"ลิล"
"..."
"ลลิล!"
"คะ?"
"เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขณะมองน้องสาวที่นั่งเหม่อลอยอยู่สักพักแล้วด้วยความเป็นห่วง
"ปะ เปล่าค่ะ" หญิงสาวตอบตะกุกตะกักพลางเขี่ยอาหารมื้อเช้าในจาน
"กับข้าวไม่ถูกปากเหรอ"
"ลิลยังไม่ค่อยหิวนะคะ" ตอบโดยพยายามไม่สบตาพี่ชาย
“เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะอีกหรอก ฝืนกินหน่อยก็แล้วกัน”
"ค่ะ"
ลลิลพยายามฝืนตักอาหารเข้าปากเพื่อความสบายใจของผู้เป็นพี่ ทว่าสมองกลับนึกถึงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อีกทั้งความเป็นห่วงเป็นใยจากอีกฝ่ายยิ่งทำให้เธอรู้สึกละอายใจกับการกระทำของตัวเอง
"เมื่อคืนหลับสบายมั้ย?"
"ก็ดีค่ะ"
"แต่พี่นี่แทบไม่ได้นอน พอดีเกิดปัญหาวุ่นวายที่โรงแรมนะ เลยต้องไปจัดการด้วยตัวเอง"
คำอธิบายเหล่านั้นทำให้เธอพอจะคลายความสงสัยอยู่บ้างว่าพี่ชายหายไปไหน แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังข้องใจจึงลองเลียบเคียงถาม
“แล้วพี่คินกลับมาตอนไหนเหรอคะ”
“หกโมงเช้าได้มั้ง เผลอหลับที่ห้องทำงานนะ”
"แต่ก่อนหน้านั้น ลิลได้ยินเสียงดังมาจากห้องพี่" หญิงสาวแสร้งทำสีหน้าสงสัย
"อ๋อ พี่ว่าจะคุยเรื่องนี้อยู่พอดี" อนาคินรวบช้อนและส้อมเข้าหากันบ่งบอกว่ามื้ออาหารของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยมีผู้เป็นน้องสาวรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
"อันที่จริงก่อนลิลจะกลับมา ไอ้ธีร์มันมักจะนอนที่นี่เป็นบางวัน แต่หลังจากนี้คงจะมาอยู่กับเราสักระยะหนึ่ง"
"..."
"คือมันมีปัญหาเกี่ยวกับจิตใจนิดหน่อย" อนาคินขยายความเพิ่มเมื่อเห็นปฏิกิริยานิ่งเงียบของเธอ
“คนอย่างเขาไม่น่าจะลำบากเรื่องที่อยู่นะคะ”
“เรื่องนั้นมันก็จริง แต่พี่กับไอ้เดย์เห็นตรงกันว่า มันควรจะมีคนอยู่เป็นเพื่อน...”
"แล้วทำไมถึงต้องให้เขาไปอยู่ห้องนอนของพี่คินล่ะคะ" เอียงคอถามด้วยความสงสัย
"ห้องที่มันอยู่แอร์เสีย กำลังรอช่างมาซ่อม"
"อย่างนี้นี่เอง" หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ
"แต่ถ้าลิลไม่สบายใจที่มีคนอื่นมาอยู่ด้วย ไว้พี่จะคุยกับมันอีกที"
หญิงสาวยังไม่ทันจะได้ปริปากตอบ เสียงของพี่ชายก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"นั่นไง มันมาพอดีเลย"
ร่างสูงในชุดสูทสุดเนี้ยบสีน้ำเงินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเพื่อนชายคนสนิท
"ปวดหัวฉิบหาย"
"ก็ไม่แปลกหรอก มึงเล่นดื่มเหล้าเหมือนน้ำเปล่าขนาดนั้น สภาพ!"
