เมืองหนานซาง มณฑลเจียงซี...
คอนโดหรูกลางเมืองใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของ ฉินเจินเจิน สาวใหญ่ในวัยสี่สิบปี เจ้าของอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจมากมาย ชีวิตในปัจจุบันนั้นไร้สามี หรือลูกสาว ลูกชาย ให้สืบสกุล อีกทั้งบิดาและมารดาต่างก็พากันจากโลกนี้ไปตั้งแต่ที่เธอยังไม่ร่ำรวย
การใช้ชีวิตเพียงคนเดียวมานานแสนนานนั้นช่างเปลี่ยวเหงา บาร์โฮสต์อันแสนหรูหราจึงเป็นสถานที่ให้เธอได้บรรเทาความเหงา กับเงินในกระเป๋าที่ทำให้เธอซื้อความสุขมาครอบครอง
เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หน้าตางดงาม เป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่โชคชะตากลับนำพาเด็กหนุ่มรูปหล่อนามว่าเป่าซานซาน ในวัยเพียงยี่สิบปีมาอยู่ข้างกายให้จิตใจกระชุ่มกระชวย
ฉินเจินเจิน ได้เจอกับเป่าซานซานที่บาร์โฮสต์ เขาทั้งเอาอกเอาใจ และไม่รังเกียจเธอที่มีอายุมากกว่า ทำให้เธอหลงรักเขาทั้งใจ จนต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินครั้งใหญ่จ้างเขาให้เลิกทำงานเป็นโฮสต์ เพื่อมาอยู่กับเธอในทุกวัน
ชีวิตที่เป็นดั่งความฝันได้เริ่มต้นขึ้น จากความชอบกลายเป็นความรักที่ยากจะถอนตัวถอนใจ ไม่ว่าเป่าซานซานจะต้องการอะไรเธอก็บันดาลให้กับเขาได้ทุกสิ่ง และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ตอบสนองความต้องการของเธอได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เว้นแม้แต่เรื่องบนเตียงที่แสนจะเร่าร้อนให้กับสาววัยสี่สิบแบบเธอ
วันนี้เป็นวันเกิดของเป่าซานซาน เธอจึงอยากจะเซอร์ไพรส์เขาด้วยการมอบตัวเองให้เป็นของขวัญ ที่ไม่รู้เลยว่าเธอไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ทั้งที่หน้าตาและรูปร่างก็ไม่ได้ดูดีกว่าเด็กสาวทั่วไป แต่เพราะเห็นว่าซานซานเอาอกเอาใจเธอมานาน จึงมีความมั่นใจที่เปี่ยมล้น
ฉินเจินเจินอยู่ในชุดนอนไม่ได้นอนสีชมพูหวานแหว๋ว โชว์เนื้อหนังที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อและไขมันหนุบหนับใจ ก่อนที่เธอจะหยิบเอาริบบิ้นมาผูกเป็นโบว์เอาไว้ที่รอบอกอวบนูน เพื่อรอให้ซานซานมาแกะของขวัญวันเกิด
ทันทีที่บานประตูเปิดพร้อมกับการปรากฏตัวของเป่าซานซาน ในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีขาวบางจนเห็นหัวนมที่ดันเสื้อออกมา กับกางเกงยีนพอดีตัว แม้จะเรียบง่ายแต่ทว่าชวนให้เธอใจเต้นเสียเหลือเกิน
“แฮปปี้เบิร์ทเดย์ นะซานซาน ปีนี้พี่ให้ตัวเองเป็นของขวัญกับเธอ” ฉินเจินเจินเดินเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่ม ก่อนจะผละออกและแอ่นอกเพื่อให้เขาได้แกะโบว์ออกจากตัวของเธอด้วยรอยยิ้มยั่วยวน
“ขอบคุณนะครับ”
เสียงของเด็กหนุ่มตรงหน้าช่างกร้าวใจเสียเหลือเกิน เป่าซานซานโอบแขนบนรอบเอวหนา ก่อนจะโน้มใบหน้าที่แสนหล่อเหลาคลอเคลียไปตามปลายจมูก ไต่ไปตามใบหน้าก่อนจะประกบริมฝีปากด้วยความเร่าร้อน
