สองเดือนต่อมา…
“ทำไมมาถึงช้าจังวะ” หนุ่มแว่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อค่ำในห้องครัวเหลือบมองผู้มาใหม่แวบหนึ่งพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เพื่อนสนิททั้งสามนัดแนะกันไว้ตั้งแต่เดือนก่อนว่าจะมาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลของเอเดย์ สถานที่แห่งนี้ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณสองชั่วโมง ทว่าอนาคินกลับใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงกว่าจะมาถึง
“ลิลเมารถนะ เลยต้องแวะจอดเกือบตลอดทาง”
“แล้วดีขึ้นยัง?”
“ดีขึ้นแล้ว แต่ให้เข้าไปพักที่ห้องก่อน”
“ขาดเหลืออะไรก็บอกละกัน”
“เออ ขอบใจ ว่าแต่ไอ้ธีร์ไปไหน”
“ยืนเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่ตรงนั้นไง”
หนุ่มเจ้าของบ้านบุ้ยปากไปทางระเบียงซึ่งมีร่างสูงยืนสูบบุหรี่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าในไม่ช้า
“พระเอกเอวีน่าจะเหมาะกับมันมากกว่า” อนาคินกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตพร้อมเอ่ยถามอีกฝ่าย
“ให้ช่วยอะไรมั้ย”
“ช่วยอยู่เฉยๆ เถอะครับ”
“ดี กูจะได้ไม่เหนื่อย” ว่าพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูง
“ตั้งแต่ไอ้ธีร์ไปอยู่บ้านมึง กูรู้สึกว่าอาการมันเหมือนจะดีขึ้นนะ” คนที่กำลังหั่นผักอย่างชำนาญออกความคิดเห็น
“สงสัยลืมเฮิร์ทเพราะต้องเก็บแรงไว้เถียงกับลิลละมั้ง"
"ล่าสุด เถียงกันเรื่องขนมผูกรักบ้านแทบแตก"
"หืม เถียงกันเรื่องขนม?"
"ก็เออนะสิ ไอ้ธีร์มันบอกว่าต้องพรีออเดอร์ขนมนั้นจากสตูลตั้งสองอาทิตย์"
"..."
"แต่พอมาถึงกลับหายวับไปกับตาเพราะลิลคิดว่าเป็นขนมของกู"
"ไอ้ธีร์มันกินขนมพวกนั้นด้วยเหรอ แต่เดี๋ยวก่อน มันทะเลาะกับลิลเพราะเรื่องขนม..." สีหน้าของคนฟังแสดงออกถึงความสับสน
"ฟังดูไร้สาระไม่สมกับคนอย่างไอ้ธีร์ใช่มั้ยล่ะ แต่มึงเชื่อกูเถอะ ว่าจนถึงตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่คุยกันเลย"
"สมองมันได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่ามึง"
"อันนั้นไม่รู้ แต่สมองกูนี่แหละจะแตกตายซะก่อน" อนาคินพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
ช่วงค่ำวันเดียวกัน…
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ อาจเพราะได้อากาศสดชื่นจากทะเล” หญิงสาวระบายรอยยิ้มกว้างขณะตอบคำถามของเอเดย์ ก่อนจะเบนสายตาไปยังความมืดมิดเบื้องหน้าฟังเสียงคลื่นซัดสาดด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
“กินให้มันเยอะๆ หน่อย” คนเป็นพี่ชายตักข้าวผัดใส่จาน ตามด้วยปลาหมึกนึ่งมะนาวจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง
ลลิลเริ่มตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย ดูเหมือนว่าเธอจะรับประทานอาหารได้มากกว่าปกติ หลังจากอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงเพราะอาการเมารถก่อนหน้านี้
“รสชาติเป็นไงบ้าง พอจะถูกปากมั้ย” คนรับหน้าที่พ่อครัวปริปากถามผลงานของตัวเอง
“อร่อยมากเลยค่ะ”
“ไม่ต้องถนอมน้ำใจมันหรอก” อนาคินแกล้งว่าพร้อมยกยิ้มมุมปาก
"พูดจริงๆ นะคะ ปลาหมึกนึ่งมะนาวรสชาติเปรี้ยวกำลังดีเลย ลิลชอบ” ไม่แค่พูดเพราะเธอตักมันเข้าปากคำแล้วคำเล่าไม่มีทีท่าว่าจะอิ่ม
"เฮ้ยไอ้ธีร์ ปลาหมึกย่างตรงนั้นเสร็จยัง" หนุ่มแว่นตะโกนถามพร้อมโบกไม้โบกมือไปยังธีระที่ยืนรับหน้าที่ปิ้งย่างอาหารทะเล
ไม่กี่วินาทีต่อมา จานปลาหมึกย่างส่งกลิ่นหอมกรุ่นถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าหญิงสาว
“ปลาหมึกไม่สดเหรอคะ ทำไมกลิ่นแรงจัง” ลลิลถามพลางทำจมูกฟุดฟิด สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
