หิมะคืนที่เจ็ดตกหนา หมู่เมฆบดบังจันทร์จนเห็นเพียงแสงสลัวบางเบาราวม่านผ้าบางคลุมฟ้า ในความเงียบของวังหลัง กลับมีเสียงหนึ่งดังกังวาน เป็นเสียงของพิณที่ไม่ควรมีใครได้ยินในยามนี้มันดังมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัง
บริเวณนั้นเรียกว่า “สวนเงาจันทร์” สวนต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่าง ตั้งแต่วันหนึ่ง ที่องค์ชายรองจบชีวิตลงใต้ต้นเหมยในคืนหิมะตกเมื่อสิบปีก่อน...
ตำหนักเฟิ่งเยว่ ยามจื่อ (23.00 น.)
ไป๋ซูเหยียนสะดุ้งตื่นกลางดึก เสียงพิณดังแผ่วคล้ายมีคนดีดอยู่ข้างหู นางลุกขึ้นเปิดหน้าต่าง แสงจันทร์ลอดผ่านม่านเมฆ เสียงพิณนั้นไม่ได้ดังจากความฝัน มันดังจริง ๆ ดังกังวาน ชัดเจน และคุ้นเคย
“จิ่นฮวา ได้ยินเสียงพิณหรือไม่?”
นางกำนัลที่หลับอยู่สะดุ้งโหยง “เอ๊ะ!? บ่าวก็นึกว่าบ่าวฝันไป คุณหนูจะให้ตามใครไปตรวจดูหรือไม่เจ้าคะ?”
ไป๋ซูเหยียนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะไปดูเอง”
เงาของนางเคลื่อนผ่านผืนหิมะ เส้นทางที่นำไปสู่สวนเงาจันทร์ถูกหิมะปิดหมด ต้องฝ่าไปอย่างยากลำบาก รองเท้าทรงบูทของนางเปียกจนเย็นชืด แต่เสียงพิณยังคงนำทางอยู่ไม่ไกล
นางหยุดยืนตรงหน้า “ศาลาระฆังเหมันต์” กลางสวน เสียงพิณดังกังวานที่สุดที่นี่ และที่นั่น มีเงาชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนแท่นหิน ในชุดคลุมเรียบธรรมดา ท่ามกลางหิมะขาว เขานั่งหลังตรง ดีดพิณด้วยท่วงท่าอ่อนโยนแต่มั่นคง ผมดำปลิวไสวในสายลม หน้ากากเงินปิดครึ่งหน้า ดวงตาเรียวยาวนั้นทอดมองแผ่นพิณเบื้องหน้าโดยไม่เหลียวมองนางแม้แต่น้อย
“ท่านคือผู้บรรเลงพิณใช่หรือไม่?” ไป๋ซูเหยียนถาม
เขาหยุดมือชั่วครู่ แต่ไม่หันมา เสียงตอบกลับสงบนิ่ง
“หากเจ้าถามเช่นนั้น ย่อมหมายความว่าเจ้าจำเสียงนี้ได้”
ซูเหยียนชะงัก “ท่านคือ...”
เขาหันกลับมาช้า ๆ เผยดวงตาที่คุ้นตา มันคือดวงตาเดียวกันกับที่นางเคยเห็นผ่านม่านเมื่อยังเด็ก ดวงตาที่มองนางจากเงามืดในคืนหิมะแรก
ชายผู้นั้นลุกขึ้น โค้งเล็กน้อยเป็นพิธี น้ำเสียงยังคงแผ่วเบา
“ข้ามีนามว่า ม่อเสวี่ย เป็นข้ารับใช้หลวงในเรือนพิณ แต่บางคืน ข้าก็เป็นเพียงเงาที่เล่นบทเพลงที่ไม่มีใครฟัง”
ม่อเสวี่ยยังคงยืนนิ่งใต้เงาจันทร์ ดวงตานั้นไม่ได้หวาดกลัวหรือประหม่าเมื่อถูกไป๋ซูเหยียนจ้องมอง ตรงกันข้าม เขาดูสงบเกินกว่าข้ารับใช้ธรรมดา
“ม่อเสวี่ย เขางั้นหรือ เป็นเขาอีกแล้ว เหตุการณ์ที่เจอกับเขาในครั้งนี้ ราวกับเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับที่ข้าเจอเขาเมื่อครั้งก่อนเลย...” ไป๋ซูเหยียนคิดในใจ
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ซูเหยียนเอ่ยถามตามตรง แม้จะรู้ว่าคำถามนั้นไร้ประโยชน์ ก็ตาม
ม่อเสวี่ยตอบอย่างเรียบง่าย “ข้าคือผู้ที่เคยอยู่ในเงา และเฝ้ามองเจ้า”
“ทำไมต้องเฝ้ามองข้าด้วย?”