เขาเอาใจเธอเก่งนัก ร่างสูงดันร่างอวบอิ่มของเธอไปยังเตียงใหญ่ ก่อนจะผลักมือเบา ๆ ให้ฉินเจินเจินหงายหลังลงไปบนเตียง ก่อนจะเริ่มออกลีลาแห่งความเร่าร้อน จนเธอได้แต่อมยิ้มด้วยความพอใจที่เขาปรนเปรอความต้องการที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขให้กับเธอเช่นนี้
เด็กหนุ่มในวัยร้อนแรงนั้นเรี่ยวแรงดีจนเธอนอนหายใจเหนื่อยหอบอยู่หลายครั้งหลายครา ท่ามกลางแรงกระแทกกระทั้นที่แสนจะดุดันของเป่าซานซาน เห็นทีเธอคงจะต้องเปย์ของขวัญก้อนใหญ่ให้เขาอีกแล้ว
กว่าจะเสร็จกิจที่ผ่านไปด้วยความร้อนแรงและเร้าใจถึงสามรอบติด ฉินเจินเจินก็หมดแรงอยู่ในอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อของเด็กหนุ่ม แต่เธอยังคงซุกไซ้ใบหน้าลงบนแผงอกกว้างด้วยความหลงใหล ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเช็คเพื่อมอบเงินจำนวนมหาศาลเป็นของรางวัล
“พี่ให้ ถือว่าเป็นของขวัญอีกชิ้นที่พี่ให้เธอ” เธอบอกกับเขา พร้อมกับส่งเช็คให้
“ขอบคุณนะครับพี่เจินเจิน”
เป่าซานซานรับเช็คที่เขียนจำนวนเงินราวสิบล้านหยวนอยู่บนนั้น ส่งให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัย ก่อนที่เขาจะผละกายออกจากเธอเพื่อสวมใส่เสื้อผ้า
“นั่นเธอจะรีบร้อนไปไหนกัน ซานซาน” เธอถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่รีบร้อนของเขา
“พี่เจินเจิน ผมมีเรื่องจะต้องบอกพี่ ภรรยาของผมรออยู่ แล้วผมก็ขอบคุณเงินก้อนนี้ของพี่ ที่จะทำให้ผมและครอบครัวไม่ต้องลำบาก”
เป่าซานซาน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา และสายตาที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนที่เธอไม่เคยได้พบเจอมาก่อน
“เธอ...เธอหมายความว่ายังไงซานซาน พี่ไม่เข้าใจ” เสียงของเธอนั้นเริ่มสั่นเครือ และดวงตาร้อนผ่าวรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
“ภรรยาของผม เธอกำลังท้อง หลังจากนี้ผมอยู่กับพี่ไม่ได้แล้ว”
“เธอหลอกพี่มาตลอดอย่างนั้นหรือ ไหนเธอบอกพี่ว่าเธอไม่มีใครยังไงล่ะ” หัวใจของเธอเริ่มมีความเจ็บขึ้นมาแปลบ ๆ
“ผมแค่ทะเลาะกับเธอ ช่วงที่พี่เข้ามาพอดี และเธอก็ท้องลูกของผม ผมต้องการเงินที่จะเลี้ยงดูเธอกับลูก ผมจึงขายตัวให้กับพี่” เขายังคงบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึก
“ซานซาน!เธอล้อเล่นกับความรู้สึกของพี่อย่างนั้นหรือ” เธอตวาดลั่นอย่างคนไร้สติ
“อย่างน้อยพี่ก็น่าจะรู้ตัว ว่าผมเป็นโฮสต์ ผมหวังแค่เงิน จะให้ผมรักผู้หญิงแก่แบบพี่น่ะหรอ ก็คงจะไม่ใช่ ผมไปก่อนนะครับพี่ ลาก่อน” พอพูดจบเป่าซานซานก็หันหลังให้กับเธอในทันที
กรี๊ด
“ซานซาน!อย่าทิ้งพี่ไป ฮือ”
ฉินเจินเจินลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่ร่างกายยังคงไร้เสื้อผ้า เพื่อรั้งเขาเอาไว้ เวลาที่ผ่านมาเธอวาดฝันเอาไว้เองทุกอย่าง เธอรักเขาอย่างสุดหัวใจและไม่ได้เผื่อใจเลยแม้แต่น้อย หากจะด่าว่าผู้หญิงแก่อย่างเธอไม่เจียมตัวเองก็คงจะได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอได้เจอกับเป่าซานซานชีวิตอันแสบอบอุ่นที่ไม่เคยได้พบเจอ กลับมีเขาเข้ามาเติมเต็ม
ปึง !
เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่พ้นออกจากห้องไป ความเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายในอกเริ่มประทุขึ้นมาด้วยการบีบรัดจนเจ็บปวด ร่างอวบแน่นที่กำลังจะตามไป กลับต้องทรุดลงบนพื้น น้ำตามากมายไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาด้วยความรวดร้าว
แต่ทว่าหัวใจของเธอกลับบีบรัดขึ้นมาอย่างหนักหน่วง และเจ็บแน่นไปทั่วหัวใจทั้งดวง ดวงตานั้นเริ่มพร่ามัวมองเห็นเลือนราง ลมหายใจนั้นขาดช่วงราวกับจะตาย เห็นทีอาการโรคหัวใจของเธอคงกำเริบขึ้นมาเสียแล้ว
ฉินเจินเจินนอนราบลงไปบนพื้น ในขณะที่ฝ่ามือก็กอบกุมหัวใจเอาไว้แน่น แต่ความเจ็บปวดเหมือนมีหินหนักทับเอาไว้กลับยิ่งทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งนี้เป็นความเสียใจมากที่สุดที่เธอเคยได้รับ อกหักเพราะรักเด็กจนเจ็บใจ ซ้ำยังดูเหมือนว่าความเจ็บปวดในครั้งนี้จะพรากลมหายใจออกไปจากร่าง มืออวบหนาเอื้อมสุดแรงเพื่อหยิบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แต่ทว่าเธอกลับไร้เรี่ยวแรง
เธอฟุบใบหน้าลงไปกับพื้นพรม และเริ่มรู้สึกแสบแน่นบริเวณหน้าอก จุกแน่นลิ้นปี่ ปวดร้าวจากลำคอมาจนถึงแนวกราม ซ้ำยังมีอาการตึง ๆ ชาๆ ที่หัวไหล่ไปจนถึงช่วงแขน รู้สึกเหมือนมีของหนักทับเอาไว้ ดวงตาใกล้จะปิดลงไปทุกที
คนที่ไม่เคยโชคดีในความรัก เมื่อมีใครสักคนเข้ามา ก็จะฝากความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว และยกให้เขาเป็นทุกอย่างในชีวิต แต่เมื่อวันหนึ่งความหวังนั้นพังทลายลง ก็จะกลายเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือน แต่เพราะอาการเดิมของเธอคือโรคหัวใจ เมื่อได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจมาก ๆ จึงเป็นตัวกระตุ้นโรคร้ายได้เป็นอย่างดี ก่อนที่เธอจะลาโลกนี้ไปพร้อมกับความผิดหวังและความเสียใจอย่างท่วมท้น
....................
“ฉินเจินเจิน ยังไม่รีบขอบคุณท่านผู้บัญชาการอีก ต่อจากนี้ชีวิตแกเป็นของท่าน !”