"สดแน่นอนครับ พี่เลือกเองกับมือ" เอเดย์ยกจานขึ้นมาใกล้จมูกแล้วพูดต่อ
“พี่ว่าปกตินะ”
"เรื่องมากก็ไม่ต้องกิน" ริมฝีปากหยักลึกขยับพึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ได้ยินชัดเจน
"กุ้งเผาเสร็จยังคะ" ใบหน้าสวยหวานเงยขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกะพริบตาปริบ
"ถ้าเสร็จแล้วรบกวนเสิร์ฟให้หน่อยค่ะ"
ธีระจ้องเธอแวบหนึ่งแล้วเดินไปคีบกุ้งใส่จานก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร
“เดี๋ยวพี่แกะให้” พี่ชายที่แสนดีเป็นคนรับจานใบนั้น
“ยังไม่ค่อยสุกรึเปล่าคะ” หญิงสาวร้องทักขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเนื้อกุ้งที่มีมันเยิ้มถูกวางลงในจานตัวเอง
“สุกจนจะไหม้แล้วครับคุณผู้หญิง” น้ำเสียงของธีระแฝงความประชดประชันอย่างหมดความอดทน
"ลิลก็แค่ถามมั้ยคะ พี่ธีร์จะมาประชดทำไม" วางช้อนลงจนเกิดเสียงดัง
"อันนั้นก็กินไม่ได้ อันนี้ก็กินไม่ได้ เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ น้องมึงอะ" ใบหน้าหล่อเหลาจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวก็จริง ทว่าประโยคท้ายกลับวกมาที่เพื่อนสนิท
"เอาอีกแล้ว มึงเชื่อกูยัง" คนเป็นพี่ชายบอกกับเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
"กูขอนั่งอยู่เฉยๆ ละกัน"
"ลิลเอาแต่ใจแล้วมันจะทำไม พี่ธีร์ก็ไม่ต้องมายุ่งสิ"
"คิดว่าอยากยุ่งนักเหรอ"
"งั้นก็ไม่ต้องมายุ่ง ลิลไม่อยากเห็นหน้าพี่ธีร์แล้วเหมือนกัน จะอ้วก!"
"ลิล! " ประโยคนั้นของลลิลทำเอาพี่ชายที่นั่งมองอยู่เงียบๆ ปรามเสียงเข้มเป็นการเตือนสติ
หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนเกือบจะห้อเลือดด้วยความน้อยใจ เธอน้อยใจปฏิกิริยาของชายหนุ่มที่แสดงออกมา มากกว่าเสียงดุๆ จากพี่ชายเสียอีก
"เลิกเถียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว"
"..." "..."
"ทั้งสองคน"
"บอกน้องมึงด้วยสิ ว่าให้เลิกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง นิสัยแบบนี้ใครได้ไปเป็นเมียคงซวยน่าดู!"
คำพูดจาร้ายกาจที่บาดลึกลงไปในจิตใจทำให้เธอลุกพรวดขึ้นยืนแล้วปรายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกไปจากตรงนั้น
สองเดือนต่อมา…ผมเฝ้ามองลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังน้อยภายในห้องนั่งเล่นอย่างไม่รู้สึกเบื่อ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอช่างบริสุทธิ์และน่าทะนุถนอมอะไรเช่นนี้อย่างที่รู้กันว่า ณดาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ทุกคนรอบตัวต่างหลงรักเธอซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตกหลุมรักลูกสาวตัวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า“กำลังชื่นชมผลผลิตของตัวเองอยู่เหรอคะ”ภรรยาของผมเอ่ยแซวแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เธอคือบุคคลสำคัญที่มอบของขวัญล้ำค่าและน่าอัศจรรย์ใจให้กับผม"แน่นอน"ผมว่าแล้วโอบไหล่บางแนบชิดกาย แต่พอลองสังเกตดูดีๆ เหมือนสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนักจึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้“ที่รักไม่สบายหรือเปล่า”“แค่รู้สึกมึนๆ เหมือนนอนไม่พอนะคะ”เธอยังคงส่งรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างที่ชอบทำเพื่อให้ผมคลายกังวล“ไปพักหน่อยมั้ย ถึงยังไงวันนี้พี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้น้ำหวานๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”ผมเพิ่งเห็นชานมไข่มุกที่เหลือครึ่งแก้วในมือข้างซ้ายของเธอ"ของหวานทำให้อารมณ์ดีขึ้นงั้นสิ"เธอพยักแทนคำตอบแล้วยื่นแก้วมาตรงหน้าผม"ลองชิมดูมั้ยคะ หวานร้อย(เปอร์เซ็นต์)อร่
