วินาทีแรกที่เคนเน็ธมองเห็นโทบี ในใจของเขาก็เชื่อทันทีว่าชายหนุ่มคือหลานชายที่หายสาบสูญไปนานถึงสิบเจ็ดปี โทบีถอดแบบดวงตาของโรสและรูปร่างสูงเพรียวของอัลเบิร์ตมาอย่างไม่ผิดเพี้ยว แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ยอมไว้ใจอะไรง่ายๆ ทำให้มหาเศรษฐีชรายังพยายามหาข้อจับผิดอีกฝ่ายอย่างเต็มที่
เขาซักไซ้ทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การลักพาตัวไปจนถึงชีวิตความเป็นอยู่ก่อนหน้าที่จะพบกับโรส โทบีก็เล่าเรื่องที่มารดากำมะลอแต่งเตรียมเอาไว้ให้ อาศัยข้ออ้างเรื่องวัยในขณะนั้น ทำให้ทุกอย่างในสมองของชายหนุ่มรางเลือนไปตามเวลา
โทบีเล่าว่า เขากับพี่เลี้ยงชาวไทยถูกจับขังไว้ในเรือประมงลำหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าโจรค่าไถ่พวกนั้นตั้งใจจะแล่นเรือไปที่ไหน... ระหว่างทาง เรือก็บังเอิญถูกโจรสลัดปล้น เขาถูกพวกโจรจับโยนลงทะเลให้จมน้ำตาย แต่เคราะห์ดีที่คลื่นซัดเขาไปติดชายฝั่งทางใต้ของสเปน...
แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงตามแผนการที่โรสวางไว้ในเวลานั้น นอกจากเรื่องโจรสลัดปล้นเรือ ที่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของตำรวจหลังจากพบซากเรือประมงถูกเผาและเกยหาดอยู่ในประเทศสเปน
ชายหนุ่มบรรยายต่อไปว่าเขาฟื้นขึ้นมาตามลำพังในที่ที่ไม่รู้จัก ได้แต่เดินร้องไห้ไปเรื่อยๆ เจอใครก็พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ซึ่งภาพความทรงจำในตอนนั้นเลือนหายไปเกือบหมดแล้ว รู้แต่ว่ามีคาราวานของชาวโรมา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือชาวยิปซี รับตัวเขาไปอุปการะ จากนั้นเขาก็เร่ร่อนไปเรื่อยๆ พร้อมกับคาราวาน จนกระทั่งถูกทางการสเปนขับไล่ ทุกคนจึงแยกย้ายกันไป ในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่กับคาราวานยิปซีเขาก็จำอะไรไม่ได้มาก รู้แต่ว่าตอนที่แยกกับพี่น้องชาวโรมา เขาโตพอสมควรแล้ว จึงตระเวนหางานทำไปตามเมืองต่างๆ ของสเปน จนกระทั่งย้ายมาอยู่ที่บาร์เซโลนาและพบเข้ากับโรส
น้ำเสียงขณะที่โทบีบอกเล่าถึงการเดินทางเร่ร่อนไปเรื่อยๆ นั้น ชายหนุ่มถ่ายทอดความรู้สึกในช่วงที่เขาอยู่กับนายหยางผู้เป็นพ่อ มันจึงแฝงไปด้วยอารมณ์โศกเศร้าและอาลัย ทำให้เคนเน็ธเชื่อจนหมดหัวใจว่าคำพูดของเขาเป็นเรื่องจริง
“ทำไมเราถึงไม่บอกใครล่ะว่าเป็นหลานปู่ ไม่อย่างนั้นก็คงมีคนช่วยพามาส่งที่อังกฤษตั้งนานแล้ว...”
“ข้อนี้ผมจำได้แม่นยำครับ... นีนาเคยกำชับผมไม่ให้ไว้ใจใคร...เธอบอกว่าถ้าผมรอดไปได้ อย่าบอกใครว่าผมนามสกุลชาร์ลสตัน อย่าบอกว่าเป็นหลานคุณปู่ เพราะจะมีคนคิดร้ายอีก... ผมก็เลยไม่เคยพูดถึงนามสกุลอีก... แล้วต่อมา... ผมก็ค่อยๆ ลืมไปจนหมดว่าตัวเองเคยชื่ออะไร...”
