แชร์

บทที่ 9

ผู้เขียน: สาริศา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-28 17:10:19

เช้าวันแรกในฐานะของ เจโคบี ชาร์ลสตัน โทบีตื่นขึ้นมานั่งเหม่อมองภายใน ‘ห้องนอนเก่า’ ของเขาอย่างเงียบงัน นึกขอโทษบุคคลที่เขาขโมยตัวตนในใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแขกไม่ได้รับเชิญภายในห้องนอนเล็กๆ แห่งนี้อยู่เสมอ

แม้ว่าเฮอร์แมนจะให้คนจัดเตรียมห้องนอนใหม่ที่กว้างขวางสมกับวัยเอาไว้ แต่โทบีก็ยืนยันที่จะใช้ห้องนอนเก่าไปอีกสักพัก เพื่อให้เขาสามารถระลึกถึงอดีตได้ชัดเจนขึ้น เขารู้ว่าเคนเน็ธจะต้องรักษามันเอาไว้ในสภาพเดิมตั้งแต่เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เพื่อเป็นการระลึกถึงหลานชายเพียงคนเดียว

ชายหนุ่มลุกขึ้นช้าๆ เดินไปรอบๆ พร้อมกับใช้มือลูบคลำตู้และโต๊ะไม้แต่ละตัว เหมือนต้องการซึมซับเรื่องราวของมันให้มากที่สุด

หลังจากล้างหน้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย โทบีก็ถือวิสาสะเดินลงไปที่สวนข้างคฤหาสน์ สูดอากาศสดชื่นเย็นฉ่ำในยามเช้าคนเดียวเงียบๆ เป็นการปลอบประโลมความรู้สึกผิดในใจ

เขาเดินไปมาระหว่างกอต้นลาเวนเดอร์บริเวณรอบสระว่ายน้ำ ชายหนุ่มรู้ว่ามันเป็นจุดที่เจโคบีตัวจริงถูกเห็นเป็นครั้งสุดท้าย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของช่อดอกไม้สีม่วงช่วยให้ความคิดฟุ้งซ่านผ่อนคลายลงไปบ้าง จากนั้นก็ย่อตัวลงนั่งที่ริมสระ พยายามจินตนาการภาพเด็กลูกครึ่งจีนเช่นเดียวกับเขากำลังเล่นอยู่อย่างสนุกสนาน... นึกภาพเด็กชายที่กำลังดิ้นรนร้องไห้เมื่อถูกโจรค่าไถ่จับตัวไป...

โทบีเกิดความเศร้าสะเทือนใจจนน้ำตาซึม เมื่อคิดว่าหลานชายที่แท้จริงของเคนเน็ธคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือการที่เขาต้องมาสวมรอยเป็นเด็กคนนั้นมาหลอกลวงทุกคน

เขาคงแก้ไขความผิดนี้ไม่ได้ แต่ก็สัญญากับตัวเองว่า เขาจะเป็น เจโคบี ชาร์ลสตัน ให้ดีที่สุด ไม่ให้ทุกคนที่รักและเป็นห่วงเจโคบีต้องผิดหวัง เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มจะตอบแทนเจ้าของชื่อได้

ขณะที่โทบีกำลังนั่งคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้น เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยกันที่ดังจากทางด้านหน้าคฤหาสน์และกำลังมุ่งมายังบริเวณที่เขานั่งอยู่ ก็ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก เขารีบผลุนผลันวิ่งไปหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ โดยสัญชาตญาณ ไม่ได้คิดว่าตอนนี้เขามีสิทธิ์ที่จะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ในฐานะทายาทเจ้าของสถานที่

“มิเชล เธอได้เจอคุณเจค็อบบ้างหรือยัง เมื่อวานฉันไปแอบมองเขาที่ห้องอาหารเย็น อยากจะกรี๊ดดังๆ คนอะไร หล่อลากไส้ ไม่ยักรู้ว่าคุณชาร์ลสตันจะมีหลานชายหล่อๆ ซ่อนเอาไว้อย่างนี้ด้วย...” สำเนียงไอริชของสาวใช้วัยรุ่นกระซิบกระซาบกับเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่อย่างตื่นเต้น “ฉันล่ะอยากกัดหัวไหล่ล่ำๆ ของเขาใจจะขาด ถ้าคืนนี้ฉันแอบขึ้นไปหาเขาที่ห้อง เธอว่าเขาจะเล่นด้วยไหม...” เจ้าของเสียงเดิมพูดพลางหัวเราะคิกคัก

