บรรยากาศภายในรถยุโรปนั้นเงียบสนิท มีเพียงเสียงของลมหายใจที่ดังขึ้นด้วยความแผ่วเบาราวกับขนนก ช่างชวนให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สตรีร่างกายบอบบางที่นั่งตัวเกร็งจำต้องส่งสายตากวาดมองสำรวจภายในรถเพื่อลดความเกร็ง เมื่อเธอมองอย่างเต็มตาก็ต้องรู้สึกประหลาด เพียงแค่ปรายตามองดูก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นทรงอำนาจและมีเงินมากมายเพียงใด ถึงจะสามารถครอบครองรถเหล่านี้ได้ในยุคสาธารณรัฐที่เพิ่งฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจและยังไม่ได้เปิดกว้างเช่นนี้ได้
“นี่คุณ ปีนี้คือปีที่เท่าไร”
เธอถามออกไปโดยไร้หางเสียงเพื่อทำลายความเงียบที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย จากสายตาและการประเมินเพียงผิวเผินบุรุษที่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกายของเธอก็น่าจะอายุราว ๆ เดียวกันกับเธอในโลกใบที่เธอจากมา
“ไม่มีมารยาท คุณเด็กกว่าผมจนเกือบจะเป็นลูกสาวของผมได้อยู่แล้ว พูดจาไม่มีหางเสียงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าตระกูลฉินของคุณไม่สั่งไม่สอนมารยาทมาบ้างเลยหรือ” เสียงเข้มของเขากล่าวขึ้นด้วยความตำหนิ ที่ทำให้เธอต้องขบกรามแน่น
“คุณซื้อฉันมาเป็นลูกสาวหรือคะ หากเป็นเช่นนั้นฉันจะได้เรียกคุณว่า คุณพ่อ”
ฉินเจินเจินเอ่ยคำประชดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย และไม่ได้จะยียวนกวนประสาทเขาต่อไปแต่อย่างใด เพราะคิดดูแล้วสิ่งที่เขาเอ่ยขึ้นมาเมื่อครู่ก็ถูกต้อง ในเมื่อตอนนี้เธออยู่ในร่างของเด็กสาววัยยี่สิบปีเพียงเท่านั้น
“ผมไม่คิดจะมีลูกสาวแบบคุณ” เสียงของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด จนเธอรู้สึกหงุดหงิด
“นี่คุณ!”
เธอชี้หน้าใส่เขา ก่อนที่เขาจะหันใบหน้าหล่อเหลากลับมา พร้อมกับส่งฝ่ามือใหญ่เข้ามารวบนิ้วมือที่กำลังชี้หน้าของเขาอยู่ ก่อนจะเอ่ยบอกปีให้เธอได้รับรู้
“1980” เขาตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะผินใบหน้ากลับไปพร้อมกับทอดสายตาออกไปนอกบานหน้าต่างรถ โดยไม่ได้เอ่ยบทสนทนาใด ๆ กับเธอ
หลังจากนั้นฉินเจินเจินก็นั่งเงียบและไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกไป ดวงตาคู่สวยยังคงมองบรรยากาศในยุค 1980 ที่อยู่รอบกายให้เต็มตา แม้ความเป็นอยู่ในยุคนี้จะไม่ได้สะดวกสบายเท่ากับยุคที่เธอจากมาก็ไม่เป็นอะไร ขอเพียงให้เธอได้เจอกับผู้คนที่จริงใจ นั่นคงจะเป็นของขวัญที่ล้ำค่าในการเกิดใหม่ของเธอแล้ว
รถยุโรปเคลื่อนตัวไปตามเส้นทาง ก่อนจะมาถึงแนวป่าทอดยาวหลายกิโลเมตร เบื้องหน้าคือคฤหาสน์ใหญ่โตหรูหรา มีนายทหารยืนอารักขาความปลอดภัยอยู่ด้านหน้าประตู ฉินเจินเจินมองเห็นตัวอักษรจีนที่ปรากฏบนป้ายหินอ่อนขนาดใหญ่ "คฤหาสน์ผู้บัญชาการทหารแห่งลั่วหยาง" เธอก็ถึงกับอ้าปากค้างกระพริบตาปริบด้วยความตกตะลึง