“เพราะเจ้าคือผู้เดียวที่ไม่ลืมเสียงพิณบทนั้น บทเพลงที่บรรเลงใต้ต้นเหมย ในคืนหิมะแรก”
คำตอบนั้นทำให้หัวใจของซูเหยียนสั่นสะเทือน เสียงพิณในคืนนั้น ใช่แล้ว มันคือเสียงเดียวกัน ทำนองอ่อนโยน ละมุนละไม เหมือนอ้อมกอดในวัยเด็ก ท่วงทำนองเดียวที่ทำให้นางหยุดร้องไห้ในค่ำคืนที่หนาวเหน็บที่สุด
นางมองเขาอีกครั้ง ม่อเสวี่ยไม่เหมือนข้ารับใช้ใด ๆ ที่นางเคยพบ แม้จะอยู่ในชุดธรรมดาแต่เขามีร่างกายสูงสง่า ท่วงท่าที่ฝึกฝนมาอย่างพิถีพิถัน และดวงตาแฝงความลับลึกล้ำ
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงใส่หน้ากาก?”
“เพราะข้าไม่ใช่ผู้ที่เจ้าเฝ้าหา”
ซูเหยียนนิ่งงัน ประโยคนั้นคล้ายกระจกที่หักสะท้อนใจนางแตกละเอียด
“ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นเด็กชายผู้นั้น”
“เจ้าเคยคิด และข้าเองก็เคยหวัง” เสียงของเขาเศร้าลึก
“แต่เจ้าเคยบอกในคืนหนึ่ง ว่าจะจำข้าได้จากเสียงพิณ ไม่ใช่จากใบหน้า”
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่า เจ้าก็คือเขางั้นหรือ?”
ม่อเสวี่ยหัวเราะเบา ๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วเศร้ายิ่งกว่าการร้องไห้
“ไม่หรอก ไป๋ซูเหยียน เจ้ากำลังสับสนระหว่างบทเพลงกับผู้เล่น สับสนระหว่างคำสัตย์กับผู้ที่สัญญา”
สายลมพัดแรงอีกครั้ง กลีบเหมยปลิวเกลื่อนราวหิมะห่าที่สองกำลังจะเริ่มต้น ม่อเสวี่ยถอยหลัง ดวงตาคู่นั้นยังไม่ละจากนางแม้แต่วินาทีเดียว
“ข้าจะไม่ขัดขวาง หากเจ้าจะค้นหาความจริงต่อไป แต่หากเจ้าลืมวันนั้นเมื่อไร ข้าจะเป็นผู้เตือนเจ้าเอง”
พูดจบ เขาก็หันหลัง เดินลับไปในม่านหิมะ เสียงพิณไม่มีอีกต่อไป มีเพียงเสียงหัวใจของซูเหยียนที่ดังชัดในอกตนเอง
นางไม่อาจแน่ใจได้อีกต่อไปว่า เด็กชายผู้ให้ผ้าคลุมในคืนหิมะแรกนั้น คือหลี่เหยียนหรือม่อเสวี่ยกันแน่
เหตุการณ์นี้ วันนี้ที่พบกับม่อเสวี่ยในสวนแห่งนี้อีกครั้ง มันเหมือนเดจาวูที่วนซ้ำ ถึงแม้นางกำลังสับสนว่าเด็กชายผู้นั้นเป็นใครกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงชัดเจนอยู่เสมอก็คือ “เสียงพิณ” เสียงพิณนั้น ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจไม่เคยเปลี่ยน
คืนเดียวกัน พระตำหนักหย่งจิ้ง
หลี่เหยียนยืนอยู่บนหอคอยสูง มองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แสงจันทร์สาดส่องบางเบา แต่ในเงานั้น เขาเห็นเงาหนึ่งเคลื่อนไหว ดวงตาของเขาหรี่ลง
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ม่อเสวี่ย...”