“อยากจะโดนไล่ออกก็ลองดูสิยะ” มิเชลตอบ

“แหม ก็แค่พูดเล่นหรอกน่า... ถึงสีผมกับสีตาจะออกจีนเหมือนคุณนาย แต่หน้าตาเขาก็มีเค้าคนอังกฤษอยู่เยอะเหมือนกันนะ... ถ้าคุณชาร์ลสตันยังไม่ตาย ฉันว่าเขาจะต้องหล่อเหมือนลูกชายแน่ๆ เลย”

“จุ๊ๆๆ พูดถึงคุณชาร์ลสตันคนลูก ฟังแล้วเหยียบไว้เลยนะยะ... ตอนฉันเข้ามาทำที่นี่ใหม่ๆ พวกคนเก่าเคยเล่าให้ฟังว่าเขานิสัยแย่มากๆ เลยล่ะ ทั้งติดพนัน เหล้ายา ผลาญเงินพ่อไปเป็นสิบๆ ล้าน คุณชาร์ลสตันถึงกับตัดพ่อตัดลูก สั่งห้ามไม่ให้พาคุณนายกลับมาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ...”

“มิน่าล่ะ ฉันถึงไม่เคยเจอคุณนายเลย ยังนึกว่าเพราะปัญหาพ่อผัวลูกสะใภ้... แล้วทำไมเธอถึงเพิ่งจะพาคุณเจค็อบมาหาคุณปู่ล่ะ...”

“ก็เขาโดนลักพาตัวไปตั้งแต่ยังเด็กน่ะสิ แม็กกี... ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้หรอก ไม่อย่างนั้นคุณชาร์ลสตันจะโกรธมาก... นี่ฉันได้ยินจากคุณแอนนาว่าเพิ่งมาเจอตัวกันไม่กี่วันนี้เอง...” มิเชลเล่าต่อ เธอเป็นสาวใช้รุ่นกลางที่มีวัยย่างสามสิบปีแล้ว และเพิ่งเข้ามาทำงานที่คฤหาสน์ในช่วงเจ็ดแปดปีที่ผ่านมา

“คุณเจค็อบจะได้เลือดพ่อหรือเลือดปู่มาก็ไม่รู้เหมือนกันนะ คุณชาร์ลสตันน่ะ ทีแรกเห็นไม่ค่อยพูดค่อยจาฉันก็นึกว่าจะดุ แต่เอาเข้าจริงกลับใจดี๊ใจดี ขนาดฉันเคยทำชุดน้ำชาวิกตอเรียหล่นแตกต่อหน้าเขา เขายังไม่ว่าอะไรซักคำ...” มาร์กาเร็ต หรือที่สาวใช้รุ่นพี่เรียกเธอว่าแม็กกี ออกความเห็น

“ใช่ คุณชาร์ลสตันแกใจดีมาก ยิ่งกับคนเก่าคนแก่ที่ลาออกไปนะ บางคนได้โบนัสย้อนหลังกันเป็นแสนเลย ทุกคนถึงอยู่กันจนแก่ ไม่ค่อยจะยอมไปไหนไงล่ะ... ถ้าคุณเจค็อบเหมือนคุณชาร์ลสตันก็ดีไป แต่ถ้าไปได้นิสัยคนลูกมาล่ะก็...”

“แหม... ต่อให้นิสัยแย่ซักแค่ไหน ถ้าหล่อแล้วก็รวยซะอย่างฉันก็ไม่แคร์หรอก...” สาวใช้รุ่นน้องวัยยี่สิบสองปีแย้งทีเล่นทีจริง

“ว่าแต่... เรื่องที่คุณเจค็อบหายตัวไปเกือบยี่สิบปีแล้วจู่ๆ ก็กลับมาได้เนี่ย มันเหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ เลยนะ...”

