หิมะยังคงโปรยปรายในวังหลวง แม้จะผ่านไปสามวันแล้วนับจากวันที่ไป๋ซูเหยียนก้าวเท้าเข้าสู่พระราชวังหลวง แต่ตำหนักเฟิ่งเยว่ก็ยังคงเงียบเช่นเดิม ไม่มีพระบัญชาใดจากฮ่องเต้ ไม่มีข่าวคราวจากท่านอ๋องสี่ และไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าของคนแปลกหน้าเดินผ่านบริเวณตำหนัก
นางกำนัลทั้งห้าในตำหนักเฟิ่งเยว่เริ่มกระซิบกระซาบกันเอง บางคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “ว่าที่พระชายา” อาจไม่มีความสำคัญเท่าที่พวกนางคิด หรืออาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากที่ไม่มีสิทธิ์เลือกเองได้ด้วยซ้ำ
ไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หอมประดับลายเมฆหมอก ดวงตาคมจ้องมองกลีบเหมยที่ปลิวผ่านหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย นางรอคอยคำอธิบายในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครอธิบายสิ่งใดให้ฟัง
“คุณหนู” เสียงของจิ่นฮวา นางกำนัลที่เป็นสาวใช้คนสนิทของไป๋ซูเหยียนดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
“วันนี้จะไม่กินอาหารเช้าหรือเจ้าคะ”
“ข้ายังไม่หิว” ซูเหยียนตอบเสียงเรียบ ๆ ดวงตายังคงเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
“หากท่านอ๋องสี่เสด็จมาเห็นว่าคุณหนูมิได้ดูแลสุขภาพ อาจจะ...”
“เขาไม่เคยมาที่นี่” ไป๋ซูเหยียนกล่าวขัดเสียงเรียบ ในใจขุ่นมัว
“สามวันแล้ว...แม้แต่เงาของเขา ข้าก็ยังไม่เห็น”
จิ่นฮวาก้มหน้าลง ไม่กล้าตอบโต้สิ่งใดอีก
“จิ่นฮวา” ซูเหยียนเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทเบา ๆ
“เจ้าคะ?”
“เจ้าคิดหรือไม่ ว่าการแต่งหมั้นครั้งนี้ มันคือการเลือกของข้าเองหรือเป็นการเลือกของใคร?”
นางกำนัลสาวเงียบงัน ก่อนกล่าวอย่างอ้อมค้อม
“การหมั้นหมายในราชวงศ์ มักมิใช่สิ่งที่หญิงใดมีสิทธิ์เลือกเจ้าค่ะ”
“นั่นสินะ...” ซูเหยียนแค่นยิ้มบาง
ก่อนค่ำของวันนั้นเอง ขันทีหลวงผู้หนึ่งก็มาถึง
“เชิญคุณหนูไป๋เข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักฉืออิง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
จากนั้นก็กล่าวขึ้นต่ออีก “ท่านอ๋องสี่ก็จะเข้าร่วมด้วย”
ซูเหยียนนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนลุกขึ้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“ในที่สุด... ในที่สุดข้าก็จะได้พบเขาเสียที”
ตำหนักฉืออิง
ภายในตำหนักของไทเฮามีเพียงกลิ่นกำยานและกลิ่นหอมยาสมุนไพรบาง ๆ ลอยคลุ้ง สตรีสูงวัยในอาภรณ์สีทองปักลายหงส์นั่งอยู่บนบัลลังก์เตี้ย ท่าทางเคร่งขรึมแต่สง่างาม ดวงตาคมนั้นกวาดมองนางราวกับกำลังประเมินในท่าที
