หลังจากช้อปปิ้งเสร็จแล้ว กวินภพก็พาเธอไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารฝรั่งเศสบรรยากาศหรูหรา มินตราชื่นชมบรรยากาศในร้านที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีเสียงเพลงบรรเลงคลอเบาๆ สร้างความโรแมนติกให้กับมื้ออาหาร
“อาหารอร่อยไหม” กวินภพถามขึ้นขณะที่เธอกำลังตักซุปเห็ดเข้าปาก
“อร่อยมากเลยค่ะ มิ้นต์ไม่เคยทานอาหารอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย” มินตราตอบด้วยรอยยิ้มจริงใจ
กวินภพมองเธออีกครั้ง สายตาของเขาดูเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่างในตัวเธอ
“แต่ก่อนมิ้นต์ไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งเศส” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ และเมื่อเห็นสีหน้าเธอตกใจเขาก็แอบยิ้มที่มุมปาก ถ้าหากได้อยู่กับเธอบ่อยๆ ขาคงจับผิดเธอได้ไม่ยาก
มินตราชะงักไปเล็กน้อย เธอเกือบลืมไปแล้วว่าเธอกำลังสวมบทบาทเป็นมันตรา
“มิ้นต์ก็เพิ่งจะลองทานจริงจังครั้งแรกค่ะ ปกติก็ไม่ค่อยได้ทานเท่าไหร่ แต่พอได้ลองแล้วก็รู้สึกว่าอร่อยดีค่ะบางทีมันอาจจะเป็นเพราะมิ้นต์มีความสุขที่ได้มาทานกับคุณภพก็ได้นะคะ” เธอแก้ตัวไปตามน้ำ
กวินภพยิ้มแล้วกลับไปทานอาหารของตัวเองเงียบๆ แต่ในใจของเขาก็ยังคงมีคำถามมากมายผุดขึ้นมา
หลังอาหารเย็น กวินภพก็พาเธอไปฟังเพลงแจ๊สที่บาร์แห่งหนึ่ง มินตราไม่ค่อยได้ฟังเพลงแจ๊สบ่อยนัก แต่เธอก็รู้สึกเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงที่ไพเราะและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย กวินภพสั่งเครื่องดื่มมาให้เธอหนึ่งแก้ว ซึ่งเป็นม็อกเทลไร้แอลกอฮอล์
“ชอบเพลงแนวนี้ไหม” กวินภพถามขึ้น
“ชอบค่ะ มิ้นต์ไม่ค่อยได้ฟังเพลงแจ๊สบ่อยนัก แต่ก็รู้สึกว่ามันไพเราะดีนะคะ” เธอตอบตามความจริง
กวินภพมองเธออย่างสงสัยเพราะมันตราที่เขารู้จักไม่เคยบอกว่าไม่ชอบเพลงแนวนี้เพราะมันน่าเบื่อ เธอชอบเพลงจังหวะคึกคักแต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะกลัวเธอจะรู้ตัวเสียก่อน เนื่องจากวันนี้เขาจับผิดเธอได้หลายอย่างแล้ว
ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นจิบ พลางมองไปยังเวทีที่นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงอยู่ มินตราได้แต่นั่งเงียบๆ ปล่อยใจไปกับเสียงเพลง พยายามไม่ให้กวินภพจับผิดอะไรได้อีก
เมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนดึก มินตราก็รู้สึกเหนื่อยล้า เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็พบว่ากวินภพนอนอยู่บนเตียงแล้ว เธอค่อยๆ คลานขึ้นไปนอนข้างๆ เขา พยายามข่มตาให้หลับ แต่ใจก็ยังคงว้าวุ่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
กวินภพเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน เขานอนพลิกตัวไปมา พยายามทบทวนเหตุการณ์ตลอดทั้งวัน มันตราในวันนี้แตกต่างจากมันตราที่เขารู้จักอย่างชัดเจน การแต่งตัวที่เรียบร้อยขึ้น ความชอบในอาหารฝรั่งเศสและเพลงแจ๊สที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าเธอไม่ใช่คนเดิม