“ตายแล้ว!!” ยังไม่ทันที่มิเชลจะพูดจบ มาร์กาเร็ตก็อุทานขึ้นเสียก่อน พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “จะเจ็ดโมงแล้ว ฉันต้องไปเตรียมอาหารเช้าแล้วล่ะ เดี๋ยวถ้าคุณชาร์ลสตันลงมาก่อนจัดโต๊ะเสร็จ คุณเฮอร์แมนจะดุฉันอีก”

“จริงสิ ฉันเองก็ต้องขึ้นไปดูแลชั้นบนเหมือนกัน แล้วค่อยเจอกันตอนสายนะ...”

“โอเคจ้ะ มิเชล”

เสียงของสาวใช้ทั้งสองค่อยๆ เบาลงตามเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป โดยไม่มีใครรู้ว่าโทบีนั่งฟังบทสนทนาของพวกเธอตั้งแต่ต้น

ทีแรกชายหนุ่มก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดชื่นชมของมาร์กาเร็ต ถึงแม้จะเป็นการพูดคุยแบบทะลึ่งตึงตังไปสักหน่อย แต่น้ำเสียงของเธอก็บอกว่าเธอเป็นคนร่าเริงและสนุกสนานเหมือนกับผู้หญิงแก่นๆ ทั่วไป เขารู้ว่ามันไม่ได้แฝงความหมายอย่างที่เธอว่าจริงๆ

แต่พอได้ยินเรื่องนายชาร์ลสตันผู้เป็นสามีของโรส โทบีถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า อัลเบิร์ต ชาร์ลสตัน ที่โรสเคยบอกกับเขาว่าออกตามหาบุตรชายจนเสียชีวิต จะเป็นคนเหลวไหลไร้ค่าถึงขนาดนี้ แล้วสิ่งที่สาวใช้ทั้งสองพูดถึงเคนเน็ธก็ช่างแตกต่างจากพ่อสามีคนที่โรสอธิบายให้เขาฟังอย่างสิ้นเชิง...

หรือเธอจะเข้าใจผิดเพียงเพราะอคติที่เคนเน็ธมีต่อบุตรชายเท่านั้น...

ช่างมันเถอะ... โทบีคิด...

จะอย่างไรก็ตาม ในฐานะตัวแทนของเจโคบี เขาจะพยายามเป็นคนกลางช่วยปรับความเข้าใจให้ทั้งคู่เอง ซึ่งเจโคบีตัวจริงที่อยู่บนสวรรค์ก็คงต้องการให้เป็นอย่างนั้น...

โทบีรออยู่จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากหลังพุ่มไม้ที่หลบอยู่ แล้วรีบเดินขึ้นบันไดเทอเรซของสระว่ายน้ำ ตั้งใจจะอาศัยประตูห้องนั่งเล่นกลับเข้าไปในตัวคฤหาสน์เพื่อเตรียมตัวรับประทานอาหารเช้า...

คิดถึงน้ำเสียงและคำพูดแต่ละประโยคของสาวใช้หนึ่งในสองคนนั้น ชายหนุ่มก็ยิ้มคนเดียวด้วยความขบขัน นึกอยากเห็นหน้าตาของคนที่ชื่อแม็กกีให้ชัดๆ สักครั้ง

แต่ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวผ่านประตู จู่ๆ ก็มีเสียงทักดังมาจากด้านหลัง

“เจค็อบ”

“คุณปู่...” เขารีบหันไปทักทายตอบ “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณปู่...”

“เป็นยังไงบ้าง... เมื่อคืนหลับสบายไหม...”

“ครับ... ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ห้องของผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย... คุณปู่ยังเก็บทุกอย่างเอาไว้ให้ผมเหมือนเดิมเหรอครับ...” เขาพยายามใช้จิตวิทยาคาดเดาความคิดของเคนเน็ธ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดขึ้น

“ใช่ ปู่ยังเก็บเอาไว้ทุกอย่าง รวมถึงสิ่งนี้ด้วย...” พูดพลางยื่นเรือบังคับวิทยุที่ยังอยู่ในสภาพเดิมให้อีกฝ่าย

โทบีมีสีหน้างุนงงไปชั่วขณะ แต่ก็รีบรับมันมาลูบคลำและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขารู้ว่าสิ่งนี้ต้องมีความหมายระหว่างเจโคบีกับปู่ของเขามาก ได้แต่เสี่ยงดวงรับสถานการณ์เฉพาะหน้าเอาเอง

“เรือของผม... คุณปู่เก็บมันไว้กับตัวตลอดเลยเหรอครับ...”