เช้าวันถัดมา ตำหนักเฟิ่งเยว่
ไป๋ซูเหยียนตื่นขึ้นด้วยดวงใจไม่สงบ แม้ร่างกายจะอ่อนเพลียจากการเดินลุยหิมะทั้งคืน นางนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง มองใบหน้าตนเองที่ซีดขาวสะท้อนกลับมา
จิ่นฮวากำลังจัดชุดคลุมให้ “คุณหนูดูเหนื่อยนะเจ้าคะ คืนก่อนนี้ คุณหนูฝันร้ายหรือเจ้าคะ?”
ซูเหยียนไม่ได้ตอบตรง ๆ “จิ่นฮวา เจ้ายังจำม่อเสวี่ยได้หรือไม่?”
จิ่นฮวาชะงักนิดหนึ่ง ก่อนตอบเบา ๆ
“หากบ่าวจำไม่ผิดม่อเสวี่ยคือข้ารับใช้หลวงที่เคยประจำอยู่ในเรือนพิณของตำหนักตะวันตก แต่คนในวังพูดกันว่า เขาหายตัวไปเมื่อสองปีก่อน และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นหรือตาย”
“แล้วก่อนหน้านั้น เขาเป็นคนเช่นใด?”
“บ่าวได้ยินคนในวังบอกว่า เขาเงียบขรึม พูดน้อย เล่นพิณได้ไพเราะนักเจ้าค่ะ ขนาดขุนนางฝ่ายในยังเคยกล่าวว่า เสียงพิณของเขาเหมือน ‘เสียงกล่อมวิญญาณ’ เลยทีเดียว”
ซูเหยียนพยักหน้าเบา ๆ “แล้วไม่มีใครสงสัยหรือว่า เขาอาจจะไม่ใช่ข้ารับใช้ธรรมดา?”
จิ่นฮวาทำตาโต “คุณหนูหมายความว่า เขาเป็นคนแฝงตัวเช่นนั้นหรือ?”
“ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขารู้ความลับของราชสำนักบางอย่าง และอาจเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องสี่”
พระตำหนักหย่งจิ้ง
หลี่เหยียนอ่านรายงานลับฉบับหนึ่งอยู่บนโต๊ะ เนื้อความระบุว่ามีเงาแปลกเคลื่อนไหวในสวนเงาจันทร์เมื่อคืน และเสียงพิณนั้นถูกยืนยันจากหลายฝ่ายว่าเป็นบทเพลง “คำสัตย์ใต้ดอกเหมย” ซึ่งไม่ควรมีใครรู้จัก
เขาพลิกกระดาษต่อ เป็นภาพวาดมืออย่างหยาบ แสดงตำแหน่งที่พบรอยเท้าบนหิมะ และซากกลีบดอกเหมยที่หล่นเป็นวงรอบศาลา หลี่เหยียนพูดเบา ๆ
“แสดงตัวแล้วสินะ..ม่อเสวี่ย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหลังม่าน “กระหม่อมเคยเตือนไว้แล้วว่าเขาจะไม่ยอมอยู่นิ่ง”
อวี้กงกงปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มแผ่ว “ท่านเคยฝึกเขาให้เป็นเงา แต่เงาเมื่ออยู่นานเกินไป ย่อมมีวันต้องออกหาพระจันทร์”
บ่ายวันเดียวกัน หอสมุดกลางวังหลวง
ไป๋ซูเหยียนได้รับสิทธิ์เข้าหอสมุดวังหลวงด้วยบัตรผ่านของท่านอ๋องสี่ นางใช้เวลาหลายชั่วยามค้นตำราที่กล่าวถึง “เพลงพิณ” ในราชสำนัก ท้ายที่สุดนางก็พบม้วนบันทึกหนึ่งในชั้นลับ ม้วนกระดาษเก่าแก่เขียนด้วยหมึกจาง ๆ จนแทบมองไม่เห็น
“บทเพลงคำสัตย์ใต้ดอกเหมย” เป็นเพลงพิณที่ไม่ควรมีใครได้ฟัง เพราะมันเป็นเพลงที่องค์ชายรองแต่งให้หญิงคนหนึ่งในวัง หญิงผู้ซึ่งไม่ควรถูกใครรัก และในคืนที่เพลงนั้นดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย องค์ชายรองก็สิ้นพระชนม์ใต้ต้นเหมย...