ในหัวของกวินภพมีคำถามอยู่มากมายเธอเป็นใครกันแน่ทำไมถึงมาสวมรอยเป็นมันตราและใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้
กวินภพพลิกตัวหันไปมองมินตราที่นอนหลับอยู่ข้างๆ เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ใบหน้าของเธอดูไม่มีพิษภัย ทำให้เขารู้สึกสับสนมากขึ้นไปอีกว่าผู้หญิงที่ดูไร้เดียงสาคนนี้ จะสามารถสวมรอยเป็นคนอื่นได้อย่างแนบเนียนถึงเพียงนี้
เขายังคงไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่เห็นทั้งหมด เพราะเขารู้ว่าบางทีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองของคนเราก็สามารถทำให้คนหนึ่งเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ แต่ความสงสัยในใจก็ยังคงมีอยู่ เขาต้องการหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้ ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป
เขาตัดสินใจที่จะไม่ซักไซ้อะไรเธอในตอนนี้ เพราะเขายังคงรอข้อมูลจากยงยุทธ แต่ก็คิดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เขาจะพาเธอไปทานอาหารค่ำกับครอบครัวและหวังว่ามารดาของเขาจะรู้สึกอะไรบ้าง
เช้าวันเสาร์มินตราก็ยังคงตื่นนอนแต่เช้า เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่หญิงสาวหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้าจากการออกไปข้างนอกเมื่อวาน หรืออาจจะเป็นเพราะความรู้สึกคุ้นชินกับการนอนข้างกวินภพมากขึ้น เธอลุกจากเตียงอย่างเบาที่สุด จัดการธุระส่วนตัวแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
กวินภพยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง มินตราเดินเข้าไปใกล้ มองใบหน้ายามหลับของเขาที่ดูผ่อนคลายและอบอุ่น ต่างจากตอนที่ตื่นที่มักจะดูเคร่งขรึมและเข้าถึงยาก เธอรู้สึกเครียดเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานเพราะดูเหมือนว่าตอนนี้กวินภพดูเหมือนจะเริ่มสงสัยในตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอคิดว่าเขาไม่น่าจะจับผิดได้
เธอเดินลงมายังห้องรับแขก ป้ากัลยากำลังจัดดอกไม้อยู่ มินตราเลยเข้าไปชวนคุย
“คุณมิ้นต์สนใจเรื่องต้นไม้ด้วยเหรอคะ” ป้ากัลยาถามด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ มิ้นต์ชอบดอกไม้ค่ะ เห็นแล้วรู้สึกสดชื่นดี” มินตราตอบตามความจริง
“ถ้าอย่างนั้นคุณมิ้นต์อยากจะปลูกดอกไม้ไหมคะ”
“ดีเลยค่ะ มิ้นต์อยากลองปลูกมานานแล้ว” มินตราตอบด้วยความตื่นเต้น
บทสนทนาของทั้งสองคนดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง จนกระทั่งกวินภพเดินลงมา มินตรายิ้มทักทายเขา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณภพ”
ทั้งสองนั่งทานอาหารด้วยกันเหมือนทุกวัน จากนั้นกวินภพก็เตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
“มิ้นต์นึกว่าวันนี้คุณภพหยุดงาน”
“อันที่จริงก็หยุดแต่วันนี้มีนัดตีกอล์ฟกับลูกค้า แต่ตอนเย็นผมจะเข้ามารับไปทานข้าวเย็นที่บ้านใหญ่”
“บ้านใหญ่เหรอคะ”
“พ่อกับแม่ชวนไปทานข้าวเย็นน่ะ ไปนะแล้วเจอกันเย็นนี้”