“เป็นยังไงบ้างคะ”“อืม ดีมาก”“หมายถึงรสชาติอาหาร?”“หมายถึงเมีย”สิ้นประโยคนั้น ฉันถูกหอมแก้มทั้งสองข้างอีกฟอดใหญ่จึงวางช้อนชิมน้ำซุปก่อนหน้านี้ลงที่เดิมแล้วเอียงคอมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามีเชิงตัดพ้อ“เสียใจจัง ลิลอุตส่าห์ตั้งใจทำนะคะเนี่ย” “อ่า~ ไม่งอนผัวนะครับคนดี"เขาตีเนียนกระชับอ้อมแขนที่กำลังสวมกอดฉันจากข้างหลังแน่นขึ้นพลางเกยคางลงบนไหล่อย่างออดอ้อนแล้วเริ่มเอ่ยชมไม่ขาดปาก"ถึงยังไงอาหารฝีมือเมียก็รสชาติดี มีประโยชน์ ถูกหลักอนามัย และอร่อยที่สุดในโลก""...""แถมคนทำยังอร่อยและแซ่บจนหยุดกินไม่ได้อีกต่างหาก...”น้ำเสียงกระเส่าพอๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนจะซุกไซ้ยังซอกคอของฉันอย่างหื่นกระหายจนต้องเอียงคอหลบสัมผัสสุดแสนจะวาบหวาม"อื้อ พี่ธีร์"“ผัวหิวอีกแล้ว”“เห็นทีตอนนี้คงไม่ได้ค่ะ” ฉันรีบตัดบทคนหื่นกระหายอย่างเขาที่ต้องทำเรื่องอย่างว่าสามเวลาก่อนอาหารหรือทุกครั้งที่มีโอกาส“ทำไมล่ะจ๊ะ เมียจ๋า” เขาใช้ฟันขาวๆ ขบเม้มผิวเนื้อนวลเนียนที่ซอกคออย่างคนที่กำลังมันเขี้ยว มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฉันราวกับปลาหมึกแต่แล้ว…แอ๊ะ แง แง!เสียงร้องของลูกสาวตัวน้
ฟู่ว~ริมฝีปากหยักลึกระบายลมหายใจออกมาราวกำลังรวบรวมความกล้าพลางใช้นิ้วกดกริ่งสนทนาข้างประตูแล้วยืนรอครู่หนึ่ง ทว่ากลับไร้วี่แววของคนในห้องจึงลองใหม่อีกครั้งไม่กี่วินาทีต่อมา เขาตัดสินใจใช้คีย์การ์ดที่เพื่อนให้ติดมาด้วยแล้วผลักประตูเข้าไปทันทีก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจทั่วห้องเตียงนอนดูเป็นระเบียบเสมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน บนโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้าไม่หลงเหลือข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียว อีกทั้งภายในห้องน้ำก็ปราศจากคนที่เขากำลังตามหาจึงรีบต่อสายหาเพื่อนด้วยความร้อนใจ“ลิลไม่ได้อยู่ที่ห้อง ของใช้ทุกอย่างก็ไม่มี” โพล่งออกมาทันทีที่อีกฝ่ายกดรับแล้วพึมพำด้วยความรู้สึกหวั่นใจ“หรือลิลหนีกูไปแล้ว”(มึงใจเย็นๆ แล้วลองขึ้นไปหาบนดาดฟ้าก่อน ลิลชอบไปนั่งเล่นที่นั่น)ธีระกดตัดสายแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ ทว่าดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเห็นป้ายลิฟต์ขัดข้องตั้งหราอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังใช้งานได้ปกติจึงเหลือบมองหมายเลขชั้นแวบหนึ่งขณะนี้เขายืนอยู่ที่ชั้นห้าสิบและดาดฟ้าคือชั้นเจ็ดสิบ นั่นหมายความว่าต้องเดินขึ้นบันไดไปถึงยี่สิบชั้น!"เอาว่ะ" นาทีนี้ต่อให้ต้องแลกกับอะไรเข
ปังๆๆเสียงทุบประตูห้องทำงานดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาชายหนุ่มที่หลับใหลอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขาคร่ำเคร่งกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำและเพิ่งจะได้นอนอย่างสงบสุขไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง“ไอ้คิน! กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”น้ำเสียงคุ้นเคยเล็ดลอดผ่านเข้ามาพร้อมกับเสียงทุบบานประตูที่ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ จนอนาคินต้องลุกไปปลดล็อกแล้วโพล่งถามท่าทางไม่สบอารมณ์“เป็นบ้าอะไรของมึง วุ่นวายแม่งตั้งแต่เช้า”"เช้าอะไรของมึง