ความพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว กลับเปลี่ยนชีวิตของเขาและเธอไปตลอดกาล... เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ธีระหลงคิดว่า เธอคือใครอีกคนที่เขารักหมดหัวใจ ค่ำคืนแห่งความมืดมนผ่านพ้นไปพร้อมความบริสุทธิ์ที่ถูกพราก แต่ถึงอย่างนั้นลลิลกลับไม่แม้แต่จะเรียกร้องสิ่งใดและทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่ได้ยุติแค่ตรงนั้น เมื่อเธอรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งท้องลูกของเขา...
View More“ยินดีด้วยนะ สาวน้อย”
“ขอบคุณพี่คินนะคะ ที่ทำให้ลิลมีวันนี้” เรือนร่างบอบบางเข้าสวมกอดคนตัวสูงกว่าด้วยความซาบซึ้งใจ
“เพราะความพยายามของลิลต่างหาก” ชายหนุ่มกอดตอบพร้อมใช้มือข้างหนึ่งลูบเรือนผมนุ่มสลวยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพูดต่อ
“นี่ถ้าท่านทั้งสองยังอยู่ คงภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มากแน่ๆ”
อนาคินจ้องมองไปยังภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังภายในโถงทางเดินของบ้านซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกในครอบครัวโดยมีเขาที่ตอนนั้นอายุประมาณสิบแปดปียืนอยู่ข้างหลัง ส่วนน้องสาวที่เพิ่งจะห้าขวบนั่งตรงกลางระหว่างบิดาและมารดา สีหน้าของทุกคนฉายชัดถึงความสุขอย่างชัดเจน
แต่แล้วในอีกสิบปีต่อมาทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป เมื่อทั้งสองเสียชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปเจรจาธุรกิจ ชายหนุ่มจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโรงแรมหรูย่านใจกลางเมืองอย่างเต็มตัว รวมถึงการดูแลน้องสาวเพียงคนเดียวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา
“ท่านต้องภูมิใจในตัวลูกชายด้วยสิคะ พี่คินทั้งดูแลโรงแรม แล้วยังต้องมาดูแลน้องสาวคนนี้อีก” ลลิลคลายอ้อมกอดแล้วเงยใบหน้าหวานละมุนมองพี่ชายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานจนเห็นฟันขาว
“ก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยนี่ ในเมื่อน้องสาวคนนี้ไม่เคยทำให้พี่ผิดหวัง”
“…”
“เพราะฉะนั้น วันนี้ก็สนุกให้เต็มที่ละ พี่จัดขึ้นเพื่อลิล”
“ไม่ใช่ว่าที่จัดงานใหญ่ขนาดนี้เพราะอยากเห็นเพื่อนสาวสวยๆ อ้ะ! พี่คิน ลิลเจ็บนะ” ยังไม่ทันที่ประโยคนั้นจะถูกพ่นจนจบก็โดนอีกฝ่ายส่งมะเหงกลงบนหน้าผากจนเธอต้องยกมือขึ้นคลำป้อยๆ
“คิดไปถึงไหนนะเรา พี่แค่จัดงานให้สมเกียรติของเด็กเกียรตินิยมจากฮาวาร์ดก็เท่านั้น ส่วนของขวัญไว้ให้เดือนหน้าแล้วกัน”
“เอ๊ะ ทำไมถึงนานขนาดนั้นล่ะคะ”
“เถอะน่า”
“พี่คินยิ่งทำให้ลิลอยากรู้นะเนี่ย”
“เฮ้ย ไอ้คิน ไอ้ธีร์มาแล้ว” จู่ๆ เสียงหนึ่งดังมาจากประตูทางเข้าบ้านขัดจังหวะบทสนทนาของสองพี่น้อง
“เออๆ เดี๋ยวตามไป” อนาคินตะโกนตอบกลับเพื่อนชายคนสนิททั้งที่ยังไม่เห็นหน้า ก่อนจะหันมาบอกกล่าวน้องสาวแล้วเดินออกไป
“พี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันในงาน”
เมื่อยืนอยู่เพียงลำพัง เสียงดนตรีเริ่มแว่วเข้ามาในหู ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่เธออาศัยมาตั้งแต่เกิดด้วยความคะนึงหาความทรงจำครั้งอดีต เพราะเหตุนี้เธอจึงเลือกจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้าน
หญิงสาวก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังสวนหลังบ้านที่ถูกประดับประดาด้วยไฟหลากสีสัน ทว่าระหว่างทางสายตาสะดุดกับร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็กสีดำและรองเท้าหนังวาววับสีเดียวกันกำลังยืนหันหลังท่าทางเหมือนคุยโทรศัพท์มือถือ
ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมา สิ่งของในมือกลับถูกเขวี้ยงลงบนพื้นหญ้าจนกระเด็นไปอีกทาง ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปจากตรงนั้นเพื่อรวมกลุ่มกับบรรดาเพื่อนฝูง
“มีความสุขอย่างกับน้องสาวได้แต่งงานนะมึง”
คำพูดกระเซ้าเย้าแหย่จากหนุ่มแว่นอย่างเอเดย์ทำเอาสีหน้าของอนาคินเปลี่ยนมาเรียบเฉย อีกทั้งคำพูดยังแข็งกระด้างกว่าเดิม
“ลิลเพิ่งจะยี่สิบสองปี”
“แต่น้องมันก็ถึงวัยที่จะมีความรักได้แล้วนะมึง ดูอย่างพวกเราสิปีนี้จะสามสิบห้ากันแล้วยังแห้วอยู่เลย”
“หุบปากเถอะน่า” คนหวงน้องสาวแสดงท่าทางรำคาญอย่างไม่ปิดบัง แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะสะทกสะท้าน
“บางทีน้องสาวมึงอาจจะมีแฟนอยู่แล้วก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ไม่มี”
“ที่มึงมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าจ้างคนไปสืบ”
“กูแค่เป็นห่วงน้อง”
“ความเป็นส่วนตัวนะ มึงรู้จักมั้ยวะ?” เอเดย์ถึงกับส่ายหน้า พลางหันไปมองแก้วตาดวงใจของเพื่อนซึ่งนั่งพูดคุยอยู่กับบรรดาเพื่อนฝูงของเธอซึ่งล้วนบินมาจากต่างประเทศด้วยกันทั้งนั้น
แต่จะว่าไป ความหวงน้องสาวเกินเหตุของเพื่อนก็พอจะเข้าใจได้อยู่บ้าง ในเมื่ออีกฝ่ายสวยหวานปานนางฟ้าขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหน้าน่าทะนุถนอม เรือนผมสีน้ำตาลแดงที่ขับให้ผิวขาวจัดของเธอยิ่งขาวผ่องเป็นยองใย
“เคลิ้มเชียวนะมึง”
เสียงนั้นเรียกสติของเอเดย์ให้หวนคืนมาอีกครั้ง แต่คนที่ชอบแกล้งเพื่อนอย่างเขาไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น
“กูจีบน้องมึงได้มั้ย”
“แดกส้นทีนกูแทนเถอะมึงอะ”
“เออๆ กูไม่กวนแล้วก็ได้ ว่าแต่ไอ้ธีร์มันหายหัวไปไหนของมันวะ”
“นั่นไง พูดถึงก็มาพอดีเลย ตายยากชิบ” อนาคินปรายตาไปยังร่างสูงของเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามา
ธีระนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเพื่อนทั้งสองแล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วคริสตัลสีใสเพื่อรินหยาดน้ำสีอำพันลงในนั้น ก่อนจะกระดกดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายไปหลายแก้ว โดยไม่ลืมหยิบบุหรี่จุดสูบราวกับต้องการระบายความอัดแน่นในใจผ่านควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมา
“เรื่องเดิมอีกแล้วใช่มั้ย” เอเดย์เปิดปากถามทันทีที่เห็นท่าทางของเพื่อนโดยมีอนาคินตามสมทบ
“มึงตัดใจเถอะว่ะ”
“พวกมึงคิดว่ากูไม่เคยพยายามเหรอ”
“ก็แล้วทำไมถึง...” อนาคินยังเอ่ยไม่ทันจบ คำตอบที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงแค่นหัวเราะก็ถูกพ่นออกมา
“เธอกำลังจะแต่งงาน”
“เฮ้ย!” คนอย่างเอเดย์ยังรู้สึกตกใจแทบไม่เชื่อหูตัวเองทำให้ธีระพูดย้ำอีกครั้ง
"เธอกำลังจะแต่งงานอาทิตย์หน้า"
“ทำไมสายฟ้าแลบขนาดนั้นวะ อย่าบอกนะว่า…”
“เธอท้อง” น้ำเสียงเบาหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปากหยักลึก นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นฉายความเจ็บปวดออกมายากจะทานทน
ความเงียบเข้าปกคลุมจนได้ยินเสียงพูดคุยจากอีกฟากอย่างชัดเจน อนาคินที่กำลังจับจ้องอยู่ที่เพื่อนเริ่มปริปากอีกครั้ง
“แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อะไรล่ะที่ว่าดี เธอท้อง เธอกำลังจะแต่งงาน หรือเพราะผู้ชายคนนั้นไม่ใช่กู” พูดพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง
“มึงตั้งสติหน่อยไอ้ธีร์” เอเดย์พยายามปราม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีสติอย่างเห็นได้ชัดจนเพื่อนต้องคอยดึงสติอยู่หลายรอบ..