ซูเหยียนอ่านถึงตรงนั้น มือของนางสั่นน้อย ๆ
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อ เหมยอวี้...”
“เหมยอวี้…” นางพึมพำเสียงเบา
แต่แล้วจู่ ๆ ก็นึกถึง “หนังสือบทกลอน” ที่พบในตำหนักเย็น หนังสือนั่นก็เขียนโดยเหมยอวี้เช่นกัน
ยามเย็น สวนเงาจันทร์
หิมะตกบาง ๆ กลีบดอกเหมยผลิบานท่ามกลางความเย็นยะเยือก เสียงพิณแผ่วเบากลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงจริง มันคือ “ความทรงจำ” ที่ย้อนคืนในใจของไป๋ซูเหยียน นางยืนอยู่ตรงจุดเดิมที่พบม่อเสวี่ยเมื่อคืน มองแท่นหินว่างเปล่า แล้วนางก็หลับตาลง ฟังเสียงในหัวใจของตน
“บทเพลงนี้…” นางพึมพำ “ไม่ใช่แค่บทเพลงแห่งรัก แต่คือบันทึกของคำสัตย์ ที่ฝังอยู่ใต้หิมะและกลีบเหมย”
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เจ้ากลับมาฟังอีกครั้งหรือ” เสียงทุ้มต่ำที่นางจำได้ขึ้นใจ
หลี่เหยียนยืนอยู่ที่นั่น ในชุดคลุมสีดำสนิท แต่งแบบไม่เป็นทางการ เขาไม่ได้พาผู้ใดมาด้วย ไม่มีขันที ไม่มีองครักษ์ ตอนนี้มีเพียงเขากับนาง ยืนอยู่ใต้ต้นเหมยในสวนต้องห้าม
ซูเหยียนหันกลับมา “หม่อมฉันพบม้วนบันทึก เรื่องบทเพลงนี้ มันเคยเป็นขององค์ชายรอง กับหญิงนามว่าเหมยอวี้”
หลี่เหยียนพยักหน้า “ข้าก็เคยได้ยินเช่นกัน ข้าถึงไม่อยากให้ใครในวังใช้บทเพลงนี้อีก มันนำพาแต่โศกนาฏกรรม”
“แต่ม่อเสวี่ยกลับใช้” ซูเหยียนกล่าวเบา ๆ
หลี่เหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “นั่นเป็นเพราะข้าสั่งเขาให้ใช้”
คำตอบนั้นราวฟ้าผ่าลงในใจหญิงสาว “ท่านสั่งเขา?”
“ใช่ ข้าให้เขาเรียนพิณ ให้เขาเฝ้ามองเจ้า ให้เขาทดสอบว่าเจ้าจะจดจำข้าได้หรือไม่”
ซูเหยียนถอยหลังหนึ่งก้าว “เหตุใดต้องทดสอบ?”
