Masuk“โรคจิตขนาดนี้เลยเหรอ?” ฉินเยี่ยนเฉิงเดาะลิ้น “นี่มันถอดแบบมาจากนายเป๊ะเลยไม่ใช่หรือไง?”ฟู่ซือเหยียนขมวดคิ้ว มองฉินเยี่ยนเฉิงตาขวางแล้วเผลอหันไปมองเสิ่นชิงซูโดยสัญชาตญาณเสิ่นชิงซูสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อเด็กปลอดภัยแล้ว งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”ฟู่ซือเหยียนรีบเสนอตัว “เดี๋ยวผมไปส่ง”“ไม่ต้องค่ะ คุณอยู่ดูแลเด็กเถอะ” เสิ่นชิงซูปฏิเสธพลางหันไปทางฉินเยี่ยนเฉิง “หมอฉินคะ ถ้าตอนนี้คุณพอจะมีเวลาว่าง เราคุยกันหน่อยดีไหมคะ?”ฉินเยี่ยนเฉิงยกมือลูบจมูกเขารู้ดีว่าเสิ่นชิงซูคงอยากถามเรื่องเขากับเฉียวซิงเจียจึงรับคำสั้น ๆ “ได้ครับ”......สวนสาธารณะขนาดย่อมข้างโรงพยาบาลเสิ่นชิงซูและฉินเยี่ยนเฉิงนั่งสนทนากันในศาลาพักผ่อนฉินเยี่ยนเฉิงยื่นน้ำแร่ให้เธอขวดหนึ่งเสิ่นชิงซูรับมาพร้อมกล่าวขอบคุณฉินเยี่ยนเฉิงเปิดฝาขวดน้ำแร่ของตัวเอง กระดกไปหนึ่งในสาม แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เสิ่นชิงซูมองเขาเงียบ ๆท่ามกลางแสงแดดสดใส พอมองชัด ๆ ถึงได้เห็นว่าฉินเยี่ยนเฉิงดูซูบลง ขอบตาก็คล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ยังติดต่อซิงซิงไม่ได้อีกเหรอคะ?”ฉินเยี่ยนเฉิงถอนหายใจ “ใจน่ะอยากติดต่อแทบตาย แต่เธอบล็อกเบอร์ผ
ยังไงซะชีเยว่ก็เป็นแค่เด็กแปดขวบ ในสถานการณ์แบบนี้ เสิ่นชิงซูไม่อาจนิ่งดูดายได้เธอดูออกว่าชีเยว่กลัวความมืด และความกลัวนี้ก็เข้าขั้นผิดปกติอีกทั้งฟังจากคำพูดของชีเยว่ ก็พอเดาได้ว่าปกติชีหมิงเสวียนคงเข้มงวดกับการเลี้ยงลูกมากเสิ่นชิงซูพาลนึกไปถึงฟู่ซือเหยียนฉินเยี่ยนเฉิงเคยเล่าว่า วัยเด็กของฟู่ซือเหยียนก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเพราะฉินฟางเช่นกันเสิ่นชิงซูกอดร่างที่สั่นเทาของชีเยว่ไว้ ตบหลังเขาเบา ๆ ปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนหวาน “ไม่ต้องกลัวนะ ลิฟต์แค่ขัดข้องเฉย ๆ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็มาช่วยแล้ว...”น้ำเสียงของเธอช่างอ่อนโยน ยิ่งได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้นในตัวลิฟต์ที่มืดมิดและปิดทึบ“ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอตรงนี้...”เมื่อได้รับการปลอบโยน เสียงสะอื้นของชีเยว่ก็ค่อย ๆ เบาลงแต่สองมือยังคงกอดเสิ่นชิงซูไว้แน่น ร่างกายยังสั่นเทาไม่หยุดเสิ่นชิงซูปลอบโยนเขาต่อ พลางฮัมเพลงเบา ๆร่างกายที่เกร็งของชีเยว่ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงท่ามกลางเสียงเพลงอันอ่อนโยนของผู้หญิงประมาณสิบนาทีต่อมา ข้างนอกก็มีความเคลื่อนไหว“ประธานเสิ่นครับ!”เสิ่นชิงซูตะโกนตอบ “ฉันอยู่ข้างใน”“ประธานเสิ่นไม่ต้องใ