ไป๋ซูเหยียนก้าวเข้าไปคำนับอย่างงดงาม
“หม่อมฉันไป๋ซูเหยียน ขอถวายบังคมไทเฮาเพคะ”
“อืม...” ไทเฮาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้จักตระกูลไป๋มานาน บิดาเจ้าคือหนึ่งในผู้ที่ข้าชื่นชมในความจงรักภักดี ครั้งนี้จึงให้เกียรติแก่เจ้าได้เข้ามาอยู่ในวัง”
ซูเหยียนเพียงกล่าวว่า “ขอบพระทัยเพคะไทเฮา”
ไทเฮามองตรงไปยังด้านข้าง แล้วเอ่ยว่า “หลี่เหยียน เข้ามาเถิด”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเข้ามาภายในห้อง เขาสวมฉลองพระองค์เรียบหรู อาภรณ์สีดำลวดลายมังกรฟ้า ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเยือกเย็นยิ่งกว่าหิมะขาวในฤดูเหมันต์ นัยน์ตาคมกริบดุจเหยี่ยว หากแต่ไม่แสดงอารมณ์ใด ดวงหน้างดงามประหนึ่งถูกแกะสลักขึ้นจากหยก
ไป๋ซูเหยียนยืนขึ้นช้า ๆ และสบตาเขา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันอย่างเป็นทางการ
“ถวายบังคมท่านอ๋องสี่เพคะ” เสียงของนางสงบนิ่งราวกับไม่ได้แปลกใจใด ๆ
หลี่เหยียนไม่ตอบ ไม่พยักหน้า ไม่แม้แต่จะรับการเคารพจากนางเลยด้วยซ้ำ ดวงตาของเขาเพียงปรายมามองชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะเบือนกลับไปยังไทเฮา ความเงียบในห้องเย็นเยียบยิ่งกว่าหิมะข้างนอก ไทเฮาหัวเราะเบา ๆ ราวกับว่าพระนางรับรู้ทุกสิ่ง
“เจ้าสองคนจะหมั้นหมายกันในเดือนหน้า ข้าไม่ต้องการพิธีใหญ่โตอะไร แค่ประกาศให้ทั้งวังรู้ก็พอ”
หลี่เหยียนยังไม่ตอบอะไรแม้แต่น้อย เขายังคงนิ่งเงียบ ไทเฮาจึงหันกลับมาทางซูเหยียน
“เจ้าคงได้เห็นแล้ว หลี่เหยียนมิใช่คนช่างพูด ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”
“หม่อมฉันมิได้คาดหวังคำพูดใดจากท่านอ๋องสี่หรอกเพคะ” ไป๋ซูเหยียนตอบกลับอย่างแนบเนียน
“เพียงหวังว่าการแต่งหมั้นนี้จะไม่ทำให้ท่านอ๋องสี่ทรงอึดอัดพระทัย”
หลี่เหยียนปรายตามามองนางอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นยังคงเยือกเย็น แต่เหมือนมีบางสิ่งแฝงอยู่ลึกในแววตาคู่นั้น
หลังจากเข้าเฝ้าไทเฮาเสร็จสิ้น ขบวนเสลี่ยงของไป๋ซูเหยียนก็ถูกส่งกลับตำหนักเฟิ่งเยว่ท่ามกลางหิมะที่ยังคงโปรยปรายไม่หยุด ดอกเหมยบานสะพรั่งเต็มสวนข้างทางที่เสลี่ยงผ่าน กลีบสีชมพูอ่อนลอยลู่ตามแรงลมราวกับกล่าวทักทายคนที่หวนคืน ในขณะที่นางนั่งนิ่งภายในเสลี่ยง สายตากลับทอดมองผ่านม่านผ้าไหมออกไปยังภายนอก
"เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยอะไรกับข้าสักคำ หรือเขาต่อต้านการหมั้นหมายครั้งนี้?"