"ช่างกูเถอะ วันนี้มึงออกไปทำงานมั้ย"
"แหกตาดูก่อนว่ากูอยู่ในสภาพไหน"
"สบายจังนะมึง คงมีแต่กูที่ต้องไปทำงานในวันหยุดแบบนี้"
"สบายกับผีนะสิ เมื่อคืนกูแทบไม่ได้นอน"
"กูก็รู้สึกเหมือนไม่ได้นอน ตื่นขึ้นมา..." จู่ๆ คำพูดของธีระก็ถูกกลืนหายลงสู่ลำคอเมื่อเห็นน้องสาวของเพื่อนนั่งอยู่ด้วย ว่าจะพูดเรื่องความฝันสุดแสนลามกก็กระไรอยู่
"อะไรของมึง"
"เปล่า"
หลังจากนั้นเพื่อนสนิททั้งสองก็เริ่มบทสนทนาเกี่ยวกับงานเสียส่วนใหญ่โดยมีหญิงสาวนั่งฟังไปเงียบๆ พยายามทำตัวให้ปกติที่สุด
"วันนี้ลิลจะออกไปข้างนอกนะคะ" ลลิลเอ่ยบอกตอนต่างฝ่ายต่างกำลังจะแยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง
"ไปไหน?"
"ซื้อของใช้เข้าบ้านค่ะ"
"ไปพร้อมไอ้ธีร์เลยก็ได้" คำพูดของอนาคินทำเอาเธอถึงกับชะงัก
"ไม่เป็นไรค่ะ ลิลไปแท็กซี่ดีกว่า" บอกอย่างเกรงใจ
"หรือจะให้พี่ไปส่ง"
"พี่คินพักผ่อนเถอะค่ะ ลิลไปเองได้"
ลลิลยืนยันน้ำเสียงหนักแน่นจนอนาคินไม่อยากเซ้าซี้ต่อ หญิงสาวจึงเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่แม้แต่จะมองชายหนุ่มอีกคน
เอี๊ยด!!
รถไฮเปอร์คาร์สีดำเงาวับหนึ่งในสิบคันทั่วโลกเบรกดังสนั่นเพื่อหยุดจอดบริเวณทางเท้าทำให้หญิงสาวที่ยืนหลบแดดอยู่ข้างต้นไม้สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนขับลดกระจกลงแล้วเอ่ยบอกน้ำเสียงราบเรียบ
"แท็กซี่ไม่ผ่านทางนี้หรอก"
หญิงสาวทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดนั้นแล้วแสร้งมองไปทางอื่นจึงไม่เห็นว่านัยน์ตาคมกริบกำลังจ้องเขม็งอยู่ที่เธอ
"จะไปมั้ย" พยายามถามอย่างใจเย็น ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อกดดันอีกฝ่าย
ความร้อนระอุของแดดประเทศไทยในช่วงสายของวันแผดเผาผิวขาวจัดของเธอจนแสบร้อนและเกิดรอยแดงจำต้องวางฟอร์มลงแล้วพาตัวเองไปนั่งบนเบาะข้างคนขับ
"คาดเบลต์"
"คะ? อ๋อ" สมองของเธอเหมือนจะประมวลผลเชื่องช้าเมื่ออยู่ใกล้เขา ก่อนจะหันซ้ายแลขวาแทบไม่กล้าขยับตัวครั้นเห็นความหรูหราภายในรถอย่างเต็มตา
ธีระเหลือบมองท่าทางเงอะงะของเธอแวบหนึ่งแล้วโน้มตัวไปคว้าหัวเข็มขัดนิรภัยมาล็อกให้อย่างรวดเร็ว
การกระทำที่ดูเหมือนไม่มีอะไรของเขาทำเอาหญิงสาวถึงกับชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้างไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
"จะลงตรงไหน" ธีระเอ่ยถามทำลายความเงียบ ตอนรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพักแล้ว
"ร้านขายยาค่ะ"
"ไม่สบาย?"
"ลิลมียาที่ต้องซื้อ"
ชายหนุ่มไม่ได้ปริปากถามอะไรต่อจากนั้น ไม่นานก็มาหยุดจอดหน้าร้านขายยา
"เราแยกกันตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ"
"ไหนว่าจะไปซื้อของที่ห้างไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวรอ"
หญิงสาวพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในร้านขายยาโดยมีชายหนุ่มมองตามอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ก็เห็นว่าเธอพูดอะไรบางอย่างกับเภสัชกรหญิงวัยกลางคนแล้วไม่นานก็ยกขวดน้ำขึ้นดื่มก่อนจะเดินกลับออกมา
ลลิลมองทิวทัศน์ที่ไหลเลื่อนผ่านนอกหน้าต่างรถอย่างเหม่อลอย หลังจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมงทั้งสองก็มาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของครอบครัวชายหนุ่ม
"อยากได้อะไรก็รูดเอานะ" ยังไม่ทันที่ลลิลจะก้าวลงจากรถ บัตรแบล็คการ์ดก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
"คะ?"