“เธอมีพรสวรรค์ดีมาก ด้วยฐานะทางบ้านอย่างเธอ สามารถหาอาจารย์เก่ง ๆ มาชี้แนะได้สบาย”ชีเยว่วาดไปได้แค่ครึ่งเดียว ก็ได้ยินประโยคนี้หลุดจากปากเสิ่นชิงซูเขาชะงักมือ เงยหน้าขึ้นมองเธอเสิ่นชิงซูสีหน้าเย็นชา “แกลเลอรีของฉันไม่รับเธอ เธอกลับไปซะเถอะ”ชีเยว่วางพู่กันลง จ้องมองเสิ่นชิงซู “เป็นเพราะลุงฟู่แต่งงานกับแม่ผม คุณถึงไม่ชอบผมเหรอครับ?”“ใช่” เสิ่นชิงซูมองเด็กชายที่มีความคิดความอ่านเกินเด็กแปดขวบไปไกล น้ำเสียงยังคงเย็นยะเยือก “เพราะชีหมิงเสวียน และเพราะฟู่ซือเหยียน คนหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยทั้งนั้น”ชีเยว่เริ่มร้อนใจ ขมวดคิ้วรีบอธิบาย “ลุงฟู่รักคุณมากนะครับ เขากับแม่ผมแค่ร่วมมือกันทางธุรกิจเฉย ๆพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันด้วยซ้ำ”เสิ่นชิงซูเพียงแค่นยิ้มเย็น “ฉันไม่สนหรอก เธอเป็นเด็ก ฉันไม่อยากใจร้ายกับเธอเกินไป แต่ขอให้เธออย่ามาที่นี่อีก”ชีเยว่มองเสิ่นชิงซูตาละห้อยเสิ่นชิงซูละสายตากลับมา หันไปสั่งผู้อำนวยการเซวีย “ฉันไปก่อนนะคะ ถ้าเขายังดื้อไม่ยอมกลับ คุณก็แจ้งตำรวจให้มาจัดการได้เลย”ผู้อำนวยการเซวียพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้วครับ”เสิ่นชิงซูหันหล
เมื่อสบตากัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดชีเยว่จ้องมองเสิ่นชิงซูอย่างเหม่อลอยผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงลุกขึ้นยืน มองหน้าเสิ่นชิงซู แล้วถามว่า “คุณเป็นเจ้าของแกลเลอรีนี้เหรอครับ?”เสิ่นชิงซูเดินเข้ามา มองเด็กชายที่มีท่าทางแก่แดดเกินวัย นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยปาก “เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถ้าจะสมัครเรียน ต้องให้ผู้ปกครองมาด้วยถึงจะสมัครได้นะ”“แม่ไม่สนใจผมหรอกครับ” ชีเยว่มองเสิ่นชิงซู ทั้งที่อายุแค่แปดขวบ แต่คำพูดคำจากลับดูเป็นผู้ใหญ่ “ผมตัดสินใจเองได้ ทุกบ่ายวันอาทิตย์ผมจัดสรรเวลาเองได้ครับ”เด็กคนนี้อายุน้อยแค่นี้ แต่กลับมีบุคลิกความเป็นผู้นำแผ่ออกมาพูดง่าย ๆ ก็คือ สุขุมเกินวัยแต่เขาเป็นลูกชายของชีหมิงเสวียน และเป็นลูกเลี้ยงของฟู่ซือเหยียนเสิ่นชิงซูไม่ได้อยากรับเขาไว้นัก“ขอโทษนะ ตามกฎแล้ว แกลเลอรีของเรารับผู้เยาว์เข้าเรียนโดยที่ผู้ปกครองไม่ยินยอมไม่ได้” เสิ่นชิงซูใช้น้ำเสียงเป็นการเป็นงาน“เป็นเพราะแม่ผมคือชีหมิงเสวียน คุณถึงไม่อยากรับผมใช่ไหมครับ?”เสิ่นชิงซูชะงัก “ใช่ เพราะงั้นอย่าฝืนใจคนอื่นเลย ฉันเปิดประตูทำธุรกิจก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จำเป็นต้อ
