“ซืออวี่ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง คุณจะให้ผมส่งเขาไปไหน?”“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรกังวล” เสิ่นชิงซูพูดขึ้นโดยใช้น้ำเสียงอย่างไม่เกี่ยวข้องกับตน“เสิ่นชิงซู ต่อให้จะเป็นการประชดประชันคุณก็ไม่ควรพูดแบบนี้”“ลูกชายฉันตายไปแล้ว ถูกโจวอวี๋ชูทำให้ตาย คุณคิดว่าฉันกำลังประชดประชัน?”ฟู่ซือเหยียนจ้องเธอ สีหน้าเคร่งขรึมเสิ่นชิงซูแสยะยิ้มทีหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฟู่ซือเหยียน เอาศีลธรรมมาอ้างมันใช้กับฉันไม่ได้ผลหรอกนะ คุณมีเงินถมเถไป หนีอวี่เถียนก็ดูแลฟู่ซืออวี่ได้ไม่ใช่เหรอ?”“เธอเป็นแค่ครู จะเหมือนแม่ได้เหรอ?”“งั้นคุณก็ส่งฟู่ซืออวี่กลับไปอยู่กับโจวอวี๋ชูสิ ฉันมีลูกชายแค่คนเดียว แต่เขาตายไปแล้ว ก็ยังเป็นคุณที่แย่งเขาไปเองกับมือ ฝังเขาไว้ที่สุสานตระกูลฟู่โดยไม่สนใจความเห็นของฉัน! ฟู่ซือเหยียน คุณจะไม่ให้ฉันเกลียดได้ยังไง?”ฟู่ซือเหยียนอึ้งไปเสิ่นชิงซูกดความเจ็บปวดในใจเอาไว้ พลางพูดขึ้นอย่างเย็นชา “คุณไม่จำเป็นต้องทำท่าทีลำบากใจแบบนี้หรอก คุณตัดใจให้ฟู่ซืออวี่ลำบากไม่ได้ แต่ทิ้งฉันกับเสี่ยวอันหนิงได้ ต่อไปพวกคุณพ่อลูกก็รักกันให้ดี ๆ ใช้ชีวิตอย่างสบายใจและมีอิสระ และไม่ต้องกังวลว่าฉั
นักสืบเอกชนแห่งนี้ติดต่อกับโจวอวี๋ชูค่อนข้างบ่อยฟู่ซือเหยียนรู้ว่าโจวอวี๋ชูไม่มีทางอยู่เฉย ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจโจวอวี๋ชูเขาเองก็รู้ว่าโจวอวี๋ชูให้คนส่งรูปพวกนั้นให้เขา เพื่อยุแยงให้เขากับเสิ่นชิงซูแตกคอกันอันที่จริงเขาไม่เคยสนใจวิธีการชั้นต่ำพรรค์นี้ของโจวอวี๋ชูทว่าเขาไม่สามารถละเลยรูปภาพพวกนั้น เมื่อนึกถึงเสิ่นชิงซูกับจิ้นเชวี่ยอยู่ด้วยกัน ในใจเขาก็จะมีเพลิงเผาไหม้อย่างไม่มีเหตุผลสุดท้าย เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะให้เส้าชิงไปตรวจสอบตารางงานของเสิ่นชิงซูเมื่อตรวจสอบดูถึงรู้ ที่แท้สัปดาห์นี้เสิ่นชิงซูอยู่กับจิ้นเชวี่ยตลอดรายการถ่ายทำทั้งหมดก็แค่สามวัน แต่หลังเธอกับจิ้นเชวี่ยถ่ายทำรายการเสร็จ ก็ไปชนบทด้วยกันอีกตอนนี้กลับถึงเมืองเป่ยแล้ว เสิ่นชิงซูยังพาจิ้นเชวี่ยไปที่บ้านอีก!ฟู่ซือเหยียนจ้องจิ้นเชวี่ยจิ้นเชวี่ยนั่งอยู่ตรงนั้น วางแก้วชาในมือลงก่อนจะเงยหน้ามองเขา “คุณฟู่มองผมแบบนี้ มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ?”เวินจิ่งซี ‘ชิ’ ขึ้นมาเสียงหนึ่ง มองจิ้นเชวี่ยแล้วพูดว่า “เขาอาจจะอยากถามคุณว่า คุณรักษาโรคทางสมองได้ไหม?”จิ้นเชวี่ยชะงักไป คิ้วดำดุจน้ำหมึกเลิกขึ้นเล็กน