“อืม แต่ตอนนี้มันแล่นไม่ได้แล้วล่ะ... ยังจำได้ไหมเจค็อบ เมื่อก่อนเราแทบไม่เคยอยู่ห่างจากมันเลย...” โทบีจำใจพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ “เราทิ้งมันเอาไว้ที่สระในคืนที่หายตัวไป... ปู่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้คืนมันให้เราอีกแล้วซะแล้วสิ...”

“ใช่ครับ ผมเคยรักมันมาก...”

“ตอนนั้น ปู่สัญญาเอาไว้ว่าหลังจากกลับจากลอนดอน ปู่จะช่วยเราทาสีเรือลำนี้ด้วยกัน... ยังจำได้ไหมว่าเราเคยเรียกมันว่าอะไร...”

“ผมขอโทษครับ...” โทบีส่ายหน้าเศร้าๆ เขาไม่สามารถตอบเรื่องนี้ได้ และเตรียมใจยอมรับหากเขาจะไม่ผ่านการทดสอบของเคนเน็ธ แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ติดใจอะไร

“ซักวันเราอาจจะจำได้... ตอนนี้กลับเข้าบ้านไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า มาเถอะเจค็อบ...” ว่าแล้วก็ยกแขนเหี่ยวย่นโอบบ่าของคนที่ได้ชื่อว่าหลานชาย

“ครับคุณปู่” ชายหนุ่มให้อย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็หันไปมองใบหน้าเคนเน็ธด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • คลื่นรักเชลยหัวใจ 2 เมียจอมโจร   บทที่ 30

    เสียงเคาะประตูของซาคาเรียในตอนพลบค่ำบอกให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว หลังจากอาศัยอยู่ในเรือซีเซอร์เพนต์มาหลายวัน หญิงสาวก็เริ่มเคยชินจนไม่คิดจะใส่ใจต่อการปรากฏตัวของบริกรประจำตัว เธอเพียงแค่เหลือบตาไปมองขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านปลายเตียงไป แทบจะไม่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้อนามิกาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าซาคาเรียไม่ได้ถือถาดใบใหญ่เข้ามาในห้องเหมือนทุกครั้ง เขาแค่เข้ามาเก็บถ้วยชามใช้แล้วบนโต๊ะอาหารเพียงเท่านั้นอย่าบอกว่ากัปตันบ้านั่นแกล้งลงโทษเธอเรื่องเมื่อตอนเย็นด้วยการให้อดข้าวอดน้ำนะ...“เอ่อ...” ครั้นจะเอ่ยปากถามขึ้นมา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้เสียก่อน...เรื่องอะไรจะยอมเสียหน้าล่ะ... ไม่ให้กินเธอก็ไม่ง้อหรอก...“หิวข้าวหรือยัง มาดมัวแซลล์” ซาคาเรียหันมาถามราวกับรู้ทันความคิดเธอ อนามิกาส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่ในกระเพาะอาหารรู้สึกแสบร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว “กัปตันบอกให้เธออาบน้ำแต่งตัว... เสร็จแล้วจะให้คนมารับไปกินข้าว...” เขาบอกต่อด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไม่ต่างจากทุกครั้ง“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกฉงน“ที่ระเบียงท้ายเรือจัดโต๊ะเอาไว้... คืนนี้เธอไปกินที่น