มินตรากำลังเป็นกังวลเพราะการไปบ้านใหญ่ของกวินภพหมายถึงการที่เธอจะต้องพบกับบิดามารดาของเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลกว่ามากเพราะเธอไม่รู้ว่าพ่อแม่ของกวินภพมีนิสัยอย่างไร และเธอจะสามารถทำตัวให้เหมือนมันตราได้ดีแค่ไหน
เมื่อกวินภพออกไปจากบ้านแล้วมินตราก็โทรศัพท์ไปหาลุงสันติเพราะอยากจะได้ข้อมูลเพิ่ม
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกหนูมินตรา ยัยมิ้นต์ไม่ได้สนิทกับพ่อแม่ของคุณภพ เธอเคยเจอไม่กี่ครั้งเอง”
“พวกเขาเป็นคนยังไงคะ”
“เท่าที่รู้ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีนะ ลุงไม่ค่อยสนิทกับแม่ของเขาหรอกที่เจอก็แต่พ่อของคุณภพเขาก็เป็นเหมือนนักธุรกิจทั่วๆ ไป ที่จริงจังกับงานและไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย”
“ถ้าเขาถามถึงธุรกิจของคุณลงล่ะคะ”
“บอกเขาไปว่าเพิ่งกลับไม่นานเลยยังไม่ได้เข้าไปช่วยงาน แต่ลุงว่าเขาคงไม่ถามหรอกน่าสบายใจได้”
“ค่ะคุณลุง” เพราะเป็นการคุยโทรศัพท์ที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยมินตราเลยเรียกเขาว่าคุณลุงและเมื่อเรียนออกไปแล้วก็ทำให้เธอคิดถึงลุงกับป้าขึ้นมาทันที
หญิงสาวรีบโทรไปหาป้าจันทร์และบอกว่าตอนนี้เธอกำลังทำงานแทนมันตราและเธอสบายดี เมื่อป้าจันทร์บอกว่าเอาเงินก้อนแลกที่ได้ไปใช้หนี้แล้วมินตราก็ดีใจมากและคิดว่ามันคุ้มแล้วที่ยอมมาสวมรอยเป็นน้องสาวฝาแฝด
คุยเสร็จแล้วมินตราก็เดินไปเลือกเสื้อผ้า เธอเลือกชุดเดรสสีเทาอ่อนดูเรียบร้อย ซึ่งเป็นชุดที่กวินภพเพิ่งซื้อให้เมื่อวาน
แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่หน้าที่ก็ต้องมาก่อน เช้านี้มินตราก็ตื่นนอนแต่เช้ามาช่วยป้ากัลยาทำอาหารระหว่างที่กวินภพวิ่งออกกำลังกายรอบๆ บ้านเมื่อเตรียมอาหารเสร็จเธอก็ขึ้นไปอาบน้ำ ขณะนั่งแต่งหน้ากวินภพก็อาบน้ำแต่วตัวเสร็จพอดี เขาเดินถือเนกไทมาให้มินตราผูกเหมือนกับทุกวัน มินตราชอบหน้าที่นี่มากเพราะหญิงสาวเคยดูละครตอนตัวเองยังเป็นเด็กแล้วเห็นฉากที่นางเอกผูกเนกไทให้พระเอกก่อนไปทำงาน พอเข้ามหาวิทยาลัยเธอเลยให้เพื่อนผู้ชายช่วยสอนและจำวิธีผูกมาจนถึงทุกวันนี้“เป็นอะไรหรือเปล่าครับมิน” กวินภพถามเมื่อเห็นว่าจู่ๆ ภรรยาก็นิ่งไปขณะกำลังผูกเนกไทให้“มินกำลังนึกถึงตัวเองตอนเด็กค่ะ”“มีอะไรเหรอครับ”“ก็มินเคยดูละครแล้วเห็นนางเอกในละครผูกเนกไทให้พระเอกก่อนที่พระเอกจะไปทำงาน มินก็เลยฝันว่าโตขึ้นมินอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง”“ตอนนี้มินก็เป็นแบบนั้นแล้วนะ หน้าที่ผูกเทกไทที่พี่ยกให้มินทำให้คนเดียวเลยนะครับ แล้วมินไปฝึกทำมาจากไหน”“มินให้เพื่อนผู้ชายที่มหาวิทยาลัยสอนจากนั้นก็จำวิธีการผูกมาเรื่อยๆ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ทำเหมือนในละครจริงๆ เหมือนเป็นการเติมเต็มความฝันค่ะ ถึงจะเป็นความฝันเล็กๆ แต่มันก็ทำให้มินมีความส