“เพราะข้าเคยคิดว่า เจ้าลืมข้าไปแล้ว”
ความเงียบกลืนกินทุกเสียงในชั่วขณะนั้น ไป๋ซูเหยียนน้ำตาเอ่อคลอ
“หม่อมฉันจำท่านมาตลอด เพียงแต่หม่อมฉันจำหน้าท่านไม่ได้ แต่หม่อมฉันจำผ้าคลุม กลิ่นหอม และเสียงพิณ แม้แต่กลีบเหมยที่ท่านวางไว้บนผมของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จำได้”
หลี่เหยียนมองนางนิ่ง ก่อนกล่าวขึ้น “ตอนนั้น ข้าเพียงเป็นเด็กชายที่ไม่มีอำนาจใด ๆ ข้าเคยคิดว่าหากเติบโตแล้วจะกลับมาตามหาสตรีผู้นั้น และเมื่อเจ้าเข้าวังมา ข้าก็รู้ทันทีว่าเจ้าคือนาง”
“แต่ท่านไม่บอกหม่อมฉัน”
“ข้ากลัวเจ้าผิดหวัง”
เสียงหิมะร่วงลงจากกิ่งไม้เบื้องบน กลีบเหมยหนึ่งกลีบปลิวลงบนไหล่ของซูเหยียน นางพูดเบา ๆ
“ตอนนี้หม่อมฉันไม่ผิดหวังแล้ว ไม่ว่าผู้ที่ให้คำสัตย์ในวันนั้นจะเป็นท่านหรือม่อเสวี่ย หม่อมฉันก็รู้ว่า ท่านเป็นผู้ที่ปกป้องหม่อมฉันมาตลอด”
หลี่เหยียนเอื้อมมือแตะไหล่นางเบา ๆ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนที่สุดเท่าที่นางเคยได้ยินจากเขา
“และข้าจะยังปกป้องเจ้า ต่อให้ทุกคนในราชสำนักต่อต้าน
ข้าก็จะไม่ยอมเสียเจ้าไปอีกครั้ง”คืนเดียวกัน ในเงาอีกฝั่งของสวนเงาจันทร์ ม่อเสวี่ยยืนอยู่ใต้เงาไม้ มองภาพทั้งสองสนทนากันโดยไม่เอ่ยสิ่งใด ดวงตาของเขาไม่เศร้า ไม่เจ็บปวด มันสงบราวกับรับรู้ผลลัพธ์นี้มาเนิ่นนานแล้ว
เขาดีดสายพิณในอากาศหนึ่งครั้ง ก่อนจะหายลับไปในม่านหิมะโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
“คำสัตย์ มอบไว้ให้เขา ส่วนข้า เป็นเพียงเงาที่เคยเล่นบทเพลงนั้น เพื่อเตือนเจ้าว่า ความทรงจำ ยังมีอยู่จริง...”
เสียงลมตอนเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านระเบียงเรือนไม้ กลิ่นชาดอกเหมยที่เพิ่งชงเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย แสงแดดลอดผ่านบานประตูไม้ไผ่ที่แง้มออกครึ่งหนึ่ง ทาบเงาลวดลายบนผ้าไหมปักลายเหมยซึ่งคลุมอยู่บนเตียงนอนกว้างไป๋ซูเหยียนขยับตัวพลิกกายเล็กน้อย ปอยผมหลุดจากปิ่นหยกเคลื่อนไหลลงมาแนบแก้มขาวราวหยกนวล เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะแผ่วดังขึ้นใกล้ใบหูของนาง“หากเจ้าไม่ลุก แล้วใครจะรินชาให้ข้า?”นางปรือตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้ายังเปื้อนรอยง่วงงุน“ท่านมิได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วนะ? เหตุใดยังอวดอำนาจกับข้าได้อยู่อีก?”หลี่เหยียนนั่งพิงเสาเตียง ในมือถือพัดกระดูกงูพับครึ่ง พลิกไปมาอย่างว่าง่าย“อำนาจหรือ? ข้ามีแค่อำนาจเดียว คือการทำให้เจ้ารำคาญใจในตอนเช้า”นางกลอกตาเบา ๆ แล้วฝืนลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียง“หากท่านยังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะเปลี่ยนชาวันนี้เป็นชาดอกไม้ขมแทนชาดอกเหมย”เขาหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากล้าหรือ?”“ก็ลองดูสิ” นางยิ้มอย่างท้าทายแสงแดดอ่อนสาดกระทบใบหน้าทั้งสองที่ใกล้ชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรก มือที่สัมผัสกันเบา ๆ บนกล่องชา กลายเป็นเหตุให้หล