ถึงแม้ในห้องของตำหนักฉืออิงจะเต็มไปด้วยความเงียบ แต่ทุกถ้อยคำที่ท่านอ๋องสี่ ไม่ได้ เอ่ยกลับหนักแน่นยิ่งกว่าคำใดในใต้หล้า ไป๋ซูเหยียนหลุบตาลง ลมหายใจแผ่วเบาทอดถอนออกมาเฮือกหนึ่ง นางไม่ใช่สตรีที่หวังในความรักจากชายสูงศักดิ์ แต่ก็ไม่ใช่หุ่นเชิดไร้หัวใจที่จะไม่รับรู้อะไรเลย และยิ่งในวันที่ชีวิตของนาง ถูกโยนเข้าสู่แผนการทางการเมืองโดยปราศจากคำถาม
นางก็ยิ่งอยากรู้...
“แท้จริงแล้ว เขาเป็นเพียงชายผู้เย็นชา หรือเป็นแค่ผู้ถูกบีบบังคับเช่นเดียวกับข้ากันนะ?”
ค่ำวันเดียวกันนั้น ตำหนักเฟิ่งเยว่กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง จิ่นฮวานำน้ำชามาให้ไป๋ซูเหยียน ขณะที่นางนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง ด้านนอกนั้นคือภาพของดอกเหมยกลางหิมะที่กำลังบานสะพรั่งเต็มต้น
“คุณหนู...” จิ่นฮวาเอ่ยอย่างลังเล
“ว่าอย่างไร”
“ท่านอ๋องสี่ไม่เสด็จมาตำหนักเลยเจ้าค่ะ แม้จะเป็นคืนหลังเข้าเฝ้าไทเฮาแล้ว”
ซูเหยียนหยุดมือที่กำลังเขียนพู่กัน หันหน้าช้า ๆ มองไปยังสาวใช้คนสนิท
“ข้ารู้”
“คุณหนูท่านจะ..จะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าจะรอ”
“รอหรือเจ้าคะ?”
“ใช่” เสียงของนางหนักแน่น “ข้าจะรอเขาเอ่ยปากปฏิเสธด้วยตนเอง ไม่ใช่ด้วยความเงียบ”
จิ่นฮวานิ่งงัน รู้สึกว่าไป๋ซูเหยียนในยามนี้ไม่ใช่เพียงคุณหนูจากตระกูลแม่ทัพอีกต่อไป คุณหนูที่นางรู้จักและเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก บัดนี้กลายเป็นสตรีที่แข็งแกร่งเกินกว่าจินตนาการของผู้คนในวังหลวง ไม่ใช่เพียงคุณหนูผู้เอาแต่ใจ ที่ชอบไปเดินเที่ยวเตร่ยืนเหม่อมองต้นไม้หลังภูเขาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
สามวันต่อมา
ราชสำนักประกาศ “พิธีหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ” ระหว่างท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน กับบุตรีแห่งตระกูลไป๋ ไป๋ซูเหยียน พิธีหมั้นถูกจะจัดขึ้นภายในตำหนักจิ้งเซียน โดยไม่ให้มีแขกมากนัก ด้วยเหตุผลว่า “เพื่อความปลอดภัยในยามขัดแย้งภายใน”
ซูเหยียนอ่านข้อความจากประกาศราชสำนักด้วยแววตาเรียบเฉย
“ในเมื่อไม่มีใครให้ข้าเลือก ข้าก็จะเลือกยืนอยู่ให้มั่นด้วยตัวข้าเอง”
วันพิธีหมั้น
หิมะหยุดตกตั้งแต่ยามเฉิน (ประมาณ 7 โมงเช้า) วันนี้ท้องฟ้าเปิด ดวงตะวันส่องผ่านกลีบเหมยที่ยังบานเต็มทั่วทั้งพระราชวัง กลีบสีชมพูแดงร่วงหล่นทั่วลานในตำหนักจิ้งเซียนราวกับว่าเป็นม่านอัญมณีจากฟ้า
ไป๋ซูเหยียนในชุดหมั้นสีเงินอ่อนลายดอกเหมยซ้อนมังกร เดินเข้าสู่ตำหนักท่ามกลางสายตานับสิบของขุนนางและขันทีที่เฝ้ามองเงียบ ๆ ด้านข้างคือหลี่เหยียนในฉลองพระองค์สีดำสนิท ใบหน้าเย็นชา ไร้รอยยิ้มเช่นเดิม เมื่อทั้งสองยืนเคียงกันต่อหน้าไทเฮาและขุนนางผู้สูงศักดิ์ ผู้ดำเนินพิธีแห่งราชสำนักจึงเอ่ยเสียงก้อง
“บัดนี้ ด้วยพระบัญชาจากสวรรค์เบื้องบน และตามคำเห็นชอบขององค์ฮ่องเต้ ทรงมีพระราชโองการให้ท่านอ๋องสี่แห่งแคว้นหลานโจว หมั้นหมายกับธิดาของไป๋เทียนหย่งแห่งสกุลไป๋ ขอให้ผู้เกี่ยวข้องให้คำสัตย์!”
