วังหลวงแห่งหลานโจวไม่เคยเงียบสงบ แม้ในยามหิมะตกหนักปิดฟ้า ทหารยามยังคงเดินลาดตระเวนตามจุด ขันทีและนางกำนัลยังคงก้มหน้าเดินเร็วในทางเดินอันซับซ้อน กลิ่นยาสมุนไพรจากตำหนักในลอยอ้อยอิ่งเคล้ากับกลิ่นน้ำหอมจางจากกิ่งเหมยที่โปรยปรายอยู่ทั่วบริเวณ
ภายใต้ความสงบงามนั้น วังหลวงกลับเต็มไปด้วยเงาเงียบ เป็นเงาของการจับตามอง
เงาของความระแวดระวัง และเงาของความลับที่ยิ่งหนาวเหน็บยิ่งกว่าหิมะที่โปรยจากฟ้าไป๋ซูเหยียนรู้สึกถึงเงานั้น แม้นางจะอยู่เพียงในตำหนักเฟิ่งเยว่อย่างสงบ แต่นางรู้ดีว่าไม่มีวันใดที่สายตาเหล่านั้นจะละไปจากตนในทุกย่างก้าวทุกคำพูดแม้แต่ขณะที่นางยืนดูดอกเหมยบาน ก็ยังมีใครบางคนจ้องมองจากที่ใดที่หนึ่ง แต่ไป๋ซูเหยียนไม่เคยหวั่น
ยามซื่อ (09.00 น.)
“คุณหนูเจ้าคะ มีพระบัญชาจากท่านอ๋องสี่เจ้าค่ะ”
จิ่นฮวารีบเดินเข้ามาพร้อมตราสัญลักษณ์ของตำหนักหย่งจิ้งในมือ
ไป๋ซูเหยียนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือบทกวีบนโต๊ะ “เขามีบัญชาหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ พระองค์ทรงเชิญให้ว่าที่พระชายาไปที่ตำหนักหย่งจิ้งในยามอู่เจ้าค่ะ” (ประมาณ 11.00 น.)
“ได้บอกเหตุผลหรือไม่?”
“มิได้กล่าว แต่เป็นครั้งแรกที่ทรงมีบัญชาเชิญท่านโดยตรง”
ยามอู่ ตำหนักหย่งจิ้ง
ตำหนักของท่านอ๋องสี่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในเขตพระราชวังด้านตะวันตก รายล้อมด้วยกำแพงสูงและสระน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว ต้นเหมยที่ปลูกรอบตำหนักนี้สูงใหญ่และดูเก่าแก่ ต่างจากต้นเหมยอ่อนในสวนของตำหนักทั่วไป
บ่าวรับใช้ล้วนมีสีหน้านิ่งเรียบ ไม่มีใครยิ้ม ไม่กล่าวทักทาย ไป๋ซูเหยียนก้าวผ่านประตูตำหนักเข้ามาอย่างสงบ ชุดที่นางสวมเป็นผ้าไหมสีเงินปักลายเมฆหิมะ ดูเรียบหรูแต่ไม่โอ่อ่าเกินฐานะ หลี่เหยียนนั่งอยู่ตรงศาลากลางสวน พื้นปูด้วยไม้หอม ด้านหลังคือผนังที่ประดับภาพวาดหมึกจีนรูปกิ่งเหมยในพายุหิมะ เขาเงยหน้ามองนางเพียงครู่ ดวงตาคู่นั้นยังคงว่างเปล่าแต่ลึกเกินหยั่งถึง
“ท่านอ๋องสี่ทรงเรียกหาหม่อมฉันหรือเพคะ” นางประสานมือคำนับ
หลี่เหยียนไม่ตอบทันที เขาเพียงวางจอกชาในมือลงแล้วกล่าวเสียงเรียบ
“ข้าสงสัยในบางสิ่ง จึงอยากถามเจ้าด้วยตัวเอง”
“หากตอบได้ หม่อมฉันยินดีตอบเพคะ”
“เจ้ารู้จักม่อเสวี่ย มานานเท่าใดแล้ว”
คำถามนั้นตรงนัก รวดเร็ว และไม่หลีกเร้น ไป๋ซูเหยียนชะงักเล็กน้อย แต่ยังคงสงบนิ่ง
“ไม่กี่ครั้งเพคะ เราพบกันโดยบังเอิญ ในสวนเงาเหมย”
“โดยบังเอิญหรือ?” น้ำเสียงของท่านอ๋องสี่แฝงแววเยาะเย้ยเบา ๆ
“หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ หากแต่วังนี้มีเพียงไม่กี่แห่งที่กลีบเหมยปลิวลงดินอย่างเงียบงัน หม่อมฉันเพียงแค่ชอบไปที่นั่น”
หลี่เหยียนมองนางนิ่ง ๆ “เขาพูดอะไรกับเจ้าหรือไม่?”