หลังจากงานเลี้ยงเลิกประมาณเที่ยงคืน ลลิลเข้าห้องนอนทันที ทว่าเพราะเจ็ทแล็กทำให้เธอนอนพลิกตัวไปมาจนถึงตีสองพร้อมฟังเสียงข้างห้องซึ่งเป็นห้องนอนของพี่ชายที่มีเสียงอะไรบางอย่างเล็ดลอดเข้ามา ทำให้เธอรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่นอนเช่นเดียวกัน
หญิงสาวลุกพรวดนั่งบนเตียง คิดว่าจะไปเคาะประตูดีหรือไม่ในเมื่อถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับ อีกทั้งช่วงที่บิดามารดาไม่อยู่ ทุกครั้งที่เธอไม่สามารถข่มตาหลับได้จะมีพี่ชายคอยลูบศีรษะจนเธอหลับใหลอย่างง่ายดาย
ลลิลตัดสินใจเดินออกไปจากห้องนอนของตัวเองแล้วเคาะประตูเรียกชื่อเจ้าของห้อง ครั้นเมื่อลองบิดลูกบิดปรากฏว่าไม่ได้ล็อกจึงลองเปิดแล้วเดินเข้าไปโดยไม่คิดอะไรท่ามกลางแสงสลัวจากไฟหัวเตียง
“พี่คิน ลิลนอนไม่หลับ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดไม่ต่างจากเด็ก ทว่าเมื่อเธอมองไปบนเตียงสีดำสนิทกลับพบเพียงความว่างเปล่า
“กลับมาแล้วเหรอ”
น้ำเสียงยานคางของใครบางคนดังขึ้นจากข้างหลังบริเวณหน้าห้องน้ำจนเธอรีบหันขวับไปมอง เสี้ยววินาทีต่อมาร่างกายกลับถูกเจ้าของเสียงนั้นสวมกอดไว้แน่นแทบหายใจไม่ออก
“อย่าไปจากพี่เลยนะ” คนที่ยืนตัวแข็งทื่อเพราะความงงงวยพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของร่างสูง
“อ้ะ! อื้อ”
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ประคองใบหน้าเธอแล้วทาบทับริมฝีปากลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยายามสอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไป กลิ่นลมหายใจทำให้เธอรู้ว่าเขาดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เข้าไปมากมายเพียงใด
"อื้อ!!" หญิงสาวพยายามผลักอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตัว ทว่าเรี่ยวแรงของเธอแทบสู้คนเมาอย่างเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ กระทั่งจังหวะที่เผลออ้าปาก เรียวลิ้นอุ่นร้อนถูกสอดแทรกเข้าไปในที่สุด
สองเดือนต่อมา…ผมเฝ้ามองลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังน้อยภายในห้องนั่งเล่นอย่างไม่รู้สึกเบื่อ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอช่างบริสุทธิ์และน่าทะนุถนอมอะไรเช่นนี้อย่างที่รู้กันว่า ณดาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ทุกคนรอบตัวต่างหลงรักเธอซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตกหลุมรักลูกสาวตัวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า“กำลังชื่นชมผลผลิตของตัวเองอยู่เหรอคะ”ภรรยาของผมเอ่ยแซวแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เธอคือบุคคลสำคัญที่มอบของขวัญล้ำค่าและน่าอัศจรรย์ใจให้กับผม"แน่นอน"ผมว่าแล้วโอบไหล่บางแนบชิดกาย แต่พอลองสังเกตดูดีๆ เหมือนสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนักจึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้“ที่รักไม่สบายหรือเปล่า”“แค่รู้สึกมึนๆ เหมือนนอนไม่พอนะคะ”เธอยังคงส่งรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างที่ชอบทำเพื่อให้ผมคลายกังวล“ไปพักหน่อยมั้ย ถึงยังไงวันนี้พี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้น้ำหวานๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”ผมเพิ่งเห็นชานมไข่มุกที่เหลือครึ่งแก้วในมือข้างซ้ายของเธอ"ของหวานทำให้อารมณ์ดีขึ้นงั้นสิ"เธอพยักแทนคำตอบแล้วยื่นแก้วมาตรงหน้าผม"ลองชิมดูมั้ยคะ หวานร้อย(เปอร์เซ็นต์)อร่