เสียงเร่งเร้าของมารดาทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ความคิดในชีวิตของฉินเจินเจินในโลกปัจจุบัน ที่ตายอย่างน่าอนาถเพราะรักเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเกือบยี่สิบปี
“ขะ...ขอบ...” ด้วยสติยังไม่เข้าร่องเข้ารอย เธอก็เอ่ยตามคำบอกกล่าวของมารดา แต่ทว่า ผู้บัญชาการคนนั้นกลับตัดบทขึ้นเสียก่อน
“ไปกันเถอะ รองเวินเอาเงินให้กับพวกเขาด้วย”
เสียงเข้มเอ่ยขึ้นสั่งผู้ที่อยู่ภายใต้การบัญชาการ ก่อนจะเดินนำออกไป โดยที่เธอยังนั่งเอ๋ออยู่บนพื้น
“ยังไม่ตามมาอีก ตอนนี้คุณเป็นคนของผมแล้ว”
บรรยากาศภายในรถยุโรปนั้นเงียบสนิท มีเพียงเสียงของลมหายใจที่ดังขึ้นด้วยความแผ่วเบาราวกับขนนก ช่างชวนให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สตรีร่างกายบอบบางที่นั่งตัวเกร็งจำต้องส่งสายตากวาดมองสำรวจภายในรถเพื่อลดความเกร็ง เมื่อเธอมองอย่างเต็มตาก็ต้องรู้สึกประหลาด เพียงแค่ปรายตามองดูก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นทรงอำนาจและมีเงินมากมายเพียงใด ถึงจะสามารถครอบครองรถเหล่านี้ได้ในยุคสาธารณรัฐที่เพิ่งฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจและยังไม่ได้เปิดกว้างเช่นนี้ได้“นี่คุณ ปีนี้คือปีที่เท่าไร” เธอถามออกไปโดยไร้หางเสียงเพื่อทำลายความเงียบที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย จากสายตาและการประเมินเพียงผิวเผินบุรุษที่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกายของเธอก็น่าจะอายุราว ๆ เดียวกันกับเธอในโลกใบที่เธอจากมา“ไม่มีมารยาท คุณเด็กกว่าผมจนเกือบจะเป็นลูกสาวของผมได้อยู่แล้ว พูดจาไม่มีหางเสียงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าตระกูลฉินของคุณไม่สั่งไม่สอนมารยาทมาบ้างเลยหรือ” เสียงเข้มของเขากล่าวขึ้นด้วยความตำหนิ ที่ทำให้เธอต้องขบกรามแน่น“คุณซื้อฉันมาเป็นลูกสาวหรือคะ หากเป็นเช่นนั้นฉันจะได้เรียกคุณว่า คุณพ่อ” ฉินเจินเจินเอ่ยคำประชดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย และ
ฉินเจินเจินเดินตามสตรีวัยกลางคนที่ชื่อว่าป้าหวังด้วยความจำยอมและเชื่อฟัง เธอไม่ได้คิดจะขัดขืนแต่อย่างใด จนกระทั่งป้าหวังพาเธอมายังห้องอาบน้ำที่แสนจะกว้างใหญ่และหรูหรา เมื่อเธอเห็นว่าที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันเกือบ ๆ จะเท่าที่ที่เธอจากมา รอยยิ้มที่แสนจะสดใสและดวงตาที่ทอประกายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าด้วยความแช่มชื่น 'อย่างน้อยก็ไม่ได้ลำบากเท่าที่คิด'"คุณหนู ป้าชื่อหวังหมิง เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของคฤหาสน์นี้"ป้าหวังแนะนำตัวพร้อมกับยื่นฝ่ามือที่เริ่มจะมีรอยย่นเข้ามาเพื่อปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอ ด้วยความตกใจฉินเจินเจินจึงดึงรั้งเสื้อผ้าของตัวเองเอาไว้ด้วยความเขินอาย"ระ...เรียกว่าฉินเจินเจิน หรือเจินเจิน เฉย ๆ ก็ได้ค่ะคุณป้า" เธอแนะนำตัวออกไปพร้อมกับปกป้องกี่เพ้าตัวเก่าเอาไว้เป็นอย่างดี"ถอดเสื้อผ้าออกเถอะค่ะ ป้าจะอาบน้ำให้"ป้าหวังหมิงยังคงยื้อยุดฉุดกระชากเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอ ซึ่งเธอก็ปกป้องตัวเองเต็มที่ แม้ว่าร่างกายของเด็กสาวคนนี้จะไม่ใช่ร่างกายที่คุ้นเคยของเธอ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในร่างนี้เธอก็ไม่หน้าด้านที่จะเปลื้องผ้าล่อนจ้อนให้ใครมาอาบน้ำให้หรอกนะ"ไม่เป็นไรค่ะป้า ฉันอาบเอ