"พี่ยังไม่ได้ให้ของขวัญเรียนจบลิลเลย"
"…"
"วงเงินไม่จำกัด"
"เพิ่งรู้นะคะเนี่ย ว่าพี่ธีร์เป็นสายเปย์กับเขาด้วย" พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด
"จะเอาไม่เอา"
"เอาสิคะ เดี๋ยวลิลจะรูดให้ฉ่ำเลย ขอบคุณค่ะ" ฉกบัตรใบนั้นมาจากมือของเขาแล้วเดินลงจากรถเข้าไปยังห้างสรรพสินค้า
หญิงสาวเดินเข้าออกเลือกชมสินค้าแบรนด์ดังต่างๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่เธออยากได้อย่างแท้จริง จึงลงไปยังชั้นหนึ่งซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเลือกของเข้าบ้านอย่างที่บอกกับพี่ชายไว้
“ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินอาจทำให้มีอาการเวียนหัวหรือคลื่นไส้ได้ค่ะ” ลลิลหวนนึกถึงคำบอกกล่าวของเภสัชกรพลางยกมือขึ้นมาลูบบริเวณหน้าอกเพราะอาการคลื่นไส้ที่แล่นปราดเข้ามาจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ได้อะไรบ้างล่ะ”
จู่ๆ ร่างสูงที่เดินมาจากทางไหนก็ไม่สามารถทราบได้เข้ามาขวางรถเข็นของเธอพร้อมเหลือบสายตามองข้าวของภายในนั้น
“ลิลขอไปเข้าห้องน้ำ อึก” หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปาก พยายามต่อสู้กับความปั่นป่วนอย่างสุดความสามารถ
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ธีระขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับท่าทางนั้นของเธอแล้วเดินเข้าไปหา
“ลิลจะ…โอ้ก” หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบก็ขย้อนสิ่งที่อยู่ในกระเพาะลงบนแผงอกของเขาอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วค่อยๆ เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ธีระกัดฟันกรอด ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความขยะแขยงออกมาอย่างไม่ปิดบังพร้อมคำรามเรียกชื่อเจ้าตัวการอย่างคาดโทษ
“ลลิล!”
สองเดือนต่อมา…ผมเฝ้ามองลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังน้อยภายในห้องนั่งเล่นอย่างไม่รู้สึกเบื่อ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอช่างบริสุทธิ์และน่าทะนุถนอมอะไรเช่นนี้อย่างที่รู้กันว่า ณดาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ทุกคนรอบตัวต่างหลงรักเธอซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตกหลุมรักลูกสาวตัวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า“กำลังชื่นชมผลผลิตของตัวเองอยู่เหรอคะ”ภรรยาของผมเอ่ยแซวแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เธอคือบุคคลสำคัญที่มอบของขวัญล้ำค่าและน่าอัศจรรย์ใจให้กับผม"แน่นอน"ผมว่าแล้วโอบไหล่บางแนบชิดกาย แต่พอลองสังเกตดูดีๆ เหมือนสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนักจึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้“ที่รักไม่สบายหรือเปล่า”“แค่รู้สึกมึนๆ เหมือนนอนไม่พอนะคะ”เธอยังคงส่งรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างที่ชอบทำเพื่อให้ผมคลายกังวล“ไปพักหน่อยมั้ย ถึงยังไงวันนี้พี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้น้ำหวานๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”ผมเพิ่งเห็นชานมไข่มุกที่เหลือครึ่งแก้วในมือข้างซ้ายของเธอ"ของหวานทำให้อารมณ์ดีขึ้นงั้นสิ"เธอพยักแทนคำตอบแล้วยื่นแก้วมาตรงหน้าผม"ลองชิมดูมั้ยคะ หวานร้อย(เปอร์เซ็นต์)อร่