'มิน่าเล่า เขาถึงได้ดูร่ำรวยนัก' ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงอยากจะขายเธอให้กับนายทหารคนนี้ เห็นทีพ่อเลี้ยงและแม่ของเธอคงได้เงินไปมากโข ดูจากหน้าที่การงานและอิทธิพลของบุรุษผู้นี้นับว่าเป็นคนใหญ่คนโตเลยทีเดียว
"คุณชาย มาถึงพอดีเลยค่ะ คุณนายใหญ่ท่านแวะมาเยี่ยมเยียนคุณ"
ทันทีที่รถคันหรูจอดสนิทอยู่ทางด้านหน้าของคฤหาสน์ใหญ่โตหรูหรา ลูกน้องคนสนิทที่ทำหน้าที่เป็นคนขับก็ลงจากรถเพื่อเปิดประตูให้กับผู้เป็นเจ้านาย หญิงวัยกลางคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นคนดูแลความเรียบร้อยภายในคฤหาสน์ก็รีบเดินเข้ามาหาเขา เพื่อแจ้งการมาถึงของคุณนายใหญ่ให้กับท่านผู้บัญชาการได้ทราบ
"อืม"
ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบสนิทและไร้รอยยิ้ม มีเพียงเสียงตอบรับภายในลำคอเท่านั้น ร่างสูงของเขาหยุดยืนอยู่ด้านข้างรถเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอแล้วเอ่ยบอกด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วไม่น่าจะอภิรมย์เท่าใดนัก
"ไม่ลงหรือยังไง หรือว่าคืนนี้เธอจะนอนอยู่บนรถ"
คิ้วได้รูปอันแสนจะคมเข้มย่นจนเกือบจะชนกัน ผู้บัญชาการยังคงส่งสายตาตำหนิให้กับเธอไม่ขาดสาย จนรอยยิ้มจาง ๆ ของเธอหายไป เหลือเอาไว้แต่เพียงริมฝีปากที่งุ้มเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ 'หน้าตาก็ดี แต่ปากนั่นกลับมีสุนัขมากมายเสียเหลือเกิน'
ฉินเจินเจินกลอกดวงตาไปมา พร้อมกับพ่นลมหายใจ แล้วรีบพาร่างบอบบางที่แทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกของตัวเองลงจากรถแล้วเดินตามเขาเข้าไปยังด้านใน ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนรับใช้
"คุณแม่ มานานแล้วหรือครับ" เขาเอ่ยทักทายสตรีทรงอำนาจที่นั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางราวกับนางพญาอยู่บนโซฟาหนังสีดำสนิท
"ซานเย่ แม่เพิ่งมาถึงเมื่อครู่ มานั่งกับแม่เร็วเข้า แม่มีเรื่องจะคุยกับลูก"
สตรีวัยกลางคนที่ยังคงดูดีและอ่อนเยาว์เอ่ยขึ้นพร้อมกับกวักมือเรียกลูกชายเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มที่สวยงาม แต่ทว่าดวงตาสวยหวานคู่นั้นกลับแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นเธอที่เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังของเขา
"ครับแม่"
"นั่นใครกันน่ะ ซานเย่" ผู้มีศักดิ์เป็นคุณนายใหญ่ยังคงให้ความสนใจกับเธอ แต่ในขณะที่เธอกำลังจะโผล่ใบหน้าออกไปเพื่อทักทายคนเป็นมารดาของท่านผู้บัญชาการ เขากลับผลักเธอให้หันหลังแล้วเอ่ยสั่งคุณป้าที่เจอด้านหน้าให้มาพาตัวเธอออกไป
"ป้าหวังครับ พาเธอไปอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ช่วยหาเสื้อผ้าและอาหารให้กับเธอด้วยนะครับ อ่อ แล้วก็พาเธอไปยังห้องนอนของผม" ผู้บัญชาการหนุ่มเอ่ยสั่งยาวเหยียด แม้ว่าป้าหวังคนนั้นจะงงงวยอยู่บ้าง แต่ก็รีบเข้ามาจูงมือเธออกไปตามคำสั่งของเขาในทันที
"ค่ะ ๆ คุณชาย"