หวังซานเย่เดินขึ้นบันได้มาหยุดยังบานประตูไม้เรียบหรู วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ไหนจะต้องสะสางงานในกองทัพ ไหนจะต้องไปเจรจากับหยางตงฉวน มิหนำซ้ำยังต้องมาอธิบายให้คุณแม่เข้าใจเรื่องที่เขาซื้อฉินเจินเจินมาอีก ตอนนี้เขาแทบจะหมดแรงจนอยากจะอาบน้ำและพักผ่อนเต็มที ร่างสูงผลักฝ่ามือลงบนบานประตูเข้ามายังห้องนอนของตัวเองดังเช่นทุกวันดวงตาคู่คมที่พร่ามัวสะลึมสะลือด้วยอาการง่วงนอน กวาดมองไปยังเตียงนอนของตัวเองดังเช่นเคย แต่ทว่าเขากลับต้องเบิกตากว้างขึ้นเมื่อภาพเบื้องหน้าปรากฏหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีชมพูบางเบานั่งไขว่ห้างโชว์เรียวขาพร้อมกับส่งสายตาสุดเย้ายวนมาให้เห็นทีคุณป้าหวังและฉินเจินเจินคงเข้าใจผิดไปกับคำพูดของเขาอยู่ไม่น้อย การที่เขาเอ่ยปากออกไปเช่นนั้นไม่ได้สื่อความหมายว่าตัวเองต้องการให้เธอมาเป็นนางบำเรอในค่ำคืนนี้ แต่เขาต้องการให้เธอเข้ามามารอที่ห้องนอนของตัวเอง นั่นก็เพื่อที่จะหลบหลีกสายตาของคุณแม่และคนอื่นที่ภายในคฤหาสน์ต่างหากดวงตาของเขาทอประกายขึ้นอย่างวาบหวาม เมื่อเผลอไผลจ้องมองไปตามร่างกายสาวของสาวน้อยวัยแย้มยิ้ม เธอช่างดูงดงามอย่างไร้ซึ่งที่ติ ผิวพรรณนั้นขาวผ่
ฉินเจินเจินถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่ตามคำสั่งของผู้บัญชาการที่ตื่นมาออกกำลังลังกายตั้งแต่ยามที่ฟ้ายังไม่สาง ดวงตากลมแทบจะปิดสนิท กว่าเธอจะได้นอนเวลาก็ล่วงเลยจนเกือบจะสว่าง นั่นก็เพราะอาการตกหลุมรักจนนอนไม่หลับ“คุณคะ ตื่นเถอะค่ะ คุณชายรออยู่นะคะ”คุณป้าหลิวเขย่าตัวเธออยู่นาน แต่ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการจะเล่นงานเธอบนเตียงหนักไปหน่อยกระมัง คุณหนูคนนี้ถึงได้ดูอ่อนเพลียเช่นนี้“เธอยังไม่ตื่นอีกหรือป้าหวัง”หวังซานเย่เดินผ่านหน้าห้องของเธอ ก่อนจะมองเห็นว่าป้าหวังหรือแม่บ้านหวังหมิงของเขากำลังเขย่าตัวเธอเพื่อให้เธอลืมตาตื่นขึ้นมา เขาจึงอดที่จะเดินเข้าไปดูไม่ได้ ‘เห็นทีคฤหาสน์ของเขาคงจะทำให้เธอหลับสบายไม่น้อย’ เขาได้แต่คิดเช่นนั้น โดยไม่รู้ความจริงเลยสักนิดว่าเธอดีใจจนนอนไม่หลับ“ยังเลยค่ะ เมื่อคืนคุณชายใช้งานเธอหนักหรือคะ” ป้าหวังเอ่ยถามคนเป็นนาย โดยแฝงนัยไว้ในคำถามอย่างชัดเจน“ไม่มีเรื่องเช่นนั้นครับ คุณป้าอย่าพูดไป เธอจะเสียหายเอาได้” เขาเก็บรอยยิ้มซ่อนลงในใบหน้าทันทีที่ดูเหมือนว่าจะมีหลายต่อหลายคนเข้าใจผิดไป“ค่ะ ๆ ป้าไม่พูดค่ะ”หวังหมิงพยักใบหน้ารับ ก่อนจะหุบปากจนสนิท แม้นายผู้นี้จะดูเหมือนใ