“ไม่มากนัก” นางตอบตามตรง “ส่วนใหญ่เขาเพียงแค่เล่นพิณเพคะ”
หลี่เหยียนไม่พูดอะไรต่อ เพียงปรายตามองออกไปยังต้นเหมยที่บานสะพรั่งด้านนอกศาลา เงียบไปครู่ใหญ่ เขาก็กล่าวขึ้นเบา ๆ
“ข้าไม่ชอบเสียงพิณ”
คำพูดนั้นราวกับมิได้พูดถึงพิณเลยแม้แต่น้อย ไป๋ซูเหยียนพยักหน้าช้า ๆ
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
เขาหันกลับมาจ้องนาง “แล้วเจ้า ชอบเสียงพิณหรือไม่”
“หม่อมฉันชอบเพคะ แต่ไม่ใช่ทุกบทเพลง”
“แล้วเพลงของเขา เจ้าชอบหรือไม่”
นางสบตาเขา “หม่อมฉันไม่แน่ใจ ว่าชอบเพลง หรือชอบความทรงจำที่มากับเพลงนั้นกันแน่”
คำตอบนั้นทำให้หลี่เหยียนเงียบงันไม่พูดสิ่งใด
เป็นความทรงจำหรือคนที่อยู่ในความทรงจำกันแน่ที่เจ้าเฝ้ารอ...
หลังจากบทสนทนาที่เหมือนจะจบลง หลี่เหยียนก็ลุกขึ้นจากศาลาหิน เดินผ่านไป๋ซูเหยียนไปโดยไม่พูดอะไรอีก แต่ก่อนที่เงาของเขาจะลับจากบานประตู เขากลับหยุดลง และกล่าวเสียงเบาโดยไม่หันกลับมา
“ในวังหลวง ไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเองอย่างแท้จริง” เสียงนั้นเย็นชา ทว่าหนักแน่น
ไป๋ซูเหยียนยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นเหมย กลีบเหมยปลิวตกลงบนบ่าของนางช้า ๆ
“แม้แต่ความทรงจำ ท่านก็ไม่ให้ข้าถือครองหรือ?”
หลังจากวันนั้น ข้อความลับเล็ก ๆ หลายฉบับก็ถูกส่งถึงตำหนักเฟิ่งเยว่ มันไม่ได้มาจากท่านอ๋องสี่ แต่มาจากม่อเสวี่ย ทุกฉบับไม่ได้เขียนด้วยลายมือโดยตรง แต่เป็นบทกลอนสั้น ๆ ที่แนบมากับกิ่งเหมยดอกเดียว
“ในหิมะขาว ข้าฝากใจไว้กับกลีบสีชมพู หากเจ้ารู้ ก็จงมาที่ต้นเหมย ในยามเดือนดับ”
ไป๋ซูเหยียนอ่านจบแล้วเงียบอยู่นาน มือของนางกำบทกลอนนั้นแน่น แววตาเคร่งขรึม
คืนเดือนดับ ยามจื่อ (เที่ยงคืน)
ท้องฟ้าปราศจากดวงดาว มืดสนิทมีเพียงหิมะตกเบา ๆ ดุจสายไหมร่วงช้า ๆ จากฟากฟ้า ไป๋ซูเหยียนเดินเพียงลำพังไปยังสวนลึกหลังเขตตำหนัก กลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นในความมืดคล้ายกับฝันในยามหลับใหล
และที่นั่น...