“เป็นยังไงบ้างคะ”“อืม ดีมาก”“หมายถึงรสชาติอาหาร?”“หมายถึงเมีย”สิ้นประโยคนั้น ฉันถูกหอมแก้มทั้งสองข้างอีกฟอดใหญ่จึงวางช้อนชิมน้ำซุปก่อนหน้านี้ลงที่เดิมแล้วเอียงคอมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามีเชิงตัดพ้อ“เสียใจจัง ลิลอุตส่าห์ตั้งใจทำนะคะเนี่ย” “อ่า~ ไม่งอนผัวนะครับคนดี"เขาตีเนียนกระชับอ้อมแขนที่กำลังสวมกอดฉันจากข้างหลังแน่นขึ้นพลางเกยคางลงบนไหล่อย่างออดอ้อนแล้วเริ่มเอ่ยชมไม่ขาดปาก"ถึงยังไงอาหารฝีมือเมียก็รสชาติดี มีประโยชน์ ถูกหลักอนามัย และอร่อยที่สุดในโลก""...""แถมคนทำยังอร่อยและแซ่บจนหยุดกินไม่ได้อีกต่างหาก...”น้ำเสียงกระเส่าพอๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนจะซุกไซ้ยังซอกคอของฉันอย่างหื่นกระหายจนต้องเอียงคอหลบสัมผัสสุดแสนจะวาบหวาม"อื้อ พี่ธีร์"“ผัวหิวอีกแล้ว”“เห็นทีตอนนี้คงไม่ได้ค่ะ” ฉันรีบตัดบทคนหื่นกระหายอย่างเขาที่ต้องทำเรื่องอย่างว่าสามเวลาก่อนอาหารหรือทุกครั้งที่มีโอกาส“ทำไมล่ะจ๊ะ เมียจ๋า” เขาใช้ฟันขาวๆ ขบเม้มผิวเนื้อนวลเนียนที่ซอกคออย่างคนที่กำลังมันเขี้ยว มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฉันราวกับปลาหมึกแต่แล้ว…แอ๊ะ แง แง!เสียงร้องของลูกสาวตัวน้
ฟู่ว~ริมฝีปากหยักลึกระบายลมหายใจออกมาราวกำลังรวบรวมความกล้าพลางใช้นิ้วกดกริ่งสนทนาข้างประตูแล้วยืนรอครู่หนึ่ง ทว่ากลับไร้วี่แววของคนในห้องจึงลองใหม่อีกครั้งไม่กี่วินาทีต่อมา เขาตัดสินใจใช้คีย์การ์ดที่เพื่อนให้ติดมาด้วยแล้วผลักประตูเข้าไปทันทีก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจทั่วห้องเตียงนอนดูเป็นระเบียบเสมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน บนโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้าไม่หลงเหลือข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียว อีกทั้งภายในห้องน้ำก็ปราศจากคนที่เขากำลังตามหาจึงรีบต่อสายหาเพื่อนด้วยความร้อนใจ“ลิลไม่ได้อยู่ที่ห้อง ของใช้ทุกอย่างก็ไม่มี” โพล่งออกมาทันทีที่อีกฝ่ายกดรับแล้วพึมพำด้วยความรู้สึกหวั่นใจ“หรือลิลหนีกูไปแล้ว”(มึงใจเย็นๆ แล้วลองขึ้นไปหาบนดาดฟ้าก่อน ลิลชอบไปนั่งเล่นที่นั่น)ธีระกดตัดสายแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ ทว่าดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเห็นป้ายลิฟต์ขัดข้องตั้งหราอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังใช้งานได้ปกติจึงเหลือบมองหมายเลขชั้นแวบหนึ่งขณะนี้เขายืนอยู่ที่ชั้นห้าสิบและดาดฟ้าคือชั้นเจ็ดสิบ นั่นหมายความว่าต้องเดินขึ้นบันไดไปถึงยี่สิบชั้น!"เอาว่ะ" นาทีนี้ต่อให้ต้องแลกกับอะไรเข
ปังๆๆเสียงทุบประตูห้องทำงานดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาชายหนุ่มที่หลับใหลอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขาคร่ำเคร่งกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำและเพิ่งจะได้นอนอย่างสงบสุขไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง“ไอ้คิน! กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”น้ำเสียงคุ้นเคยเล็ดลอดผ่านเข้ามาพร้อมกับเสียงทุบบานประตูที่ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ จนอนาคินต้องลุกไปปลดล็อกแล้วโพล่งถามท่าทางไม่สบอารมณ์“เป็นบ้าอะไรของมึง วุ่นวายแม่งตั้งแต่เช้า”"เช้าอะไรของมึง นี่มันเที่ยงแล้วโว้ย" สวนกลับทันควัน"แล้วมึงมีธุระอะไร" อนาคินมองเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ววกกลับมาหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราดูแปลกตา“มึงจะส่งลิลกลับไปอยู่ต่างประเทศเหรอ”“ใครบอกมึง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย“ไอ้เดย์บอกว่าลิลจะออกเดินทางช่วงบ่ายของวันนี้”อนาคินจ้องลึกลงไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่างและสิ่งที่เห็นได้ชัดคือความกระวนกระวายของอีกฝ่ายขณะรอฟังคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้“เพราะเรื่องนี้ มึงเลยรีบถ่อมา?”