  • คลื่นรักเชลยหัวใจ 2 เมียจอมโจร   บทที่ 29

    ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับผู้หญิงก็จริง แต่ท่าทีและคำพูดของหญิงสาวก็พอจะบอกอะไรให้เขารู้อยู่บ้าง“เป็นของฝากสำหรับแม่... เป็นคนไทยเหมือนกับเธอนั่นแหละ”“คนไทยเหรอคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงเบิกตากว้าง คุณเป็นลูกครึ่งไทยอย่างนั้นเหรอ”“ไม่ใช่... นีนาเป็นเหมือนแม่ของฉัน เธอเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็ก...”“แล้วพ่อแม่แท้ๆ ของคุณล่ะ”คิ้วของอัลวาโรขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เขาเคยคิดว่าตัวเองสนุกกับนิสัยช่างต่อปากต่อคำของอนามิกา แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าเธอพูดมากจนเขาชักจะเกลียดน้ำหน้าเสียแล้วสิ...อัลวาโรเติบโตขึ้นมาโดยมีอัลเฟรโดเป็นบิดาเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก ชายหนุ่มจดจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ไม่มากนัก และนรินทร์นารถก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษหรือเรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเขาอีกเลย บางครั้งที่เขาลืมตัวเอ่ยถามกับเธอ หญิงสาวก็จะมีท่าทางเศร้าซึมไป และอัลเฟรโดก็จะโกรธเขามาก มันจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งเขาไม่อยากพูดถึงแม้แต่น้อย“ตายไปหมดแล้ว ฉันมีแค่นีนากับอัลเฟรโดเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่”น้ำเสียงและสีหน้าของคนตรงหน้าบอกให้รู้ว่าอนามิกากำลังเปิดหีบแพนโดราโดยไม่ตั

  • คลื่นรักเชลยหัวใจ 2 เมียจอมโจร   บทที่ 28

    คาซาบลังกาเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมร็อกโก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วยเรือซีเซอร์เพนต์เข้าจอดยังท่าเทียบของสโมสรเรือสำราญ นอติก เดอ ลา มารีน รอยัล ยอชต์คลับ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง บริเวณติดกันกับท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่กินอาณาเขตตลอดแนวชายฝั่งเป็นระยะทางเกือบสองไมล์อัลวาโรนำเธอลงจากเรือและเดินไปขึ้นรถลิมูซีนที่จอดรอให้บริการอยู่ด้านหน้าสโมสร ก่อนจะสั่งให้คนขับพาทั้งสองไปส่งยังแหล่งจับจ่ายสินค้าภายในตัวเมืองอนามิกาค่อนข้างแปลกใจที่พบว่าเมืองแห่งความรักอันแสนโรแมนติกแห่งนี้ ช่างแตกต่างไปจากภาพในความคิดของเธอเหลือเกิน เพราะปัจจุบัน สภาพความเจริญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนคาซาบลังกาให้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและผู้คน ดูไม่แตกต่างไปจากเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปไม่ช้าความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่ลึกๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นความผิดหวัง... สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมความรู้สึกของหญิงสาวได้บ้างก็มีเพียงภาพหอคอยสูงสีขาวทรงสี่เหลี่ยมของมัสยิดกษัตริย์ฮัสซัน ที่ 2 ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทร

  • คลื่นรักเชลยหัวใจ 2 เมียจอมโจร   บทที่ 27

    นับตั้งแต่อัลวาโรเดินผลุนผลันออกไปในตอนเย็นเมื่อวาน เป็นเวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วที่เขาไม่ได้กลับเข้ามาเหยียบห้องพักของเธออีก หม่อมราชวงศ์หญิงอนามิกาควรจะโล่งใจที่ไม่ต้องทนเจอผู้ชายหลงตัวเอง แถมยังคิดจะเอารัดเอาเปรียบเธออย่างนั้น แต่พอไม่ได้เห็นหน้าเขานานๆ หญิงสาวกลับรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูกตามปกติแล้ว เธอมีพวงพะยอมเป็นเพื่อนคอยอยู่ใกล้ชิดเกือบตลอดเวลา แต่ในเวลานี้คนเดียวที่เธอพอจะพูดคุยด้วยได้ก็เหลือเพียงแค่ซาคาเรีย ชายหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คอยส่งอาหารให้วันละสามมื้อ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรกับเธอด้วยอนามิกากลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนนานเกือบชั่วโมง กว่าจะลุกขึ้นมานั่ง แล้วพบว่าเรือซีเซอร์เพนต์กำลังแล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง... ทีแรกหญิงสาวยังคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน ต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้งจึงมั่นใจว่าสถานที่ที่เธอมองเห็นตรงหน้าก็คือเมืองท่าที่เคยงดงามที่สุดของชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก เท่าที่เธอเคยรู้จักจากหนังสือนำเที่ยวและโปสการ์ดต่างๆ ในร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสไม่ผิดแน่ๆ... ที่นี่ก็คือคาซาบลังกา หรือ ‘บ้านสีขาว’ ตามความหมายชื่อภาษาสเปนของมัน...เธอมาถึงโมร็อกโกแล้วหรื