ไป๋ซูเหยียนก้าวออกมาแล้วคุกเข่าลงกลางตำหนัก ก่อนเอ่ยถ้อยคำมั่นอย่างไม่ลังเล
“หม่อมฉัน ไป๋ซูเหยียน ขอให้คำสัตย์ต่อหน้าฟ้าดิน ว่าจะเคารพ ยึดมั่น และไม่คิดทรยศต่อชายที่หม่อมฉันยืนเคียงข้างในวันนี้ ไม่ว่าฟ้าจะเปลี่ยนหรือหิมะจะร่วง ก็จะไม่เปลี่ยนใจ”
ทุกคนในตำหนักสงบนิ่ง แทบไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ และเมื่อถึงเวลาที่หลี่เหยียนควรจะก้าวออกมากล่าวคำสัตย์ของตน เขากลับยังยืนนิ่ง ทุกสายตาจับจ้องไปยังเขา ไทเฮาเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเริ่มแข็งกระด้าง ไป๋ซูเหยียนก้มหน้าอยู่กับพื้น รอคอยคำกล่าวจากเขา อึดใจหนึ่งที่ยาวนานดั่งชั่วกาล แล้วในที่สุด เขาก็เอ่ยเสียงเย็นและเรียบชัด
“ข้า หลี่เหยียน ขอรับคำสัตย์นี้ไว้ แต่จะให้คำใดตอบกลับ ข้าขอรอให้รู้จักนางมากกว่านี้เสียก่อนจึงค่อยกล่าว”
เสียงซุบซิบในหมู่ขันทีและขุนนางดังแผ่วเบา ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตานิ่งสงบ
“ท่านปฏิเสธข้า โดยมิได้ปฏิเสธ ท่านรับคำสัตย์ แต่ไม่สัญญาใดตอบกลับ...” นางเอ่ยในใจ
หลังพิธีหมั้นเสร็จสิ้น คำสัตย์อันไร้ถ้อยคำตอบกลับจากท่านอ๋องสี่กลายเป็นเสียงกระซิบระงมไปทั่วตำหนักใน ราวกับเงาเย็นที่แผ่ซ่านไปยังทุกซอกมุมของวังหลวง ขุนนางบางคนกล่าวว่า ท่านอ๋องสี่เพียงสงวนท่าที บางคนกระซิบกระซาบว่าเขาต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้ในใจ และบางคนเชื่อว่า เขาไม่ใช่คนเลือกหญิงผู้นี้ด้วยตนเอง
แต่ไป๋ซูเหยียนไม่ได้กล่าวสิ่งใด นางเพียงกลับมายังตำหนักเฟิ่งเยว่ นั่งลงต่อหน้ากระจกสำริดเก่าอย่างเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้สาวใช้ม้วนผม ดึงปิ่น และเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ให้อย่างเงียบเชียบ กระจกสะท้อนใบหน้าของหญิงสาวอายุสิบแปดปีที่สงบงดงามแต่ตอนนี้กลับดูเหมือนไร้ชีวิต
“คุณหนู...” เสียงของปี้อิง สาวใช้อาวุโสที่ติดตามนางมาตั้งแต่เด็กดังขึ้น
“ท่านเสียใจหรือไม่”
ซูเหยียนมองตัวเองในกระจก ก่อนเอ่ยเบา ๆ “เสียใจหรือ ก็อาจจะมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่กล่าวคำตอบกลับ”
“แล้วเพราะเหตุใดเล่าเจ้าคะ?”