กลับถึงเมืองเป่ย เสิ่นชิงซูกับจิ้นเชวี่ยเดินออกมาจากสนามบินกวนเยว่มารับจิ้นเชวี่ยจิ้นเชวี่ยถามเสิ่นชิงซู “ผมส่งคุณกลับไปก่อน?”“ฉันจะกลับบ้านอวิ๋นกุย” เสิ่นชิงซูมองเวลา แล้วพูดต่อว่า “ก็ใกล้ได้เวลากินข้าวแล้ว ถ้าคุณไม่รีบ ไปกินข้าวที่บ้านอวิ๋นกุยกับผู้ช่วยกวนแล้วค่อยกลับไปดีไหมคะ?”จิ้นเชวี่ยเลิกคิ้ว “สายที่คุณเพิ่งรับไป เป็นสายของเสี่ยวอันหนิงเหรอ?”เสิ่นชิงซูคลี่ยิ้มอย่างจนใจ “ใช่ค่ะ ยัยหนูรู้ว่าฉันไปกับคุณ เลยมอบหมายภารกิจให้ฉันพาคุณกลับไป”“ความรู้สึกที่ถูกคนคิดถึงนี่มันดีจริง ๆ” จิ้นเชวี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “งั้นผมจะช่วยคุณทำภารกิจให้สำเร็จเอง กลับไปรายงานเสี่ยวอันหนิง”เสิ่นชิงซูหัวเราะ ทั้งสามคนขึ้นไปบนรถผ่านไปครึ่งชั่วโมง กวนเยว่ก็ขับรถเข้ามาในลานของคฤหาสน์ซีอวี้ได้ยินเสียงรถ เสี่ยวอันหนิงกับเสี่ยวเนี่ยนอันก็วิ่งออกมาพร้อมกันพอเสิ่นชิงซูลงจากรถมาแล้วเห็นเสี่ยวเนี่ยนอัน ก็ประหลาดใจเล็กน้อย“เสี่ยวเนี่ยนอัน หนูมาคนเดียวเหรอ?”เสี่ยวเนี่ยนอันส่ายหน้า แล้วชี้ไปในบ้าน “น้าจาง”จางอวิ๋นเดินออกมา เห็นเสิ่นชิงซูก็ฉีกยิ้มพูดอธิบาย “สองวันนี้คุณเฟิงค่อนข้างยุ่ง ฉ
กล้องบันทึกภาพทั้งหมดนี้เอาไว้ผู้กำกับมองโจวอวี๋ชูที่แสดงออกว่าค่อนข้างระแวงอย่างเห็นได้ชัดในภาพ ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตกกลางคืน หยุดการถ่ายทำชั่วคราวหลังกินมื้อค่ำ ก็เริ่มถ่ายทำใหม่อีกครั้งทีมงานรายการจัดการแข่งขันระหว่างทีมชั่วคราวไว้ที่เวทีการแสดงในเมืองบรรดาแขกรับเชิญขึ้นทำการแสดงบนเวที ศิลปินที่ปรึกษาของทั้งสองทีมเองก็อยู่ในสถานที่แข่งขันด้วยบรรดาแขกรับเชิญถือว่าทำการแสดงได้ดีทีเดียวเสียงปรบมือราวกับฟ้าร้องของชาวบ้านดังก้องอยู่นานถึงหยุดลงนี่เป็นการต้อนรับแสนเป็นมิตรที่ชาวบ้านในพื้นที่มีต่อแขกที่มาจากภายนอกประสบการณ์แบบนี้ สำหรับแขกรับเชิญแต่ละคนแล้ว ล้วนเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากทั้งสิ้นมีเพียงคนเดียวที่ กระวนกระวายใจ หนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปีท้ายที่สุด ก็อดทนผ่านการถ่ายทำสามวันสองคืนไปได้วันที่สี่ การถ่ายทำรายการของสัปดาห์นี้เสร็จสิ้นลง แขกรับเชิญทุกคนทยอยเดินทางกลับเสิ่นชิงซูกับจิ้นเชวี่ยกลับด้วยกันก่อนกลับเมืองเป่ย พวกเขาไปที่ชนบทก่อนเพิ่งผ่านไปเดือนกว่า อาการของเจียงเยว่หลานดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากแม้เธอยังเอ๋อ ๆ อยู่ แต่อารมณ์คงที่ขึ้นเย