มินตรากรีดเสียงร้องลั่นห้องร่างกายหญิงสาวสั่นสะท้าน เมื่อกวินภพส่งเธอแตะขอบสวรรค์ น้ำหวานจากกุหลาบดอกสวนล้นทะลักจนชุ่มไปทั่วปลายลิ้น ชายหนุ่มกวินภพไม่พลาดที่จะดูดกิน รสชาติหอมหวานจากภรรยาสาว มันทำให้เขาหลงใหลเธอมากขึ้น กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ กินแล้วก็อยากจะกินอยู่แบบนั้นเมื่อส่งคนรักไปพบกับความสุขแล้ว เขาก็ดึงให้เธอมาอยู่ริมขอบโต๊ะ กดจูบลงไปอย่างเร่าร้อนเติมเชื้อไฟให้โหมกระหน่ำ ริมฝีปากลากมายังอกอิ่มดูดกินเม็ดเชอร์รี่เข้าปากร้อน มือใหญ่ท่อนเอ็นกดนวดบนเกสรสวาทเป็นจังหวะเบาๆ“อื้อ...พี่ภพขา รักมินนะคะ อย่าทรมานกันเลยนะคะ”หญิงสาวเสียวซ่านและต้องการแท่งร้อนของเขาเข้ามาเติมเต็มจนต้องร้องขออย่างน่าอาย“ใจเย็นนะเมียจ๋า”กวินภพลากไล้ปลายแท่งร้อนขึ้นลงกลางกลีบกุหลาบจนมันชุ่มไปด้วยน้ำหวานที่เธอยังคงผลิตออกมาอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะสอดท่อนเอ็นร้อนเข้าไปในช่องทางรักที่คับแน่นทีละนิดเข้าไปเพียงนิดร่องสวาทก็ตอดรัดแรงกวินภพไม่อาจจะรอช้าได้เขาดันแท่งร้อนเข้าไปทีเดียวจนลึกสุด มินตราสะดุ้งสุดตัว“อ๊ะ!.....”สองมือจิกบนท่อนแขนของสามีไว้แน่น ชายหนุ่มนิ่งค้างเพราะอยากเธอได้ผ่อนคลาย แต่ดูเหมือนเขาจะคิด
“ทนอะไรคะ” มินตราถามสามีแต่แล้วใบหน้าเธอก็แดงซ่านขึ้นมาทันทีเมื่อรู้สึกถึงความแข็งร้อนที่บดเบียดอยู่บริเวณท้องน้อย“คืนนี้พี่อยากเปลี่ยนบรรยากาศได้ไหมที่รัก” เขากระซิบข้างหูด้วยเสียงแหบพร่า เธอรู้ว่าเวลานี้กวินภพอยู่ในอารมณ์ไหน เสียงแบบนี้ลมหายใจไม่สม่ำเสมอกันแบบนี้หญิงสาวนึกออกเพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่เขาต้องการมันคืออะไร“แต่นี่ห้องทำงาน คงไม่เหมาะนะคะถ้าใครรู้พี่ภพจะเสียชื่อเสียงเอานะคะ” มินตรารีบห้ามเมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ของกวินภพน่าจะห้ามได้ยาก แต่เธอก็ต้องเตือนสติ“ถ้ากลับตอนนี้พี่อาจจะทนไม่ไหวแล้วมีอะไรกับมินในรถและตรงที่รถของเราจอดอยู่มีกล้องด้วยนะ พี่ให้มินเลือกว่าเราจะมีความสุขกันตรงนี้หรือที่รถดีล่ะ” กวินภพทั้งอ้อนทั้งขู่ด้วยเสียงแหบพร่าความต้องการมันทำให้เขาไม่สนใจว่าตอนนี้จะอยู่ที่ไหน“อย่าใจร้อนสิคะพี่ภพ”“ทำไมล่ะครับ หรือมินไม่ต้องการพี่” กวินภพพูดออกไปแบบนั้นและก็หวังว่าเธอจะไม่ปฏิเสธ“มินกลัวคนอื่นมาเจอ”“จะมีใครกันล่ะครับที่รัก นะมินนะ”“พี่ภพล็อกประตูแล้วใช่ไหมคะ” มินตราเสียงถามเบาหวิวเพราะความเขินอาย“ล็อกแล้วครับมิน ให้พี่นะครับ”เขากระซิบแหบพร่าที่ใบห
หลังจากที่การเซ็นสัญญาร่วมทุนโครงการโรงแรมฉบับใหม่เสร็จสิ้นลงด้วยดีและปัญหาเรื่องคุณสันติกับมันตราคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น กวินภพก็รู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับมินตราจะต้องบอกกับผู้ใหญ่ของเธอให้รับรู้“มินครับ” กวินภพเรียกมินตราที่กำลังอ่านทำอาหารเย็นอยู่ในครัวเพราะป้ากัลยาไม่สบายและไปนอนโรงพยาบาลโดยมีเหมียวเด็กรับใช้ไปเฝ้า“กลับมาแล้วเหรอคะพี่ภพ” เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยน“พี่มีเรื่องดีๆ จะบอกมินด้วยนะ” กวินภพเดินเข้าไปหาเธอ โอบกอดเอวบางไว้จากด้านหลัง“เรื่องอะไรคะ” มินตราหันมาถามพร้อมกับยิ้มหวาน“พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะไปขอมินกับป้าจันทร์และลุงชิด”“จริงเหรอคะ” มินตราทั้งตกใจและดีใจเพราะคิดว่ากวินภพลืมเรื่องนี้ไปแล้วเพราะช่วงนี้ชายหนุ่มยุ่งกับงานมากๆ“แล้วพี่ภพจะอธิบายกับป้ากับลุงยังไงคะ” มินตราถามด้วยความกังวลเธอไม่อยากให้ญาติผู้ใหญ่ต้องเป็นห่วงหรือคิดมาก“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น พี่เตรียมคำพูดไว้แล้ว เราจะบอกว่ามินมาทำงานแทนมันตราและได้เจอกับพี่จากนั้นเราก็ได้ทำความรู้จักและรักกันในที่สุด”มินตราพยักหน้า เธอรู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้ป้ากับลุงต้องกังวลใจ