ในทันทีที่รถของผู้บัญชาการหวังจอดเทียบเหลา หรือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองลั่วหยาง ก็มีผู้หญิงในวัยสามสิบต้น ๆ แต่งกายด้วยกี่เพ้าสีจัดจ้านเข้ามาให้การต้อนรับเขาในทันที“ผู้บัญชาการหวัง มี่เถียนดีใจจริง ๆ ที่คุณมาทานอาหารที่นี่”ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากรถ ผู้หญิงจัดจ้านคนนั้นก็เข้ามาคล้องแขนเขาในทันที แต่ทว่าหวังซานเย่นั้นไร้คำว่าปรานี เพียงแค่เขาปรายดวงตาด้วยความดุดัน ผู้หญิงคนนั้นก็ปล่อยมือที่คล้องแขนเขาในทันที“รบกวนจัดโต๊ะให้ผมด้วย” เขาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจสิ่งใด“มี่เถียนต้องขออภัยผู้บัญชาการหวัง วันนี้ด้านในร้านอาหารคนเยอะนัก เพราะรองผู้บัญชาการหลิวจองเอาไว้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ถ้าคุณไม่สะดวก...”“ผมขอที่นั่งแค่สองที่ ตรงไหนก็ได้ หวังว่าคุณจะมีวิธีการจัดการ” ผู้บัญชาการหวังยังคงมีท่าทีที่นิ่งเฉย เขาเอ่ยบอกกับผู้หญิงที่ชื่อมี่เถียนเพียงสั้น ๆ เท่านั้น“ค่ะ ผู้บัญชาการหวังเชิญด้านในค่ะ”มี่เถียนผายมือเชื้อเชิญเขาเพียงเท่านั้น แต่สำหรับฉินเจินเจินนั้นได้รับเพียงสายตาจิกกัดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอจึงรีบเดินเข้าไปเพื่อเดินข้างกายของผ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการหวังก็สั่งการให้นายทหารคนสนิทขับรถไปยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้าร้านหนึ่ง โชคดีที่ถนนหนทางในยุคนี้ ผู้คนโดยทั่วไปไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะซื้อรถยนต์ส่วนตัวได้เกือบทุกคน บนท้องถนนจึงมีรถไม่มากเท่าใรนัก ประชาชนทั่วไปมักจะใช้รถไฟเป็นการเดินทาง หรือไม่ก็ใช้จักรยานรถยุโรปที่มีตราสัญลักษณ์ของผู้บัญชาการทหารมักจะผ่านทุกอย่างไปได้อย่างง่ายดาย ในช่วงที่ยุคเศรษฐกิจกำลังฟื้นฟู และส่วนใหญ่ประเทศจีนเป็นพวกอนุรักษ์นิยม พวกนายทุนที่ประสบความสำเร็จจึงมักจะเป็นคนหัวสมัยใหม่พร้อมที่จะเปิดรับอะไรใหม่ ๆ เข้ามาเสียมากกว่าเมื่อเห็นเช่นนั้นเธอจึงมีความคิดของนักธุรกิจขึ้นมา ชีวิตใหม่ของเธอของมีเพียงเขาเป็นนายทุน เธอก็พร้อมที่จะใช้เงินลงทุนของเขาทำให้เกิดความงอกเงยด้วยการเปิดกิจการใดกิจการหนึ่งขึ้นมา หากถึงวันนั้นเขาไม่ได้มีใจให้กับเธอ เธอก็สามารถที่จะอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร“เรื่องแบบนี้ทำไมถึงคิดไม่ได้นะ” เธอพึมพำขึ้นมา โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเบื้องหน้าเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำกิจการ“คุณว่าอะไรนะ” เขาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอพึมพำอยู่ค
เสียงที่ดังลั่นออกไปของเธอ ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันจับจ้องสายตามายังฉินเจินเจินด้วยความไม่เข้าใจ และสงสัยว่าเธอกำลังเรียกชื่อของใครกัน“คุณหมายถึงผมอย่างนั้นหรือ”ผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะปรายนิ้วมือชี้เข้าหาตัวเอง เพื่อย้ำในสิ่งที่เธอเอ่ยเมื่อครู่อีกครั้ง และด้วยความที่เธอทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่พยายามข่มอารมณ์บอกปัดออกไป“ปะ...