“นีนา...” พอได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงนรินทร์นารถ เคนเน็ธก็เกิดความสลดใจ... ถ้าเป็นเธอแล้วล่ะก็ เธอก็คงพยายามปกป้องเจโคบีอย่างนั้นจริงๆ... “น่าสงสารนีนาเหลือเกิน... เพราะปู่แท้ๆ ที่ทำให้นีนาต้องพลอยมารับเคราะห์ไปด้วย...”
“ผมพอจำได้รางๆ ว่านีนาพยายามขัดขวางพวกโจรสลัดไม่ให้ทำร้ายผม เธอก็เลย...” เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา แต่ฟังจากปากโรสแล้ว ทั้งเจโคบีและพี่เลี้ยงสาวก็คงเสียชีวิตพร้อมๆ กัน แล้วมันก็ทำให้เขาพลอยรู้สึกเศร้าใจไปด้วย
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว... แค่ปู่ได้เห็นเรากลับมาหาปู่อีกครั้งก็ดีที่สุดแล้ว...” มหาเศรษฐีชราค่อยๆ หลับตา ถอนหายใจช้าๆ“ว่าแต่... โรสไปเจอเบาะแสของเราได้ยังไงกัน เจค็อบ...” จู่ๆ ดวงตาเหี่ยวย่นแต่ยังมีแววตาทรงภูมิปัญญาและเฉียบแหลมก็ลืมโพลง หันไปมองตาโทบีอย่างจดจ่อ... เคนเน็ธเองก็อยากจะเชื่อทุกๆ คำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า แต่เขาก็ยังทำใจเชื่อสะใภ้ชาวจีนไม่ได้...
“เอ่อ... คุณแม่เห็นรูปถ่ายที่ผมเคยลงไว้ในอินเทอร์เน็ตโดยบังเอิญ... คุณแม่เชื่อว่าผมคือลูกชายที่หายตัวไปตั้งแต่ยังเด็ก ก็เลยให้นักสืบช่วยหาข้อมูล ที่อยู่ แล้วก็เดินทางไปตามหาผมด้วยตัวเองที่สเปนอีกหลายครั้ง... แต่ผม เอ่อ... ผมอยู่ไม่ค่อยเป็นหลักแหล่ง กว่าจะเจอกันจริงๆ ก็เมื่อไม่กี่วันก่อน...”
“รู้ไหมว่าตอนเด็กๆ น่ะ เจค็อบแทบไม่เคยรู้จักแม่ของเขาเลย...” เคนเน็ธจ้องเขม็งเข้ามาในดวงตาของเขา
โทบีใจหายวาบ แต่ก็พยายามรักษาอาการเอาไว้ “วันที่คุณแม่มาหาผมที่อพาร์ตเมนต์ ผมก็ไม่เชื่อว่าเธอเป็นแม่ครับ... เพราะผมจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย... แต่ผมจำได้แม่นยำว่าปู่ของผมเป็นชาวอังกฤษ... พอคุณแม่เล่าเรื่องลักพาตัวให้ฟัง เล่าเรื่องนีนา ผมก็เริ่มนึกภาพเก่าๆ ขึ้นมาได้บ้าง... แต่บอกคุณปู่ตามตรงว่า ตอนนี้ผมเองก็ยังนึกว่ามันเป็นแค่ความฝัน... เพราะผม... ผมจำมันได้น้อยมากจริงๆ...” ว่าแล้วก็ก้มลงซุกหน้าในฝ่ามือทั้งสองข้าง
“ปู่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรเราหรอกนะ... เพียงแต่ว่า เรื่องนี้มันเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนปู่มานานเหลือเกิน... ปู่เข้าใจ ถ้าเราเองก็พยายามลืมมันไปจากความทรงจำ เพราะคนเราย่อมต้องมีวิธีปกป้องตัวเองจากเรื่องโศกเศร้าสะเทือนใจอยู่แล้ว...”