หลังจากจัดการเรื่องการซื้อที่ดินจากคุณสันติได้สำเร็จ กวินภพก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เขาต้องจัดการนั่นคือการเผชิญหน้าระหว่างมินตราและมันตราสองพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากกันไปนานแสนนานที่ชายหนุ่มต้องนัดให้สองพี่น้องมาเจอกันเพราะอยากให้มินตราอยู่ด้วยความสบายใจว่าจากนี้ชีวิตที่สวมรอยเป็นมันตราของเธอนั้นได้จบลงแล้วจริงๆวันนี้กวินภพนัดหมายให้มันตรามาพบที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่มีบรรยากาศอบอุ่นและเงียบสงบ เหมาะสำหรับการพูดคุยเรื่องสำคัญ เขาโทรศัพท์ไปบอกมินตราให้เตรียมตัวมาด้วย โดยไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากนัก เพียงแค่บอกว่าอยากให้เธอมาเจอใครบางคนเมื่อถึงเวลากวินภพกับมินตราก็เดินทางมาถึงคาเฟ่ มินตราสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง หันหลังให้พวกเขา รูปร่างคล้ายกับเธอจนน่าตกใจ หญิงสาวพอจะรู้แล้วว่าคนที่กวินภพพาเธอออกมาเจอคือใครกวินภพเดินนำเข้าไปและเมื่อผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามา มินตราก็ถึงกับยืนนิ่งราวกับถูกสาป ภาพตรงหน้าคือผู้หญิงที่เหมือนเธอราวกับแกะ ทุกรายละเอียดบนใบหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เว้นแต่แววตาที่ดูเฉี่ยวค
หลังจากกลับจากปราณบุรีได้ไม่กี่วัน กวินภพก็เรียกประชุมผู้ร่วมทุนโครงการโรงแรมทุกคน รวมถึงคุณสันติด้วย การประชุมจัดขึ้นที่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท บรรยากาศในห้องค่อนข้างตึงเครียด เพราะครั้งนี้นอกจากจะมีเจ้าสัวประเสริฐคนที่จะร่วมทุนด้วยแล้วยังมีผู้สนใจในโครงการนี้อีกสองคนจากยุโรปคือ มิสเตอร์จอห์นและมิสเตอร์เดวิด นั่งอยู่ร่วมกับคุณธีระกวินภพและผู้ร่วมทุนรายย่อยอื่นๆ ส่วนคุณสันตินั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าเคร่งขรึมกวินภพเริ่มต้นการประชุมด้วยการกล่าวถึงภาพรวมของโครงการก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับมิสเตอร์จอห์น“เรียนท่านผู้บริหารทุกท่านครับ หลังจากที่ผมและมิสเตอร์เดวิดได้ศึกษาข้อมูลโครงการอย่างละเอียด รวมถึงประวัติของหุ้นส่วนทุกท่าน เรามีความกังวลบางประการเกี่ยวกับข้อเสนอของคุณสันติที่ต้องการใช้ที่ดินมาร่วมทุนโดยไม่จ่ายเงินสดครับ” มิสเตอร์จอห์นกล่าวด้วยสำเนียงอังกฤษที่ชัดเจนคุณสันติขมวดคิ้วเขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจตั้งแต่คำพูดแรกของมิสเตอร์จอห์น“เรามองว่าการนำที่ดินมาร่วมทุนโดยไม่มีการตีมูลค่าที่ชัดเจน หรือแปลงเป็นเงินสดเข้ามา จะสร้างปัญหาในระยะยาว หากเกิดความขัดแย้งในอนาคต เราจึงขอเสนอให้คุณสันติขายท