“เพราะเขาทำให้ข้ารู้ว่า สิ่งที่ข้าเคยเชื่อว่าอาจจะใช่ มันอาจไม่ใช่เลยก็ได้”
นางเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักไม้ หยิบแผ่นกระดาษบาง ๆ ออกมาแผ่นหนึ่ง มันคือบทกลอนที่เขียนขึ้นด้วยลายมือของนางในวัยเด็ก กระดาษสีซีดเลือน แต่ตัวอักษรยังคงชัดเจน
“ใต้ต้นเหมย เจ้าช่วยข้าไว้ เจ้าคือความอบอุ่นในคืนหิมะตกหนัก ข้าจะจดจำเจ้า ถึงแม้เจ้าอาจจะลืมข้าไปแล้ว...”
คืนวันเดียวกันนั้น ไป๋ซูเหยียนตัดสินใจออกเดินสำรวจบริเวณวังชั้นในที่ตนได้รับอนุญาต นางมักจะพาเพียงจิ่นฮวาไปด้วยเสมอ และสวมชุดคลุมเรียบง่ายไม่ประดับตราตำแหน่ง
ในค่ำคืนนั้นเอง ที่นางหลงเข้าไปยังเขต “สวนมังกรเงา” เขตที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเข้าไปเพราะเป็นตำหนักร้างของอดีตราชโอรสองค์หนึ่งที่เสียชีวิตอย่างลึกลับเมื่อสิบปีก่อน นางพบศาลาหินเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นเหมยโบราณเก่าแก่ กลีบเหมยร่วงลงบนโต๊ะหินที่มีพิณตัวหนึ่งวางไว้โดยที่ไม่รู้เลยว่าพิณนั้นมาจากไหน เป็นของผู้ใด เหตุใดถึงมาวางอยู่ที่ตรงนี้
จิ่นฮวาหวาดกลัวอย่างยิ่ง “คุณหนู ที่นี่เป็นเขตต้องห้ามนะเจ้าคะ!”
“ชู่...” ซูเหยียนยกนิ้วแตะริมฝีปาก “ได้ยินหรือไม่?”
เสียงพิณแผ่วเบาดังมาจากที่ที่ไกลออกไป ไม่ใช่เสียงของลม ไม่ใช่เสียงของกลีบไม้ตกกระทบพื้นหิน แต่เป็นเสียงบรรเลงพิณจริง ๆ นางเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด...