เปล่าคะ คุณแค่หน้าเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก ต้องขออภัยด้วย” เธอตอบออกไปโดยที่ไม่ได้คิดจะมองใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย“เจินเจิน นี่คือหวังไห่เถิง น้องชายเพียงคนเดียวของผม” ผู้บัญชาการหวังเอ่ยแนะนำผู้เป็นน้องชายให้เธอได้รู้จัก“ฉันฉินเจินเจินค่ะ” เพื่อเป็นการไม่ให้เสียมารยาท เธอจึงรวบรวมความกล้า มองสบตากับเขา ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแนะนำตัวเอง“ผมหวังไห่เถิง คุณสวยมากเลยครับ พี่ชายเธอเป็นเมียใหม่ของพี่อย่างนั้นหรือ”หวังไห่เถิง มองสาวสวยข้างกายของผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาโลมเลีย เธอช่างสวยถูกใจของเขาเสียเหลือเกิน พี่ชายของเขาคนนี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเมียใหม่หรือเมียเก่าล้วนแล้วแต่มีใบหน้าและรูปร่างที่น่าจับต้อง“เธอย
“เจินเจิน คุณไม่เป็นอะไรนะ”หวังซานเย่ลูบไล้ฝ่ามือลงบนเส้นผมของเธอด้วยความอ่อนโยน ในขณะที่ร่างบอบบางของเธอยังคงไหวสะท้านราวกับหวาดกลัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา“คุณคะ ฉันกลัว คุณอยู่กับฉันก่อนนะคะ”ที่พึ่งของเธอในยามนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แต่การที่เธอจะกล่าวโทษน้องชายสายเลือดเดียวกันของเขาอย่างโจ้งแจ้ง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะทำในตอนนี้"อืม ผมจะอยู่กับคุณ คุณไม่ต้องกลัวนะ" เขากระชับวงแขนแน่นขึ้นเพื่อหวังจะปลอบประโลมความกลัวของเธอ“...”เธอไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป แต่เธอทำเพียงแค่ซุกใบหน้าลงบนแผงอกกว้างของเขา พร้อมกับท่อนแขนเล็กที่โอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้แน่น“เจินเจิน ถ้าผมจะบอกคุณว่า คุณไม่จำเป็นต้องอ่อนแอเสมอไป หากคุณเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่คุณจะต้องกลัวอีกต่อไป” หวังซานเย่บอกกับเธอราวกับให้ข้อคิดฉินเจินเจินคิดตามถ้อยคำที่เขาบอกกล่าว ไม่ว่าจะเป็นฉินเจินเจินที่จากมา หรือเจ้าของร่างนี้ ล้วนแล้วแต่อ่อนแอ และมักจะถูกคนที่ไว้ใจหักหลังและเอาเปรียบ ในตอนนี้ก็เช่นกันเธอกำลังจะถูกน้องชายของเขาเอาเปรียบ ชีวิตใหม่ของเธอจะกลับสู่หนทางเดิมอีกแล้วหรือ ในใจของเธอเองก็ไม่อยากเ
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย
แสงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่งได้ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิดที่เงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความชั่วร้ายที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งลั่วหยาง หวังซานเย่ เป็นผู้บัญชาการทหารที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญ เขาได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ในระหว่างทางเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนไม่อาจมองข้ามไปได้"ผู้บัญชาการครับ เหตุการณ์ในวันนี้มันดูแปลกไปนะครับ"ห่าวอู๋ ลูกน้องคนสนิทของหวังซานเย่ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ขณะกอบกุมพวงมาลัยของรถยุโรปทางการทหารหวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ และสิ่งที่คิดก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ดูแปลกตามที่ห่าวอู๋บอกกล่าว และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนในทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนกับกำลังพยายามหนีเสียมากกว่าการตั้งใจต่อสู้"มันไม่น่าจะใช่แบบนี้" หวังซานเย่พึมพำเบา ๆ เมื่อสายตาคู่คมมองเห็นความผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านเขาสั่งให้ห่าวอู๋หยุดรถในทันทีที่มองเห็นว่าหมู่