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกบางในฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นเหมยแห่งคำสัตย์กลางพระราชวังยังคงผลิบานอย่างเงียบงาม กลีบดอกบางเบาลอยล่องบนสายลม อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดชื่นชมในตำหนักกลาง พระราชพิธีสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเริ่มต้นอย่างสง่างาม ท่านอ๋องสี่ หลี่เหยียน สวมชุดครุยพิธีเต็มยศ ยืนอยู่หน้าแท่นพิธีด้วยใบหน้าเยือกเย็นและสงบนิ่งไป๋ซูเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างบนเก้าอี้รองพระเกียรติในชุดฉลองพระองค์ผ้ากรุทองอ่อน พรมผืนยาวที่ทอดยาวจากบันไดสู่แท่นพิธีประดับด้วยกลีบเหมยซึ่งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เปล่งประกายเหมือนดวงดาวที่ตกลงบนผืนแผ่นดินเหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร และแขกบ้านแขกเมืองต่างมาเข้าร่วมอย่างพร้อมใจ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงกลองพิธีบรรเลงรับแสงแห่งเช้าวันใหม่“วันนี้ เรามิได้แต่งตั้งเพียงบุคคลผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน แต่เราสถาปนาหัวใจของแผ่นดินด้วย” เสียงเสนาบดีผู้ดำเนินพิธีประกาศดังกังวานหลี่เหยียนคุกเข่าลงบนแท่น พร้อมรับมอบตราสัญลักษณ์ราชการ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ทั้งห้องโถงเปี่ยมไปด้วยพลังของความศรัทธาหลังพิธีจบลง เข
ยามเช้าของฤดูเหมันต์เริ่มต้นด้วยแสงแดดอ่อนโยนที่ส่องทะลุม่านหิมะเหนือยอดหลังคาพระราชวัง วังหลวงที่เคยเงียบเย็นกลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะหัวใจของผู้คนใต้ต้นเหมยกลางลานตำหนักเย็น กลีบดอกผลิบานสะพรั่งในเวลาเดียวกันทั่วทั้งต้น สีชมพูสดแต้มแต่งหิมะขาว กลายเป็นภาพงดงามที่แม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องหยุดยืนมองด้วยสายตาไม่เชื่อไป๋ซูเหยียนเดินช้า ๆ ออกจากตำหนัก นางยังคงสวมเสื้อคลุมหนา แต่สีเลือดฝาดบนแก้มบ่งบอกว่าสุขภาพเริ่มฟื้นตัวแล้ว ใบหน้ายิ้มบางนั้นเป็นสิ่งที่บ่าวไพร่หลายคนไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน“กลีบเหมยบานแล้ว...” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปรับกลีบดอกที่ลอยมาติดแขนเสื้อหลี่เหยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขามองนางโดยไม่หลบสายตา ท่านอ๋องสี่ในยามนี้ไม่ใช่ชายผู้เย็นชาอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาสิ่งสำคัญไว้ในชีวิต“เจ้าดูสดใสขึ้นมาก” เขาเอ่ย“ก็เพราะท่านทำให้ข้ามีชีวิตอยู่” นางยิ้มให้เขา “และเพราะข้าไม่ต้องเฝ้ารอคำสัญญาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว”เขาเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ยื่นมือจับมือของนางแน่นแนบอก“คำสัญญานั้น ข้า
หิมะตกหนักติดต่อกันสามวันสามคืน ปกคลุมยอดเขาและลานหินทั่วเขตวังหลวง จนต้นไม้บางต้นเริ่มโค้งกิ่งลงเพราะทานแรงลมไม่ไหว แต่ในตำหนักเย็นแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเงียบมานานกลับมีแสงไฟอบอุ่นลอดออกจากช่องหน้าต่างไม้ซูเหยียนนั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเตาไฟในชุดคลุมหนาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าซีดจางเพราะพิษในร่างที่ยังไม่หายขาดจากพิธีเลือด แต่นัยน์ตานางกลับเปล่งแสงสว่างประหลาด ราวกับได้รับการปลุกจากภายในอย่างแท้จริงตรงข้ามกับนาง หลี่เหยียนนั่งเงียบในอาภรณ์สีดำสนิท หน้าตาเย็นชาเช่นเดิม แต่เมื่อมองผู้หญิงตรงหน้า ความอ่อนโยนในดวงตาก็ชัดเจนจนไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป“ข้าเห็นภาพต้นเหมยในความฝัน” ซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “มันเหี่ยวเฉา ดอกโรยจนหมด แล้วจู่ ๆ ก็มีลมหายใจหนึ่งพัดผ่าน ทำให้มันผลิบานอีกครั้ง”หลี่เหยียนเอ่ยช้า ๆ “ข้าก็ฝันเช่นเดียวกัน เจ้าคือผู้ที่ทำให้มันบาน”นางหัวเราะเบา ๆ แล้วเงียบลง นัยน์ตาจับจ้องเตาไฟครู่หนึ่งก่อนเอ่ย“ท่านรู้หรือไม่ พิธีนั้น มิได้ลบความจำข้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังฝากเศษพิษในเส้นชีพจร หากไม่ได้รับการรักษาในสิบวัน พิษนี้จะกลืนกินลมหายใจสุดท้ายของข้า”หลี่เหยียนหันขวับมาหานางทันที ใบหน้าเปลี่ยน