“กูจะไม่ยอมให้มึงทำแบบนั้นเด็ดขาด”“แล้วมึงจะทำไม" สีหน้าแฝงความเจ้าเล่ห์ขณะย้อนถามพร้อมจับตาดูอากัปก
“ลลิล!”“คะ?” เงยใบหน้ามองพี่ชายด้วยความงุนงง“เป็นอะไรไปนะ”“ปะ เปล่านี่คะ”อนาคินเบนสายตามองเอกสารบนโต๊ะที่ให้เธอตรวจสอบความเรียบร้อยแวบหนึ่งแล้วจับจ้องไปยังใบหน้าหวานอีกครั้ง"แล้วร้องไห้ทำไม"หญิงสาวรีบงุดหน้าและเห็นว่าบนแผ่นกระดาษมีหยดน้ำตาร่วงโรยลงมาจนเกิดรอยด่างดวงโดยที่เธอแทบไม่รู้ตัว“อ้ะ! ขอโทษค่ะ ลิลทำเอกสารเลอะหมดเลย” รีบขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้“จะกลับบ้านก่อนมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นสภาพน้องสาวของตัวเอง ความสดใสหายไป จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนชีวิตอีกครึ่งหนึ่งหลุดลอยเสียแล้ว“ลิลไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ” น้ำเสียงยังคงขึ้นจมูกขณะยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มกลืน“งั้นคืนนี้เราพักกันที่นี่เป็นไง พี่จะได้อยู่เคลียร์งานยาวๆ ”“ดีเหมือนกันค่ะ” อันที่จริงเธอเองก็ไม่อยากกลับบ้าน อีกทั้งยังคิดว่าหากได้อยู่ในสถานที่ใหม่ๆ อาจจะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง“ไว้เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องห้องให้”หลังจากนั้นสองพี่น้องจึงนั่งทำงานของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนเวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็นตึง!"โอ๊ะโอ~ ทำไมห้องนี้บรรยากาศดูอึมคร
นัยน์ตาคู่สวยเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปราศจากดวงดาวพลางลูบสองแขนไปมาเพราะสะท้านกับความเหน็บหนาวขณะตกอยู่กับความคิดมากมายเพียงลำพังตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทนกลับมาใช้ชีวิตโดยไม่มีชายหนุ่มเคียงข้างกาย ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า และทำได้เพียงแค่คิดถึงเท่านั้นความรู้สึกแสบร้อนเริ่มผุดขึ้นในดวงตาจนต้องกะพริบถี่ไล่ความชื้นให้มลายหายไปซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเหลือบเห็นแสงไฟสว่างจ้าบริเวณสามแยกถนนลลิลจับราวระเบียงแล้วชะเง้อคอมองอย่างมีความหวังว่าอาจจะมีรถของใครบางคนจอดอยู่ตรงนั้น ทว่าเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกสติเธอให้กลับคืนมา“กับข้าวเสร็จแล้ว”อนาคินเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างน้องสาวแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางถามขึ้นด้วยความสงสัย“มองหาอะไรเหรอ”“เปล่าค่ะ ลิลแค่ออกมาสูดอากาศเฉยๆ”"เหมือนฝนจะตก เข้าข้างในเถอะ"หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วลอบมองไปยังจุดนั้นอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความมืดมิดเท่านั้นจึงเลื่อนปิดประตูระเบียงก่อนจะเดินตามหลังพี่ชายลงไปยังห้องรับประทานอาหารความห่างเหินระหว่างพี่น้องเริ่มก่อเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นและถึงแม้ตอนนี้จะดีขึ้