“หานหมิงอวี่” ชีหมิงเสวียนเอ่ยชื่อเขาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกหานหมิงอวี่ชะงักนิ่งไป“แปดปีแล้วสินะ” ชีหมิงเสวียนหัวเราะในลำคอ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา “ที่แท้คุณก็ยังจำเขาได้ ที่แท้คุณก็จำได้ว่าชีเยว่เป็นลูกของเขา ที่แท้คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณกับฉี่ซือเนี่ยนเป็นพี่น้องกัน”หานหมิงอวี่ขมวดคิ้ว กำโทรศัพท์แน่นขึ้นปลายสาย เสียงของชีหมิงเสวียนยังคงดังต่อเนื่อง “งั้นทำไมตลอดแปดปีมานี้ คุณถึงไม่เคยมาดูดำดูดีพวกเราแม่ลูกเลย? ฉี่ซือเนี่ยนตายไปแล้ว ความเป็นพี่น้องก็ตายตามไปด้วยเหรอ? ทำไม? ทำไมถึงปล่อยให้พวกเราแม่ลูกต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในขุมนรกตระกูลชีตามยถากรรม?”หานหมิงอวี่นิ่งอึ้ง“หานหมิงอวี่ ตอนนี้คุณจะมาแกล้งทำเป็นรักลึกซึ้งอะไรกับเสิ่นชิงซู?” ชีหมิงเสวียนแค่นหัวเราะ “ความจริงแล้ว คุณต่างหากที่เป็นคนเลือดเย็นที่สุด”เสียงของผู้หญิงลอดผ่านโทรศัพท์เข้าสู่โสตประสาทของชายหนุ่มท่ามกลางความเงียบสงัดในศาลบรรพชน ลมหายใจของหานหมิงอวี่เริ่มติดขัดแพขนตากะพริบถี่รัววินาทีถัดมา ชายหนุ่มก็กดตัดสายอย่างร้อนรนราวกับคนหนีความผิด......หลังจากวันนั้น เสิ่นชิงซูเก็บตัวอยู่ในวิลล่
ฟู่ซือเหยียนมองเสิ่นชิงซูอย่างเหม่อลอยแต่เสิ่นชิงซูไม่แยแสเขาอีก หันหลังเดินตรงเข้าบ้านไปประตูหน้าบ้านปิดลงเสียงดังปัง ตัดขาดสายตาของผู้ชายคนนั้นฟู่ซือเหยียนจ้องประตูที่ปิดสนิทบานนั้น แววตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า…...คฤหาสน์ตระกูลหานหลังจากหานหมิงอวี่ส่งญาติผู้ใหญ่ทั้งสี่กลับถึงบ้าน ก็อธิบายเรื่องราวให้พวกเขาฟังตามฉบับที่ตกลงกับเสิ่นชิงซูไว้ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เขาคาด ต้องไปคุกเข่ารับโทษที่ศาลบรรพชนคุณปู่หานพอได้ยินว่าหลานชายตัวดีเป็นคนทำผิดต่อฝ่ายหญิง ทำให้เธอต้องคลอดลูกโดยไร้สถานะ เป็นเหตุให้หลานคนโตของตระกูลหานต้องตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกด้วยความโมโห คุณปู่เลยฟาดไม้เท้าใส่หลังหานหมิงอวี่ไปหนึ่งทีหานหมิงอวี่กัดฟันแน่นไม่ร้องสักแอะคุณย่าหานปวดใจแทนหลาน ปากก็ดุด่าความผิดของหลาน สั่งให้คนลากตัวไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน แต่ความจริงคือหาทางปกป้องหลาน กลัวว่าคุณปู่เลือดขึ้นหน้าจะฟาดซ้ำอีกหลายไม้หานหมิงอวี่ถูกทำโทษให้คุกเข่าสำนึกผิดในศาลบรรพชนคุณปู่หานยื่นคำขาด ต้องคุกเข่าถึงพรุ่งนี้ ใครกล้ามาช่วยพูด ให้ไปคุกเข่าเป็นเพื่อนเขาด้วย!พ่อหานแม่หานส่ายหน้าถอนหายใจผู้ชายอกสาม