นี่มันเที่ยงแล้วโว้ย" สวนกลับทันควัน"แล้วมึงมีธุระอะไร" อนาคินมองเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ววกกลับมาหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราดูแปลกตา“มึงจะส่งลิลกลับไปอยู่ต่างประเทศเหรอ”“ใครบอกมึง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย“ไอ้เดย์บอกว่าลิลจะออกเดินทางช่วงบ่ายของวันนี้”อนาคินจ้องลึกลงไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่างและสิ่งที่เห็นได้ชัดคือความกระวนกระวายของอีกฝ่ายขณะรอฟังคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้“เพราะเรื่องนี้ มึงเลยรีบถ่อมา?”“กูจะไม่ยอมให้มึงทำแบบนั้นเด็ดขาด”“แล้วมึงจะทำไม" สีหน้าแฝงความเจ้าเล่ห์ขณะย้อนถามพร้อมจับตาดูอากัปก
“ลลิล!”“คะ?” เงยใบหน้ามองพี่ชายด้วยความงุนงง“เป็นอะไรไปนะ”“ปะ เปล่านี่คะ”อนาคินเบนสายตามองเอกสารบนโต๊ะที่ให้เธอตรวจสอบความเรียบร้อยแวบหนึ่งแล้วจับจ้องไปยังใบหน้าหวานอีกครั้ง"แล้วร้องไห้ทำไม"หญิงสาวรีบงุดหน้าและเห็นว่าบนแผ่นกระดาษมีหยดน้ำตาร่วงโรยลงมาจนเกิดรอยด่างดวงโดยที่เธอแทบไม่รู้ตัว“อ้ะ! ขอโทษค่ะ ลิลทำเอกสารเลอะหมดเลย” รีบขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้“จะกลับบ้านก่อนมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นสภาพน้องสาวของตัวเอง ความสดใสหายไป จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนชีวิตอีกครึ่งหนึ่งหลุดลอยเสียแล้ว“ลิลไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ” น้ำเสียงยังคงขึ้นจมูกขณะยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มกลืน“งั้นคืนนี้เราพักกันที่นี่เป็นไง พี่จะได้อยู่เคลียร์งานยาวๆ ”“ดีเหมือนกันค่ะ” อันที่จริงเธอเองก็ไม่อยากกลับบ้าน อีกทั้งยังคิดว่าหากได้อยู่ในสถานที่ใหม่ๆ อาจจะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง“ไว้เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องห้องให้”หลังจากนั้นสองพี่น้องจึงนั่งทำงานของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนเวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็นตึง!"โอ๊ะโอ~ ทำไมห้องนี้บรรยากาศดูอึมคร
นัยน์ตาคู่สวยเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปราศจากดวงดาวพลางลูบสองแขนไปมาเพราะสะท้านกับความเหน็บหนาวขณะตกอยู่กับความคิดมากมายเพียงลำพังตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทนกลับมาใช้ชีวิตโดยไม่มีชายหนุ่มเคียงข้างกาย ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า และทำได้เพียงแค่คิดถึงเท่านั้นความรู้สึกแสบร้อนเริ่มผุดขึ้นในดวงตาจนต้องกะพริบถี่ไล่ความชื้นให้มลายหายไปซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเหลือบเห็นแสงไฟสว่างจ้าบริเวณสามแยกถนนลลิลจับราวระเบียงแล้วชะเง้อคอมองอย่างมีความหวังว่าอาจจะมีรถของใครบางคนจอดอยู่ตรงนั้น ทว่าเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกสติเธอให้กลับคืนมา“กับข้าวเสร็จแล้ว”อนาคินเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างน้องสาวแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางถามขึ้นด้วยความสงสัย“มองหาอะไรเหรอ”“เปล่าค่ะ ลิลแค่ออกมาสูดอากาศเฉยๆ”"เหมือนฝนจะตก เข้าข้างในเถอะ"หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วลอบมองไปยังจุดนั้นอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความมืดมิดเท่านั้นจึงเลื่อนปิดประตูระเบียงก่อนจะเดินตามหลังพี่ชายลงไปยังห้องรับประทานอาหารความห่างเหินระหว่างพี่น้องเริ่มก่อเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นและถึงแม้ตอนนี้จะดีขึ้