“ผมอยากจะจำได้ครับ ผมอยากจะจำได้ทุกๆ เรื่อง... ตอนที่ผมอยู่กับคุณปู่... ตอนที่อยู่กับนีนาและทุกคนในบ้านหลังนี้...” เขาสะอื้น พูดถึงสิ่งที่กลั่นออกมาจากหัวใจ
โทบียอมรับว่าเขาอิจฉาคนที่เขากำลังสวมบทบาทอยู่... อิจฉาที่เจโคบีได้รับความรักจากคนมากมาย ทั้งโรส ทั้งพ่อบ้าน พี่เลี้ยงที่เสียชีวิตไปแล้ว จนถึงผู้เป็นปู่... แล้วมันก็ทำให้เขาอยากจะเป็นหลานชายของเคนเน็ธขึ้นมาจริงๆ... ไม่ใช่เพื่อทรัพย์สินเงินทองหรือความสุขสบาย...
“มันไม่สำคัญหรอกลูกเอ๊ย... ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่ที่บ้านกับปู่แล้ว ซักวันเราก็คงจะจำทุกอย่างได้เอง อย่าเสียใจไปเลย...” คนที่คิดว่าตัวเองเป็นปู่ ขยับเข้าไปโอบไหล่ชายหนุ่มเอาไว้ แล้วกอดกระชับด้วยความรักใคร่
“ครับคุณปู่...” โทบีตอบแผ่วๆ ในลำคอ
จากสิ่งที่โรสบอกก่อนหน้านี้ โทบียังเข้าใจมาตลอดว่า ‘ปู่’ ของเขาจะต้องเป็นคนดุดัน ร้ายกาจ และใจคอคับแคบ... จริงอยู่ที่สายตาของเคนเน็ธดูไม่ไว้วางใจเขาอย่างเต็มที่ แต่ความรักความห่วงหาอาทรที่สัมผัสได้นั้น ไม่ได้บ่งบอกเลยว่ามหาเศรษฐีชราจะเป็นคนใจจืดใจดำถึงขนาดที่จะไม่เห็นคนรับใช้หรือพนักงานบริษัทของตัวเองอยู่ในสายตา...
แค่ได้พูดคุยกันในฐานะปู่กับหลานเพียงชั่วโมงเศษ เขาก็เกิดความรักใคร่ชายชราเบื้องหน้าไม่ต่างจากปู่แท้ๆ แล้ว ในขณะเดียวกันเขาก็เคารพและสำนึกในบุญคุณของโรสเช่นกัน หากเป็นในเวลานี้ โทบียินดีและเต็มใจที่จะเป็นครอบครัวให้ทั้งสองพ่อสามีลูกสะใภ้โดยไม่ต้องมีผลประโยชน์ใดๆ เสียด้วยซ้ำ
ที่สำคัญ เขายังรู้สึกถึงความขัดแย้งที่มีอยู่ลึกๆ ระหว่างเคนเน็ธและแม่ม่ายชาร์ลสตัน แล้วเขาก็หวังว่าตัวเองจะสามารถทำให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้ในฐานะของ เจโคบี ชาร์ลสตัน
เพราะเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว นับต่อจากนี้ไป โทบีก็คงจะมีครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง...
เสียงเคาะประตูของซาคาเรียในตอนพลบค่ำบอกให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว หลังจากอาศัยอยู่ในเรือซีเซอร์เพนต์มาหลายวัน หญิงสาวก็เริ่มเคยชินจนไม่คิดจะใส่ใจต่อการปรากฏตัวของบริกรประจำตัว เธอเพียงแค่เหลือบตาไปมองขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านปลายเตียงไป แทบจะไม่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้อนามิกาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าซาคาเรียไม่ได้ถือถาดใบใหญ่เข้ามาในห้องเหมือนทุกครั้ง เขาแค่เข้ามาเก็บถ้วยชามใช้แล้วบนโต๊ะอาหารเพียงเท่านั้นอย่าบอกว่ากัปตันบ้านั่นแกล้งลงโทษเธอเรื่องเมื่อตอนเย็นด้วยการให้อดข้าวอดน้ำนะ...“เอ่อ...” ครั้นจะเอ่ยปากถามขึ้นมา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้เสียก่อน...เรื่องอะไรจะยอมเสียหน้าล่ะ... ไม่ให้กินเธอก็ไม่ง้อหรอก...“หิวข้าวหรือยัง มาดมัวแซลล์” ซาคาเรียหันมาถามราวกับรู้ทันความคิดเธอ อนามิกาส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่ในกระเพาะอาหารรู้สึกแสบร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว “กัปตันบอกให้เธออาบน้ำแต่งตัว... เสร็จแล้วจะให้คนมารับไปกินข้าว...” เขาบอกต่อด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไม่ต่างจากทุกครั้ง“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกฉงน“ที่ระเบียงท้ายเรือจัดโต๊ะเอาไว้... คืนนี้เธอไปกินที่น