และแล้วนางก็เห็นเขา เขาผู้นั้น
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาว ผมนุ่มยาวถึงกลางหลัง กำลังนั่งเล่นพิณใต้เงาต้นเหมย เสียงที่ออกมานั้น คือบทเพลงที่นางจำได้ดีจากวัยเด็ก เป็นเพลงเดียวกับที่เด็กชายในคืนนั้นเคยเล่นให้นางฟัง นางยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน กลีบเหมยโปรยจากฟ้าลงคลุมพื้นราวกับม่านหิมะสีแดงจาง ๆ เขาไม่เหลือบตามองนางเลยแม้แต่น้อย เล่นพิณจนจบบทเพลง แล้ววางมือลงเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม
“เพลงนี้ สำหรับใครหรือ?” เสียงของเขาทะลุความเงียบ
“ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร” ไป๋ซูเหยียนพูดช้า ๆ “มันคือเสียงที่อยู่ในหัวข้ามานานแล้ว ข้าคิดว่า มันคือเพลงของความทรงจำ”
เขาหันหน้ากลับมา เป็นใบหน้าที่แตกต่างจากหลี่เหยียน มันอ่อนโยนกว่า อบอุ่นกว่า มีรอยยิ้มจาง ๆ ซ่อนอยู่ในแววตา
“ท่านคือผู้ใด?” ซูเหยียนถาม
เขายกมือประสานกัน “ข้าชื่อม่อเสวี่ย เป็นเพียงข้ารับใช้หลวง มีหน้าที่ดูแลสวนและเครื่องดนตรีในวังหลัง”
ซูเหยียนขมวดคิ้วเบา ๆ ม่อเสวี่ยงั้นหรือ ใบหน้าของเขาเหมือนกับเด็กคนนั้นในความทรงจำทรงจำของนาง แต่ชื่อของเขา ไม่ใช่ชื่อที่นางเคยได้ยิน
ม่อเสวี่ยนั่งสงบอยู่ใต้ต้นเหมย ดวงตาคู่นั้นมองนางด้วยสายตาไม่แปลกใจ ไม่ตื่นตระหนก แม้จะรู้ว่านางคือว่าที่พระชายาของท่านอ๋องสี่
“ท่านมาที่นี่ เพราะเสียงพิณ หรือเพราะคำถามในใจ?” เขาเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“ข้าคิดว่าเป็นทั้งสองอย่าง” ไป๋ซูเหยียนตอบ พลางเดินเข้าไปช้า ๆ จนหยุดยืนห่างจากเขาเพียงก้าวเดียว
“บทเพลงของท่านเมื่อครู่ เหมือนเสียงในอดีตที่ข้าเคยได้ยิน”
“ท่านเคยฟังมันเมื่อไหร่หรือ?” เขายิ้มบางเอ่ยถาม แต่ไม่ลุกขึ้น
“เมื่อสิบปีก่อน คืนหิมะแรก ใต้ต้นเหมย ข้ามีคำสัตย์กับเด็กคนหนึ่ง เขาคือคนที่เล่นเพลงนี้ให้ข้าฟังหลังจากที่ช่วยข้าไว้”
ม่อเสวี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเบา ๆ “ข้าไม่อาจตอบได้ว่า ข้าคือเด็กคนนั้นหรือไม่” เขาเงยหน้าขึ้นมองกลีบเหมยที่ปลิวลงมา
“แต่หากท่านเชื่อว่าเสียงเพลงนี้คือคำตอบ จงฟังให้ลึกกว่ากลอนดนตรี จงฟังมันด้วยหัวใจของท่าน”
ไป๋ซูเหยียนยืนนิ่ง “ท่านชื่อม่อเสวี่ย แล้วท่านอยู่ในวังมานานหรือยัง?”
“ข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อสามปีก่อน” เขาตอบ “แต่ก่อนนั้น ข้าเคยอยู่ที่ชายแดน เป็นนักดนตรีเงาของราชสำนัก”
“นักดนตรีเงาหรือ?”
“ใช่” ม่อเสวี่ยกล่าวยิ้ม ๆ “เราไม่มีชื่อ ไม่มีเสียง ไม่มีตัวตน แต่มีดนตรีในหัวใจ”
คำตอบของเขาแปลกนัก เหมือนร้อยเรียงด้วยความคลุมเครือและความจริง
“แล้วเหตุใดท่านจึงมาอยู่ในเขตต้องห้ามนี้ด้วยเล่า?” ซูเหยียนยังคงถามต่อ
ม่อเสวี่ยไม่ตอบในทันที เขาเพียงลุกขึ้น ยกพิณเก็บใส่กล่องอย่างแผ่วเบา แล้วกล่าวเพียงว่า
“เพราะข้าก็มีคำสัตย์กับต้นเหมยต้นนี้เช่นกัน”
ไป๋ซูเหยียนชะงักไป หัวใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เขาก็มีคำสัตย์?”
หรือว่า...
“ท่านคือเขาจริง ๆ หรือ?”