ม่อเสวี่ยกำลังนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ดังเดิม มือเรียวยาวกำลังบรรเลงพิณอย่างช้า ๆ เสียงพิณนั้นแผ่วเบาแต่กระทบใจอย่างลึกซึ้ง
“ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังทำให้ข้าลำบาก” นางเอ่ยเบา ๆ เมื่อเข้าใกล้
เขายิ้มบาง “ท่านไม่ต้องมาก็ได้”
“แต่ข้าก็มาแล้ว”
ม่อเสวี่ยวางมือจากพิณ ดวงตาของเขาไม่เหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ มีความร้อนรนบางอย่างซ่อนอยู่
“ข้าเคยเชื่อว่า หากเจ้าไม่จดจำ ข้าจะไม่ทวงถาม แต่เมื่อข้าเห็นเจ้าหมั้นกับเขา หัวใจของข้ากลับไม่สงบเลยแม้แต่น้อย”
“ทะ...ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ไป๋ซูเหยียน” เขาเรียกชื่อนางอย่างมั่นคง
“ข้ายังรออยู่ที่ต้นเหมย ในหิมะ และในความเงียบนี้มาโดยตลอด”
เสียงหัวใจของนางเต้นระรัวราวจะหลุดออกมาจากอก
“ท่านคือเขา...” เสียงของนางแผ่วเบา
ม่อเสวี่ยไม่ตอบ ไม่ยืนยัน ไม่ปฏิเสธ เพียงแค่สบตานางอยู่อย่างนั้น
“เหตุใดจึงไม่พูดออกมาตรง ๆ” นางถามเสียงสั่น “เหตุใดต้องใช้เพียงเพลง บทกลอน และเงาเหมยพูดแทนหัวใจของท่าน?”
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ราวกับต้องกลั้นบางสิ่งไว้ในอก
“เพราะข้ามิอาจพูดได้ มิใช่เพราะไม่อยาก แต่เพราะหากข้าเอ่ยเพียงคำเดียว ข้าอาจไม่มีสิทธิ์ได้ยืนอยู่ตรงนี้อีก”
ไป๋ซูเหยียนขมวดคิ้ว “ข้าไม่เข้าใจ...”
ม่อเสวี่ยยกมือขึ้นประสานกัน “ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจในตอนนี้ ข้าเพียงอยากให้ท่านจำไว้ว่า กลีบเหมยไม่เคยโกหก มันจะบานเฉพาะต่อผู้ที่เคยให้คำสัตย์เท่านั้น”
นางยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หิมะตกลงบนเส้นผมดำขลับ ดวงหน้างาม และเปลือกตาดวงตานั้นที่กำลังสั่นไหวระริก
ความทรงจำที่พร่าเลือน เริ่มกลับมา...
ในคืนหิมะแรก ต้นเหมย และเด็กชายผู้นั้น...
และม่อเสวี่ยกับสายตาที่อ่อนโยนเฉกเช่นกันทุกครั้งที่พวกเขาพบกัน
ใช่แล้ว ม่อเสวี่ยคือเขา
เป็นเขา...
แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยสิ่งใด เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นจากเงามืด เสียงฝีเท้าหนักแน่น เสียงลมหายใจที่เก็บกลั้น
“แม้ในเขตต้องห้าม เจ้าก็ยังกล้าเหยียบย่างเข้ามา”
เสียงนั้นเย็นเฉียบและเป็นเสียงของหลี่เหยียน ม่านหิมะขาวเบื้องหน้าแตกกระจายราวกับถูกมีดเฉือน ลมเย็นวูบหนึ่งพัดเข้ามาในศาลาใต้ต้นเหมย ร่างสูงในฉลองพระองค์สีดำปรากฏกายใต้เงาไม้
หลี่เหยียนมีสายตาเย็นชาเฉียบคม กวาดมองทั้งสองคนที่ยืนห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว เสียงฝีเท้าเขาหนักแน่น เชื่องช้า แต่ทว่าแฝงไปด้วยพลัง
“ม่อเสวี่ย เจ้ายังไม่รู้ตำแหน่งของตัวเองดีพอหรือ?”
ม่อเสวี่ยย่อกายคำนับทันที “กระหม่อมมิได้ตั้งใจล่วงเกินท่านอ๋อง เพียงผ่านมาในสวนหลัง ตรงนี้ยังอยู่ในเขตเปิด”
“เจ้าจะกลบเกลื่อนด้วยถ้อยคำเช่นนี้หรือ?” น้ำเสียงของหลี่เหยียนคมกริบ
ม่อเสวี่ยยังคงนิ่ง ไม่โต้ตอบ หลี่เหยียนหันขวับมาทางไป๋ซูเหยียน
“แล้วเจ้าเล่า ว่าที่พระชายา ยามเที่ยงคืนในคืนเดือนดับ เจ้าควรจะอยู่ที่ใด?”
