินแล้วก็อยากจะกินอยู่แบบนั้นเมื่อส่งคนรักไปพบกับความสุขแล้ว เขาก็ดึงให้เธอมาอยู่ริมขอบโต๊ะ กดจูบลงไปอย่างเร่าร้อนเติมเชื้อไฟให้โหมกระหน่ำ ริมฝีปากลากมายังอกอิ่มดูดกินเม็ดเชอร์รี่เข้าปากร้อน มือใหญ่ท่อนเอ็นกดนวดบนเกสรสวาทเป็นจังหวะเบาๆ“อื้อ...พี่ภพขา รักมินนะคะ อย่าทรมานกันเลยนะคะ”หญิงสาวเสียวซ่านและต้องการแท่งร้อนของเขาเข้ามาเติมเต็มจนต้องร้องขออย่างน่าอาย“ใจเย็นนะเมียจ๋า”กวินภพลากไล้ปลายแท่งร้อนขึ้นลงกลางกลีบกุหลาบจนมันชุ่มไปด้วยน้ำหวานที่เธอยังคงผลิตออกมาอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะสอดท่อนเอ็นร้อนเข้าไปในช่องทางรักที่คับแน่นทีละนิดเข้าไปเพียงนิดร่องสวาทก็ตอดรัดแรงกวินภพไม่อาจจะรอช้าได้เขาดันแท่งร้อนเข้าไปทีเดียวจนลึกสุด มินตราสะดุ้งสุดตัว“อ๊ะ!.....”สองมือจิกบนท่อนแขนของสามีไว้แน่น ชายหนุ่มนิ่งค้างเพราะอยากเธอได้ผ่อนคลาย แต่ดูเหมือนเขาจะคิด
“ทนอะไรคะ” มินตราถามสามีแต่แล้วใบหน้าเธอก็แดงซ่านขึ้นมาทันทีเมื่อรู้สึกถึงความแข็งร้อนที่บดเบียดอยู่บริเวณท้องน้อย“คืนนี้พี่อยากเปลี่ยนบรรยากาศได้ไหมที่รัก” เขากระซิบข้างหูด้วยเสียงแหบพร่า เธอรู้ว่าเวลานี้กวินภพอยู่ในอารมณ์ไหน เสียงแบบนี้ลมหายใจไม่สม่ำเสมอกันแบบนี้หญิงสาวนึกออกเพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่เขาต้องการมันคืออะไร“แต่นี่ห้องทำงาน คงไม่เหมาะนะคะถ้าใครรู้พี่ภพจะเสียชื่อเสียงเอานะคะ” มินตรารีบห้ามเมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ของกวินภพน่าจะห้ามได้ยาก แต่เธอก็ต้องเตือนสติ“ถ้ากลับตอนนี้พี่อาจจะทนไม่ไหวแล้วมีอะไรกับมินในรถและตรงที่รถของเราจอดอยู่มีกล้องด้วยนะ พี่ให้มินเลือกว่าเราจะมีความสุขกันตรงนี้หรือที่รถดีล่ะ” กวินภพทั้งอ้อนทั้งขู่ด้วยเสียงแหบพร่าความต้องการมันทำให้เขาไม่สนใจว่าตอนนี้จะอยู่ที่ไหน“อย่าใจร้อนสิคะพี่ภพ”“ทำไมล่ะครับ หรือมินไม่ต้องการพี่” กวินภพพูดออกไปแบบนั้นและก็หวังว่าเธอจะไม่ปฏิเสธ“มินกลัวคนอื่นมาเจอ”“จะมีใครกันล่ะครับที่รัก นะมินนะ”“พี่ภพล็อกประตูแล้วใช่ไหมคะ” มินตราเสียงถามเบาหวิวเพราะความเขินอาย“ล็อกแล้วครับมิน ให้พี่นะครับ”เขากระซิบแหบพร่าที่ใบห
หลังจากที่การเซ็นสัญญาร่วมทุนโครงการโรงแรมฉบับใหม่เสร็จสิ้นลงด้วยดีและปัญหาเรื่องคุณสันติกับมันตราคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น กวินภพก็รู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับมินตราจะต้องบอกกับผู้ใหญ่ของเธอให้รับรู้“มินครับ” กวินภพเรียกมินตราที่กำลังอ่านทำอาหารเย็นอยู่ในครัวเพราะป้ากัลยาไม่สบายและไปนอนโรงพยาบาลโดยมีเหมียวเด็กรับใช้ไปเฝ้า“กลับมาแล้วเหรอคะพี่ภพ” เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยน“พี่มีเรื่องดีๆ จะบอกมินด้วยนะ” กวินภพเดินเข้าไปหาเธอ โอบกอดเอวบางไว้จากด้านหลัง“เรื่องอะไรคะ” มินตราหันมาถามพร้อมกับยิ้มหวาน“พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะไปขอมินกับป้าจันทร์และลุงชิด”“จริงเหรอคะ” มินตราทั้งตกใจและดีใจเพราะคิดว่ากวินภพลืมเรื่องนี้ไปแล้วเพราะช่วงนี้ชายหนุ่มยุ่งกับงานมากๆ“แล้วพี่ภพจะอธิบายกับป้ากับลุงยังไงคะ” มินตราถามด้วยความกังวลเธอไม่อยากให้ญาติผู้ใหญ่ต้องเป็นห่วงหรือคิดมาก“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น พี่เตรียมคำพูดไว้แล้ว เราจะบอกว่ามินมาทำงานแทนมันตราและได้เจอกับพี่จากนั้นเราก็ได้ทำความรู้จักและรักกันในที่สุด”มินตราพยักหน้า เธอรู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้ป้ากับลุงต้องกังวลใจ