“เป็นยังไงบ้างคะ”“อืม ดีมาก”“หมายถึงรสชาติอาหาร?”“หมายถึงเมีย”สิ้นประโยคนั้น ฉันถูกหอมแก้มทั้งสองข้างอีกฟอดใหญ่จึงวางช้อนชิมน้ำซุปก่อนหน้านี้ลงที่เดิมแล้วเอียงคอมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามีเชิงตัดพ้อ“เสียใจจัง ลิลอุตส่าห์ตั้งใจทำนะคะเนี่ย” “อ่า~ ไม่งอนผัวนะครับคนดี"เขาตีเนียนกระชับอ้อมแขนที่กำลังสวมกอดฉันจากข้างหลังแน่นขึ้นพลางเกยคางลงบนไหล่อย่างออดอ้อนแล้วเริ่มเอ่ยชมไม่ขาดปาก"ถึงยังไงอาหารฝีมือเมียก็รสชาติดี มีประโยชน์ ถูกหลักอนามัย และอร่อยที่สุดในโลก""...""แถมคนทำยังอร่อยและแซ่บจนหยุดกินไม่ได้อีกต่างหาก...”น้ำเสียงกระเส่าพอๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนจะซุกไซ้ยังซอกคอของฉันอย่างหื่นกระหายจนต้องเอียงคอหลบสัมผัสสุดแสนจะวาบหวาม"อื้อ พี่ธีร์"“ผัวหิวอีกแล้ว”“เห็นทีตอนนี้คงไม่ได้ค่ะ” ฉันรีบตัดบทคนหื่นกระหายอย่างเขาที่ต้องทำเรื่องอย่างว่าสามเวลาก่อนอาหารหรือทุกครั้งที่มีโอกาส“ทำไมล่ะจ๊ะ เมียจ๋า” เขาใช้ฟันขาวๆ ขบเม้มผิวเนื้อนวลเนียนที่ซอกคออย่างคนที่กำลังมันเขี้ยว มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฉันราวกับปลาหมึกแต่แล้ว…แอ๊ะ แง แง!เสียงร้องของลูกสาวตัวน้
ฟู่ว~ริมฝีปากหยักลึกระบายลมหายใจออกมาราวกำลังรวบรวมความกล้าพลางใช้นิ้วกดกริ่งสนทนาข้างประตูแล้วยืนรอครู่หนึ่ง ทว่ากลับไร้วี่แววของคนในห้องจึงลองใหม่อีกครั้งไม่กี่วินาทีต่อมา เขาตัดสินใจใช้คีย์การ์ดที่เพื่อนให้ติดมาด้วยแล้วผลักประตูเข้าไปทันทีก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจทั่วห้องเตียงนอนดูเป็นระเบียบเสมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน บนโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้าไม่หลงเหลือข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียว อีกทั้งภายในห้องน้ำก็ปราศจากคนที่เขากำลังตามหาจึงรีบต่อสายหาเพื่อนด้วยความร้อนใจ“ลิลไม่ได้อยู่ที่ห้อง ของใช้ทุกอย่างก็ไม่มี” โพล่งออกมาทันทีที่อีกฝ่ายกดรับแล้วพึมพำด้วยความรู้สึกหวั่นใจ“หรือลิลหนีกูไปแล้ว”(มึงใจเย็นๆ แล้วลองขึ้นไปหาบนดาดฟ้าก่อน ลิลชอบไปนั่งเล่นที่นั่น)ธีระกดตัดสายแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ ทว่าดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเห็นป้ายลิฟต์ขัดข้องตั้งหราอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังใช้งานได้ปกติจึงเหลือบมองหมายเลขชั้นแวบหนึ่งขณะนี้เขายืนอยู่ที่ชั้นห้าสิบและดาดฟ้าคือชั้นเจ็ดสิบ นั่นหมายความว่าต้องเดินขึ้นบันไดไปถึงยี่สิบชั้น!"เอาว่ะ" นาทีนี้ต่อให้ต้องแลกกับอะไรเข
ปังๆๆเสียงทุบประตูห้องทำงานดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาชายหนุ่มที่หลับใหลอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขาคร่ำเคร่งกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำและเพิ่งจะได้นอนอย่างสงบสุขไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง“ไอ้คิน! กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”น้ำเสียงคุ้นเคยเล็ดลอดผ่านเข้ามาพร้อมกับเสียงทุบบานประตูที่ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ จนอนาคินต้องลุกไปปลดล็อกแล้วโพล่งถามท่าทางไม่สบอารมณ์“เป็นบ้าอะไรของมึง วุ่นวายแม่งตั้งแต่เช้า”"เช้าอะไรของมึง นี่มันเที่ยงแล้วโว้ย" สวนกลับทันควัน"แล้วมึงมีธุระอะไร" อนาคินมองเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ววกกลับมาหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราดูแปลกตา“มึงจะส่งลิลกลับไปอยู่ต่างประเทศเหรอ”“ใครบอกมึง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย“ไอ้เดย์บอกว่าลิลจะออกเดินทางช่วงบ่ายของวันนี้”อนาคินจ้องลึกลงไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่างและสิ่งที่เห็นได้ชัดคือความกระวนกระวายของอีกฝ่ายขณะรอฟังคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้“เพราะเรื่องนี้ มึงเลยรีบถ่อมา?”