คำถามนั้นราวกับมีดปลายแหลมทิ่มลงกลางอก ซูเหยียนก้าวออกมายืนตรง หิมะเกาะเต็มผมและไหล่ แต่เสียงของนางยังมั่นคง
“หากท่านอ๋องสี่ต้องการตำหนิ หม่อมฉันก็พร้อมรับ แต่หากถามว่าหม่อมฉันมาทำไม หม่อมฉันก็จะตอบอย่างสัตย์จริง หม่อมฉันมาเพราะอยากรู้ว่าอดีตของหม่อมฉัน คือสิ่งที่หม่อมฉันคิดไปเอง หรือเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง”
ดวงตาของหลี่เหยียนแคบลง “อดีต?”
“สิบปีก่อน ใต้ต้นเหมยในหิมะแรก หม่อมฉันกับเด็กชายผู้หนึ่งให้คำสัตย์ต่อกัน หม่อมฉันเคยเชื่อว่า เขาคือผู้ที่หม่อมฉันจะรอ แม้จะไม่มีชื่อ แม้จะไม่มีเงา หม่อมฉันเคยคิดว่า เขาผู้นั้นอาจเป็นพระองค์ แต่วันนี้ หม่อมฉันรู้แล้ว เขาไม่ใช่พระองค์...”
บรรยากาศเงียบงันทันทีที่คำพูดสุดท้ายหลุดออกจากปากนาง ม่อเสวี่ยหลุบตาลงต่ำ หายใจแผ่ว หลี่เหยียนนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ
“ใช่ ข้าไม่ใช่เขา”
คำพูดนั้นตรงยิ่งกว่าทุกถ้อยที่ผ่านมา ไม่ใช่การปฏิเสธด้วยความเงียบเฉกเช่นทุกครั้ง แต่เป็นการตัดความหวังอย่างเด็ดขาด ไป๋ซูเหยียนยืนนิ่ง ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย
“เช่นนั้น หม่อมฉันจะไม่รอคำสัญญาจากพระองค์อีก”
“เจ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์เลือกหรือ?” หลี่เหยียนถามเสียงเบา
“ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์เลือกสิ่งใดเลย แต่สิ่งเดียวที่หม่อมฉันเลือกได้ คือความรู้สึกของตัวเอง”
หลี่เหยียนสบตานาง ราวกับจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ เขาหันหลังกลับ เดินฝ่าหิมะจากไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เสียงฝีเท้าของเขาหายลับไปในเงาเหมย เหลือเพียงไป๋ซูเหยียนกับม่อเสวี่ย ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน
“ท่านควรกลับตำหนัก” ม่อเสวี่ยเอ่ยเบา ๆ
“ข้ากลับไปไม่ได้” นางพูดทั้งที่ยืนนิ่ง
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะหัวใจข้ายังอยู่ที่นี่” นางยกมือแตะอกเบา ๆ “และเจ้าก็รู้ดีว่าข้าไม่เคยลืม”
ม่อเสวี่ยยิ้มจาง ๆ “แต่ข้าอาจไม่ใช่ผู้ที่ท่านควรจดจำ”
“แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ ม่อเสวี่ย?” เสียงของนางแผ่วเบาแต่แน่วแน่
เขาสบตานาง แล้วกล่าวช้า ๆ “ข้าคือเงา เงาที่มีอยู่เพื่อทดสอบว่า ท่านจำคำสัตย์นั้นได้หรือไม่”
ดวงตาไป๋ซูเหยียนเบิกกว้าง แต่ก่อนที่นางจะถามอะไรต่อ ม่อเสวี่ยก็ถอยห่างออกไปช้า ๆ พร้อมกล่าวต่อ
“หากวันหนึ่งท่านได้รู้ความจริง จงอย่าร้องไห้ แม้กลีบเหมยจะร่วงกลางหิมะอีกครั้ง”
กลีบเหมยปลิวว่อนทั่ววังในวันรุ่งขึ้น และคำลือจากวังใน เริ่มกระซิบกระซาบกันว่าพระชายาน้อยแห่งท่านอ๋องสี่ ถูกจับตาจาก “สำนักอิงเซียน” ผู้ที่เคยกล่าวคำทำนายว่า...
“หากหญิงผู้นั้นรักท่านอ๋องสี่เมื่อใด ราชวงศ์จะล่มสลาย”
เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข
ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า
หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน
ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง
ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้