ลมหายใจเย็นยะเยือกพัดพาเอาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายเหนือยอดเขาเหมยซาน แสงจันทร์จาง ๆ ในคืนเดือนแรมทอผ่านม่านเมฆบาง ราวกับฉายภาพความรู้สึกในใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเนินเขา ร่างสูงในอาภรณ์นักพรตสีเทาเข้ม ห่มเสื้อคลุมยาวแตะข้อเท้า ที่ชายเสื้อมีคราบเปื้อนจากการเดินทางไกล“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว…” หลี่เหยียนพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแตกแห้งสีเลือดจางเบื้องหน้าเขา คือประตูไม้เก่าแก่ที่ถูกตะไคร่จับหนาแน่น เป็นทางเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของอดีต สำนักหิมะดำเคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีต้องห้าม และแม้ทุกอย่างจะถูกทำลายไปในการศึกคราวก่อน แต่ข่าวลือยังคงลือว่ามีคนหลงเหลือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดชายหนุ่มยกมือลูบกระบี่ที่พาดบ่าซ้าย มันคือกระบี่เล่มเดียวกับที่เขาใช้ในศึกครั้งที่ช่วยซูเหยียนให้รอดจากพิธีเลือด ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วผ่านกระบี่นั้น ทำให้เขาหวนคิดถึงวินาทีที่ร่างของนางล้มลงในอ้อมแขนเขา“ข้าเคยสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพังอีก ข้าจะทำตามนั้น”เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากเบื้องหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวห่มไหล่ นางเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลาง
ยามหนึ่งของค่ำคืน ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดเขาเหมยซาน หิมะขาวสะท้อนแสงนวลราวผืนผ้าไหมที่คลี่ออกกลางสวรรค์ เสียงสายลมหนาวพัดหวีดหวิวพาเอากลีบเหมยปลิวไหวราวจะกระซิบบอกข่าวเงียบงันที่ลานกว้างหน้าศาลาไม้โบราณกลางหุบเขา หญิงสาวผู้หนึ่งถูกล่ามด้วยโซ่สีดำเส้นบางราวสายไหม เส้นโซ่พาดผ่านลำแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ ข้อมือของนางเต็มไปด้วยรอยแผลจากการดิ้นรน แม้สายตาจะพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา แต่นางยังพยายามเงยหน้าขึ้นจ้องแสงจันทร์“องค์หญิงอิงเยว่”เสียงขานนามเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา หญิงชราในอาภรณ์สีดำสนิทเดินออกมาจากศาลา ดวงตาของนางคมกริบ ดั่งผู้เฝ้ามองโลกมาหลายทศวรรษ“อีกไม่ถึงเจ็ดชั่วยาม พิธีจะเริ่ม เจ้าจะได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของแคว้นต้าเยี่ยน ด้วยเลือดของเจ้า”หญิงชราเอื้อมมือแตะหน้าผากขององค์หญิงอิงเยว่ แล้วกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด ร่างขององค์หญิงกระตุกเล็กน้อยก่อนหมดสติไปอีกครั้งหอหลวงฝ่ายใน ตำหนักต้าหลี่เสียงบันลือจากรายงานขององครักษ์ด่วนพิเศษ ทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงกลายเป็นความอึมครึม หลี่เหยียนเดินลงจากบัลลังก์พลางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้