หวังซานเย่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในเช้าวันใหม่ เขาพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา บรรยากาศในวันนี้สดใสกว่าทุกวัน ความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ทั้งสองฝั่งทำให้เธอทอดสายตามองด้วยความสบายใจ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง สามารถมองเห็นตัวเมืองอันกว้างไกลที่เธอเองก็ยังเดินสำรวจไม่ครบทุกมุม เป็นความหรูหราของสถาปัตยกรรมจีนโบราณผสมผสานกับกลิ่นอายยุคสาธารณรัฐสะท้อนความมั่งคั่งและทรงอำนาจของตระกูลหวัง ตระกูลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและเศรษฐกิจระดับประเทศที่ฉินเจินเจินได้มองอย่างเต็มตาในวันนี้"เจินเจิน ผมยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่กับคุณสองต่อสองมากกว่า" เขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับมือเธอเอาไว้"ซานเย่ ตั้งใจขับรถหน่อยสิคะ ฉันยังไม่อยากนอนข้างทางนะคะ!" เธอบ่นอุบ เมื่อเห็นเขาขับรถมือเดียว จนรู้สึกไม่ปลอดภัย"คุณไม่อยากอยู่กับผมแค่สองคนอย่างนั้นหรือ" เขาไม่ฟังเธอปราม แต่ทว่าเร่งรัดให้เธอตอบคำถามของเขา"ที่คฤหาสน์ก็ไม่มีใครมาวุ่นวายกับคุณนี่คะ ซานเย่ คุณตั้งใจขับรถก่อนเถอะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะงอนคุณนะคะ" เธอกอดอกมุ่ยหน้าใส่เขาด้วยสายตาเอาจริง"ไม่งอนนะ ผมยอมแล้วก็ได้"ฟอดหวังซ
ปลายนิ้วที่เรียวสวยผลักร่างใหญ่โตของเขาให้นอนราบลงไปบนฝากระโปรงของรถได้ด้วยมือเดียว หวังซานเย่ร่างกายอ่อนระทวยไปกับลีลาอันแสนเร่าร้อนของเธอเสียแล้วฉินเจินเจินนั่งคร่อมลงบนท่อนกายอุ่นร้อนของเขาจนมิดลำ ส่งให้เขาหน้าเบ้ด้วยความคับแน่น ความเจ็บสะท้านแล่นไปทั่วลำใหญ่แต่ทว่ายังคงซ่านเสียวจนสมองขาวโพลนซี้ดไม่ได้มีเพียงเขาที่เจ็บปวด เธอเองก็เช่นกันเพราะขนาดที่ใหญ่โตของเขาได้เบียดเสียดเข้ามาภายในโพรงสวาทจนแทบจะปริแตกจากกัน แต่นั่นกลับเป็นความเจ็บปวดที่เธอยินดีสะโพกอิ่มโขลกไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนท่อนเอ็นเขื่องเข้าออกร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำเต็มไปด้วยความต้องการที่พุ่งพล่าน ไฟร่านกำลังครอบงำตัวของเธอฉินเจินเจินยกตัวขึ้นแล้วกระแทกตัวลงไปเพื่อให้แท่งหยกเข้าไปในร่องรักของเธออย่างแรง ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความลึกและความสะใจ มันทั้งร้อนแรงและวาบหวาม จนเขาครางออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า“อ่า เจินเจิน กระแทกอีก ผมเสียวจังเลยครับ”“อะ...อื้อ”ริมฝีปากบางสีแดงสดขบเม้มเข้าหากันด้วยความซ่านสยิว ก่อนที่เธอจะออกแรงขยับสะโพกอย่างเชี่ยวชาญ แล้วบดสะโพกลงไปอย่างหนักจนน้ำกามไหลออกมาชุ่มฉ่ำและเกิดเสียงดังแ