“กูจะไม่ยอมให้มึงทำแบบนั้นเด็ดขาด”“แล้วมึงจะทำไม" สีหน้าแฝงความเจ้าเล่ห์ขณะย้อนถามพร้อมจับตาดูอากัปก
“ลลิล!”“คะ?” เงยใบหน้ามองพี่ชายด้วยความงุนงง“เป็นอะไรไปนะ”“ปะ เปล่านี่คะ”อนาคินเบนสายตามองเอกสารบนโต๊ะที่ให้เธอตรวจสอบความเรียบร้อยแวบหนึ่งแล้วจับจ้องไปยังใบหน้าหวานอีกครั้ง"แล้วร้องไห้ทำไม"หญิงสาวรีบงุดหน้าและเห็นว่าบนแผ่นกระดาษมีหยดน้ำตาร่วงโรยลงมาจนเกิดรอยด่างดวงโดยที่เธอแทบไม่รู้ตัว“อ้ะ! ขอโทษค่ะ ลิลทำเอกสารเลอะหมดเลย” รีบขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้“จะกลับบ้านก่อนมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นสภาพน้องสาวของตัวเอง ความสดใสหายไป จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนชีวิตอีกครึ่งหนึ่งหลุดลอยเสียแล้ว“ลิลไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ” น้ำเสียงยังคงขึ้นจมูกขณะยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มกลืน“งั้นคืนนี้เราพักกันที่นี่เป็นไง พี่จะได้อยู่เคลียร์งานยาวๆ ”“ดีเหมือนกันค่ะ” อันที่จริงเธอเองก็ไม่อยากกลับบ้าน อีกทั้งยังคิดว่าหากได้อยู่ในสถานที่ใหม่ๆ อาจจะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง“ไว้เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องห้องให้”หลังจากนั้นสองพี่น้องจึงนั่งทำงานของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนเวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็นตึง!"โอ๊ะโอ~ ทำไมห้องนี้บรรยากาศดูอึมคร
นัยน์ตาคู่สวยเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปราศจากดวงดาวพลางลูบสองแขนไปมาเพราะสะท้านกับความเหน็บหนาวขณะตกอยู่กับความคิดมากมายเพียงลำพังตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทนกลับมาใช้ชีวิตโดยไม่มีชายหนุ่มเคียงข้างกาย ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า และทำได้เพียงแค่คิดถึงเท่านั้นความรู้สึกแสบร้อนเริ่มผุดขึ้นในดวงตาจนต้องกะพริบถี่ไล่ความชื้นให้มลายหายไปซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเหลือบเห็นแสงไฟสว่างจ้าบริเวณสามแยกถนนลลิลจับราวระเบียงแล้วชะเง้อคอมองอย่างมีความหวังว่าอาจจะมีรถของใครบางคนจอดอยู่ตรงนั้น ทว่าเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกสติเธอให้กลับคืนมา“กับข้าวเสร็จแล้ว”อนาคินเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างน้องสาวแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางถามขึ้นด้วยความสงสัย“มองหาอะไรเหรอ”“เปล่าค่ะ ลิลแค่ออกมาสูดอากาศเฉยๆ”"เหมือนฝนจะตก เข้าข้างในเถอะ"หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วลอบมองไปยังจุดนั้นอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความมืดมิดเท่านั้นจึงเลื่อนปิดประตูระเบียงก่อนจะเดินตามหลังพี่ชายลงไปยังห้องรับประทานอาหารความห่างเหินระหว่างพี่น้องเริ่มก่อเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นและถึงแม้ตอนนี้จะดีขึ้
Comments