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับผู้หญิงก็จริง แต่ท่าทีและคำพูดของหญิงสาวก็พอจะบอกอะไรให้เขารู้อยู่บ้าง“เป็นของฝากสำหรับแม่... เป็นคนไทยเหมือนกับเธอนั่นแหละ”“คนไทยเหรอคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงเบิกตากว้าง คุณเป็นลูกครึ่งไทยอย่างนั้นเหรอ”“ไม่ใช่... นีนาเป็นเหมือนแม่ของฉัน เธอเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็ก...”“แล้วพ่อแม่แท้ๆ ของคุณล่ะ”คิ้วของอัลวาโรขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เขาเคยคิดว่าตัวเองสนุกกับนิสัยช่างต่อปากต่อคำของอนามิกา แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าเธอพูดมากจนเขาชักจะเกลียดน้ำหน้าเสียแล้วสิ...อัลวาโรเติบโตขึ้นมาโดยมีอัลเฟรโดเป็นบิดาเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก ชายหนุ่มจดจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ไม่มากนัก และนรินทร์นารถก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษหรือเรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเขาอีกเลย บางครั้งที่เขาลืมตัวเอ่ยถามกับเธอ หญิงสาวก็จะมีท่าทางเศร้าซึมไป และอัลเฟรโดก็จะโกรธเขามาก มันจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งเขาไม่อยากพูดถึงแม้แต่น้อย“ตายไปหมดแล้ว ฉันมีแค่นีนากับอัลเฟรโดเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่”น้ำเสียงและสีหน้าของคนตรงหน้าบอกให้รู้ว่าอนามิกากำลังเปิดหีบแพนโดราโดยไม่ตั
คาซาบลังกาเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมร็อกโก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วยเรือซีเซอร์เพนต์เข้าจอดยังท่าเทียบของสโมสรเรือสำราญ นอติก เดอ ลา มารีน รอยัล ยอชต์คลับ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง บริเวณติดกันกับท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่กินอาณาเขตตลอดแนวชายฝั่งเป็นระยะทางเกือบสองไมล์อัลวาโรนำเธอลงจากเรือและเดินไปขึ้นรถลิมูซีนที่จอดรอให้บริการอยู่ด้านหน้าสโมสร ก่อนจะสั่งให้คนขับพาทั้งสองไปส่งยังแหล่งจับจ่ายสินค้าภายในตัวเมืองอนามิกาค่อนข้างแปลกใจที่พบว่าเมืองแห่งความรักอันแสนโรแมนติกแห่งนี้ ช่างแตกต่างไปจากภาพในความคิดของเธอเหลือเกิน เพราะปัจจุบัน สภาพความเจริญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนคาซาบลังกาให้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและผู้คน ดูไม่แตกต่างไปจากเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปไม่ช้าความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่ลึกๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นความผิดหวัง... สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมความรู้สึกของหญิงสาวได้บ้างก็มีเพียงภาพหอคอยสูงสีขาวทรงสี่เหลี่ยมของมัสยิดกษัตริย์ฮัสซัน ที่ 2 ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทร
นับตั้งแต่อัลวาโรเดินผลุนผลันออกไปในตอนเย็นเมื่อวาน เป็นเวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วที่เขาไม่ได้กลับเข้ามาเหยียบห้องพักของเธออีก หม่อมราชวงศ์หญิงอนามิกาควรจะโล่งใจที่ไม่ต้องทนเจอผู้ชายหลงตัวเอง แถมยังคิดจะเอารัดเอาเปรียบเธออย่างนั้น แต่พอไม่ได้เห็นหน้าเขานานๆ หญิงสาวกลับรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูกตามปกติแล้ว เธอมีพวงพะยอมเป็นเพื่อนคอยอยู่ใกล้ชิดเกือบตลอดเวลา แต่ในเวลานี้คนเดียวที่เธอพอจะพูดคุยด้วยได้ก็เหลือเพียงแค่ซาคาเรีย ชายหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คอยส่งอาหารให้วันละสามมื้อ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรกับเธอด้วยอนามิกากลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนนานเกือบชั่วโมง