หลังจากจัดการเรื่องการซื้อที่ดินจากคุณสันติได้สำเร็จ กวินภพก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เขาต้องจัดการนั่นคือการเผชิญหน้าระหว่างมินตราและมันตราสองพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากกันไปนานแสนนานที่ชายหนุ่มต้องนัดให้สองพี่น้องมาเจอกันเพราะอยากให้มินตราอยู่ด้วยความสบายใจว่าจากนี้ชีวิตที่สวมรอยเป็นมันตราของเธอนั้นได้จบลงแล้วจริงๆวันนี้กวินภพนัดหมายให้มันตรามาพบที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่มีบรรยากาศอบอุ่นและเงียบสงบ เหมาะสำหรับการพูดคุยเรื่องสำคัญ เขาโทรศัพท์ไปบอกมินตราให้เตรียมตัวมาด้วย โดยไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากนัก เพียงแค่บอกว่าอยากให้เธอมาเจอใครบางคนเมื่อถึงเวลากวินภพกับมินตราก็เดินทางมาถึงคาเฟ่ มินตราสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง หันหลังให้พวกเขา รูปร่างคล้ายกับเธอจนน่าตกใจ หญิงสาวพอจะรู้แล้วว่าคนที่กวินภพพาเธอออกมาเจอคือใครกวินภพเดินนำเข้าไปและเมื่อผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามา มินตราก็ถึงกับยืนนิ่งราวกับถูกสาป ภาพตรงหน้าคือผู้หญิงที่เหมือนเธอราวกับแกะ ทุกรายละเอียดบนใบหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เว้นแต่แววตาที่ดูเฉี่ยวค
หลังจากกลับจากปราณบุรีได้ไม่กี่วัน กวินภพก็เรียกประชุมผู้ร่วมทุนโครงการโรงแรมทุกคน รวมถึงคุณสันติด้วย การประชุมจัดขึ้นที่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท บรรยากาศในห้องค่อนข้างตึงเครียด เพราะครั้งนี้นอกจากจะมีเจ้าสัวประเสริฐคนที่จะร่วมทุนด้วยแล้วยังมีผู้สนใจในโครงการนี้อีกสองคนจากยุโรปคือ มิสเตอร์จอห์นและมิสเตอร์เดวิด นั่งอยู่ร่วมกับคุณธีระกวินภพและผู้ร่วมทุนรายย่อยอื่นๆ ส่วนคุณสันตินั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าเคร่งขรึมกวินภพเริ่มต้นการประชุมด้วยการกล่าวถึงภาพรวมของโครงการก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับมิสเตอร์จอห์น“เรียนท่านผู้บริหารทุกท่านครับ หลังจากที่ผมและมิสเตอร์เดวิดได้ศึกษาข้อมูลโครงการอย่างละเอียด รวมถึงประวัติของหุ้นส่วนทุกท่าน เรามีความกังวลบางประการเกี่ยวกับข้อเสนอของคุณสันติที่ต้องการใช้ที่ดินมาร่วมทุนโดยไม่จ่ายเงินสดครับ” มิสเตอร์จอห์นกล่าวด้วยสำเนียงอังกฤษที่ชัดเจนคุณสันติขมวดคิ้วเขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจตั้งแต่คำพูดแรกของมิสเตอร์จอห์น“เรามองว่าการนำที่ดินมาร่วมทุนโดยไม่มีการตีมูลค่าที่ชัดเจน หรือแปลงเป็นเงินสดเข้ามา จะสร้างปัญหาในระยะยาว หากเกิดความขัดแย้งในอนาคต เราจึงขอเสนอให้คุณสันติขายท