ย่าอาเซียงเห็นว่าสีหน้าของโจวอวี๋ชูดูผิดปกติ จึงพูดขึ้นว่า “ถ้าคุณโจวรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่งั้นลองเสียงก่อนเป็นยังไง?”ลองเสียง?โจวอวี๋ชูกล้าที่ไหนกัน!เสิ่นชิงซูเห็นในแววตาของโจวอวี๋ชูประกายความลุกลี้ลุกลน ก็เกือบโพล่งขำออกมาไป๋เจี้ยนเหวินสอนโจวอวี๋ชูสามวัน พบว่าโจวอวี๋ชูมักจะเรียนไม่ได้เรื่อง ไม่เพียงเพราะท่าทางไม่ได้เรื่อง แต่ยิ่งเป็นเพราะโจวอวี๋ชูมีข้อเสียร้ายแรงข้อหนึ่ง...เธอเสียงเพี้ยน!เพราะงั้นพูดได้ว่า เป็นคนอย่าโลภมากเกินไปโจวอวี๋ชูอยากได้ทุกสิ่ง ไม่มีวันรู้จักพอ ยิ่งถูกยกยอมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากได้มากเท่านั้นคนแบบนี้ ประสบความสำเร็จด้วยความทะเยอทะยาน และจะล้มเหลวก็ด้วยความทะเยอทะยาน!ทว่า เสิ่นชิงซูยังไม่คิดจะเปิดโปงโจวอวี๋ชูในวันนี้เมื่อวานกับวันนี้ เป็นแค่น้ำจิ้มเบา ๆ เท่านั้นไฮไลต์จริง ๆ ยังต้องรอวันที่เสิ่นฉู่ซีคว้าแชมป์!“เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ” เสิ่นชิงซูมองไปที่ย่าอาเซียง “ย่าคะ เหมือนว่าคุณโจวจะตื่นเต้นนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นในส่วนการร้องเพลง เราทุกคนร้องประสานเสียงกันดีไหมคะ?”ได้ยินแบบนั้น โจวอวี๋ชูก็มองไปที่เสิ่นชิงซูเสิ่นชิงซูสบตากับเธอ แสยะยิ้มชืด ๆ
โจวอวี๋ชูจงใจแสร้งทำเป็นอ่อนแอมากระตุ้นความต้องการปกป้องของหยางเหิงในอดีตไม้นี้ของเธอใช้ได้ผลเสมอแต่วันนี้กับหยางเหิง เธอเผชิญกับอุปสรรคแล้วหยางเหิงในฐานะผู้จัดการอาวุโส ในใจเขามีหลักการของตัวเองพฤติกรรมแบบนี้ของโจวอวี๋ชูแตะต้องเส้นต่ำสุดของเขาเข้าแล้วเขาพูดขึ้นด้วยความเดือดดาล “เธอว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมตอนแรกเธอถึงไม่หารือกับฉันก่อน?”โจวอวี๋ชูตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหยางเหิงจะไร้ซึ่งการตอบสนองต่อการแสดงความอ่อนแอของเธอ!เธอไม่เชื่อ ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “พี่ใหญ่หยาง...”“หยุด!” หยางเหิงมือหนึ่งเท้าสะเอว มือหนึ่งชี้โจวอวี๋ชู “ต่อให้เธอเรียกฉันว่าพ่อก็ไม่มีประโยชน์! ฉันจะบอกเธอให้นะ เรื่องพรรค์นี้สำหรับฉันคือเรื่องต้องห้าม!”โจวอวี๋ชูคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้แต่หยางเหิงคล้ายกับเป็นพวกหัวแข็ง เธอรู้ว่า แสดงความอ่อนแอมุขนี้ไม่ได้ผลกับหยางเหิงสีหน้าเธอเคร่งขรึม น้ำเสียงเองเย็นชาลงสองสามส่วน “ฉันเองก็คิดไม่ถึงว่าคุณจะให้ฉันมาถ่ายทำรายการนี้ ตอนที่คุณตัดสินใจรับวาไรตี้โชว์นี่ คุณก็ไม่ได้มาหารือกับฉันก่อนเหมือนกัน!”“ฉันเป็นผู้จัดการของเธอ ไม่ว่าฉันจะต