กว่าจะลุกขึ้นมานั่ง แล้วพบว่าเรือซีเซอร์เพนต์กำลังแล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง... ทีแรกหญิงสาวยังคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน ต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้งจึงมั่นใจว่าสถานที่ที่เธอมองเห็นตรงหน้าก็คือเมืองท่าที่เคยงดงามที่สุดของชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก เท่าที่เธอเคยรู้จักจากหนังสือนำเที่ยวและโปสการ์ดต่างๆ ในร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสไม่ผิดแน่ๆ... ที่นี่ก็คือคาซาบลังกา หรือ ‘บ้านสีขาว’ ตามความหมายชื่อภาษาสเปนของมัน...เธอมาถึงโมร็อกโกแล้วหรื
วินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นถี่รัวจวนเจียนจะหลุดออกมาจากหน้าอก สองขาที่ยืนอยู่เหมือนจะอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น กลิ่นลมหายใจสะอาดสดชื่น ผสมผสานกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ติดค้างอยู่บนใบหน้า และกลิ่นอายเฉพาะตัวของผู้ชาย มอมเมาให้สมองของเธอปั่นป่วนราวกับพายุหม่อมราชวงศ์หญิงก็รู้สึกหวิวๆ ในช่องท้อง สลับกับอาการเสียวแปลบปลาบคล้ายคนเป็นเหน็บชาเวลาใกล้จะหาย มันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน แล้วมันก็ทำให้เธอเกือบโผเข้าไปซบแผ่นอกกว้างตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว“คุณมันบ้า... หลงตัวเอง...” อนามิการีบหลับตาลง ข่มสติตัวเองพร้อมๆ กับพยายามควบคุมลมหายใจที่กระชั้นถี่ให้สงบลง ไม่มีเสียงตอบจากกัปตันหนุ่ม มีเพียงสัมผัสอุ่นๆ นุ่มละมุนที่แตะลงบนเปลือกตาของเธอเบาๆ...“เธอจะยอมฉัน...” เสียงอัลวาโรยังคงเป็นเสียงกระซิบทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ต้องลืมตาโพลง กัดริมฝีปากตัวเองแล้วจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของเขา...เธอเป็นราชนิกุลที่สืบทอดศักดิ์ศรีและสายเลือดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงส่ง...เธอจะไม่ยอมหวั่นไหวไปกับอารมณ์หรือถ้อยคำปลุกปั่นใดๆ เป็นอันขาดคิดแล้วก็รีบผลักร่างกัปตันหนุ่มเต็มแรงจนเขาเซถอย
ดวงตาของหม่อมราชวงศ์อนามิกายังจับจ้องอยู่ที่โคมไฟแก้วเจียระไนบนเพดานกลางห้องเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตามลำพังในห้องขังอันหรูหรา ในใจก็คอยครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เธอต้องกลายมาเป็นเชลยอยู่บนเรือโจรสลัดลำนี้หญิงสาวเลิกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองนานแล้ว เพราะหากกัปตันอัลวาโรคนนั้นคิดจะทำร้ายเธอจริงๆ ล่ะก็ เธอคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการอะไรกันแน่เสียงปลดล็อกไฟฟ้าที่ประตูห้องทำให้อนามิกาตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่นึกกลัวเขาอีก แต่ตราบใดที่เธอกับพวงพะยอมยังถูกขังอยู่ที่นี่ หญิงสาวก็ยังวางใจอะไรไม่ได้มาก อนามิกาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองตามสัญชาตญาณทันที และพบว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอนั่นเอง“ตื่นแล้วเหรอ...” อัลวาโรเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่พอจะคิดออก แต่พอพูดไปแล้วกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดตัวเองที่ถามอะไรโง่ๆ ออกไป“คุณคิดว่าวันๆ ฉันจะนอนตั้งแต่เช้ายันค่ำเลยเหรอคะ”“ก็ไม่แน่หรอก... เธออาจจะอยากต้อนรับฉันด้วยการนอนรอบนเตียงก็ได้นี่” กัปตันหนุ่มเหน็บกลั