  • คลื่นรักเชลยหัวใจ 2 เมียจอมโจร   บทที่ 26

    วินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นถี่รัวจวนเจียนจะหลุดออกมาจากหน้าอก สองขาที่ยืนอยู่เหมือนจะอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น กลิ่นลมหายใจสะอาดสดชื่น ผสมผสานกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ติดค้างอยู่บนใบหน้า และกลิ่นอายเฉพาะตัวของผู้ชาย มอมเมาให้สมองของเธอปั่นป่วนราวกับพายุหม่อมราชวงศ์หญิงก็รู้สึกหวิวๆ ในช่องท้อง สลับกับอาการเสียวแปลบปลาบคล้ายคนเป็นเหน็บชาเวลาใกล้จะหาย มันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน แล้วมันก็ทำให้เธอเกือบโผเข้าไปซบแผ่นอกกว้างตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว“คุณมันบ้า... หลงตัวเอง...” อนามิการีบหลับตาลง ข่มสติตัวเองพร้อมๆ กับพยายามควบคุมลมหายใจที่กระชั้นถี่ให้สงบลง ไม่มีเสียงตอบจากกัปตันหนุ่ม มีเพียงสัมผัสอุ่นๆ นุ่มละมุนที่แตะลงบนเปลือกตาของเธอเบาๆ...“เธอจะยอมฉัน...” เสียงอัลวาโรยังคงเป็นเสียงกระซิบทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ต้องลืมตาโพลง กัดริมฝีปากตัวเองแล้วจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของเขา...เธอเป็นราชนิกุลที่สืบทอดศักดิ์ศรีและสายเลือดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงส่ง...เธอจะไม่ยอมหวั่นไหวไปกับอารมณ์หรือถ้อยคำปลุกปั่นใดๆ เป็นอันขาดคิดแล้วก็รีบผลักร่างกัปตันหนุ่มเต็มแรงจนเขาเซถอย

  • คลื่นรักเชลยหัวใจ 2 เมียจอมโจร   บทที่ 25

    ดวงตาของหม่อมราชวงศ์อนามิกายังจับจ้องอยู่ที่โคมไฟแก้วเจียระไนบนเพดานกลางห้องเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตามลำพังในห้องขังอันหรูหรา ในใจก็คอยครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เธอต้องกลายมาเป็นเชลยอยู่บนเรือโจรสลัดลำนี้หญิงสาวเลิกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองนานแล้ว เพราะหากกัปตันอัลวาโรคนนั้นคิดจะทำร้ายเธอจริงๆ ล่ะก็ เธอคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการอะไรกันแน่เสียงปลดล็อกไฟฟ้าที่ประตูห้องทำให้อนามิกาตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่นึกกลัวเขาอีก แต่ตราบใดที่เธอกับพวงพะยอมยังถูกขังอยู่ที่นี่ หญิงสาวก็ยังวางใจอะไรไม่ได้มาก อนามิกาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองตามสัญชาตญาณทันที และพบว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอนั่นเอง“ตื่นแล้วเหรอ...” อัลวาโรเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่พอจะคิดออก แต่พอพูดไปแล้วกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดตัวเองที่ถามอะไรโง่ๆ ออกไป“คุณคิดว่าวันๆ ฉันจะนอนตั้งแต่เช้ายันค่ำเลยเหรอคะ”“ก็ไม่แน่หรอก... เธออาจจะอยากต้อนรับฉันด้วยการนอนรอบนเตียงก็ได้นี่” กัปตันหนุ่มเหน็บกลั

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status