แต่ม่อเสวี่ยกลับเดินจากไปในเงาหิมะเสียก่อนที่จะมีคำถามใดหลุดจากริมฝีปากของนาง
หลังจากคืนนั้น ไป๋ซูเหยียนเริ่มออกจากตำหนักบ่อยขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อไปหาท่านอ๋องสี่ หากแต่เพื่อค้นหาชายลึกลับผู้เล่นพิณใต้ต้นเหมยผู้นั้น ม่อเสวี่ยไม่ได้โผล่มาในสวนทุกคืน บางครั้งก็หายไปหลายวัน ทิ้งให้นางนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง มีเพียงเสียงลมหิมะพัดผ่าน และกลีบเหมยที่ปลิวลงแตะหลังมือ แต่ในทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว เขาจะเล่นเพลงเดิมให้ฟังโดยไม่พูด ไม่อธิบายอะไร นางเฝ้าฟังอย่างเงียบ ๆ รอคอยคำตอบที่ไม่มีใครพูดออกมา
จนกระทั่งคืนหนึ่ง วันที่หิมะตกหนักเป็นพิเศษ ไป๋ซูเหยียนนั่งรออยู่ใต้ต้นเหมยตั้งแต่พลบค่ำ กลีบเหมยเปียกน้ำหิมะจนกลายเป็นสีแดงช้ำ ลมหนาวกัดผิวจนมือของนางเริ่มชา แต่ดวงตาของนางยังจับจ้องไปในเงามืดของเส้นทางที่เขามักจะมา
และแล้ว...
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้น แต่ไม่ใช่นั่นม่อเสวี่ย เป็นท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน ในฉลองพระองค์สีเข้ม ใบหน้าราบเรียบ และดวงตาเยือกเย็นที่จ้องตรงมาที่นาง
“ท่านอ๋องสี่…” ไป๋ซูเหยียนลุกขึ้นช้า ๆ
เขาไม่เอ่ยคำใดในตอนแรก เพียงแค่ยืนมองนาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ข้ามิได้สั่งให้เจ้ามาที่เขตต้องห้ามนี้”
“หม่อมฉันเองก็มิได้ขออนุญาตเช่นกัน” นางตอบอย่างกล้าหาญ
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร ถึงกล้ามาเถียงกับข้าในเขตวังหลวง?” น้ำเสียงของเขาแม้สงบ แต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน
“หม่อมฉันเป็นเพียงผู้ที่ต้องหมั้นหมายกับพระองค์ โดยไม่มีสิทธิ์เลือก”
หลี่เหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวเบา ๆ แต่เฉียบคม “ข้าเองก็เช่นกัน”
เสียงหิมะร่วงลงกระทบพื้นดังแผ่วเบา แต่ในใจของทั้งสอง ราวกับเกิดเสียงระเบิดเงียบขึ้นพร้อมกัน หลี่เหยียนจ้องมองนางอยู่เนิ่นนาน
“อย่ามายุ่งกับข้ารับใช้ในเขตต้องห้ามอีก” เขากล่าวในที่สุด
“หากพระองค์หมายถึงม่อเสวี่ย เขาเป็นเพียงผู้เล่นพิณที่ทำให้หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันยังมีหัวใจ”
หลี่เหยียนขมวดคิ้ว แต่ไม่พูดตอบสิ่งใดอีก เขาหันหลังเดินหายไปในม่านหิมะ
ไป๋ซูเหยียนยืนอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางความเงียบสงัดและคำสัตย์ที่ถูกผูกไว้กับคนสองคน คนหนึ่ง เคยให้สัญญาไว้ในอดีต ส่วนอีกคน คือว่าที่สามีในปัจจุบัน แต่ทั้งสองคน ต่างก็เป็นผู้ที่นางไม่มีสิทธิ์เลือก
ในโลกที่ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ความรู้สึกจะกลายเป็นเพียงบทกลอนของฤดูหนาวเท่านั้นใช่หรือไม่?
เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข
ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า
หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน
ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง
ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้