"ซานเย่ บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน ดูไม่มีหัวนอนปลายเท้าเสียยิ่งนัก" คุณนายหวังสะบัดใบหน้าแรงด้วยความไม่พอใจ ริมฝีปากแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะหันหน้ากลับมาส่งสายตาที่คาดคั้นให้กับลูกชายที่เพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่งด้านข้างของเธอเมื่อครู่
"ผมซื้อเธอมาจากหยางตงฉวนครับแม่ เธอน่าสงสาร" เขาตอบมารดาออกไปโดยไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด
"อะไรนะ! ซานเย่ ลูกคิดว่าลูกเปิดมูลนิธิอย่างนั้นหรือ หยางตงฉวน เจ้านั่นมากเล่ห์จะตายไป อีกหน่อยไม่ต้องมารีดไถเงินลูกเช้าเย็นเลยรึ" คุณนายหวังส่งเสียงดังที่บ่งบอกว่าเธอไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกชายทำลงไปเลยแม้แต่น้อย
"โธ่ คุณแม่ ตงฉวนไม่กล้าต่อกรกับผมหรอกครับ แม่อย่ากังวลไปเลย แล้วอีกอย่างเธอก็ตัวเล็กเท่านั้น จะเลี้ยงเอาไว้ก็คงไม่สิ้นเปลืองเท่าไรหรอกครับแม่"
หวังซานเย่ หรือผู้บัญชาการเอ่ยอธิบายให้กับคุณนายหวังผู้เป็นมารดาฟังด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ปกติเขามักจะเป็นคนนิ่งขรึมและนิ่งเงียบ แต่เหตุใดวันนี้เขาต้องมานั่งอธิบายอะไรยาวเหยียดทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วย
"หึ แม่ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น แล้วนี่ซื้อเธอมาจะให้เธออยู่ในฐานะอะไร นางบำเรอแม่ไม่ว่า แต่ถ้าจะซื้อมาให้ออกหน้าชูตาแม่ไม่ยอมเด็ดขาด" คุณนายหวังนั้นรู้ดีว่าบุตรชายมีนิสัยใจคอเช่นไร หากจะทัดทานคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งนัก มีเพียงเอ่ยดักคอเอาไว้ก็เท่านั้น
"แม่ครับ เธออายุน้อยกว่าผมจนเกือบจะเป็นลูกของผมได้อยู่แล้วนะ" เขาเอ่ยปฏิเสธ แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยได้ไม่เต็มปาก เมื่อจู่ ๆ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาเมื่อนึกถึงใบหน้าของเธอ
"น้อยไปน่ะสิ เด็กสาววัยนี้ช่างหอมหวานนัก อีกทั้งลูกของแม่ก็หย่าร้างมานาน แต่ก็เอาเถอะหากลูกจะมีเธอไว้ระบายความใคร่แม่ก็ไม่ติดอะไร แต่จำไว้ว่าสะใภ้ตระกูลหวังจะต้องไม่ใช่ผู้หญิงที่มีพื้นเพตกต่ำเช่นนี้" คุณนายหวังเหยียดริมฝีปาก เธอไม่ยินยอมเป็นแน่หากลูกชายคนโตของเธอคว้าผู้หญิงเช่นนั้นมาเป็นคุณนายเล็กของตระกูลหวัง
"ครับแม่ ว่าแต่ที่คุณแม่มาหาผม มีเรื่องอะไรหรือครับ" เขาเอ่ยรับปากออกไปแบบส่ง ๆ เพื่อตัดจบบทสนทนาเรื่องนี้ ก่อนจะเอ่ยถามจุดประสงค์ของการมาเยี่ยมเยียนของมารดา
"นั่นปะไร เกือบลืมไปเสียแล้วเชียว อีกสามวันหวังไห่เถิงกับภรรยาจะกลับจากยุโรป แม่จะให้น้องมาอยู่ที่นี่กับลูกก่อน เอาไว้ซ่อมแซมคฤหาสน์ตระกูลหวังเสร็จเมื่อไร แม่จะให้น้องย้ายเข้าไปอยู่"
"ครับแม่" เขาตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนที่คุณนายหวังจะเดินทางกลับ
ผู้บัญชาการทหารนั่งอยู่บนโซฟาอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกคิดขึ้นได้ว่าเขายังมีน้องชายร่วมสายเลือดอีกคนหนึ่งของตระกูล แต่ด้วยความไม่สนิทสนิม เพราะหวังไห่เถิงใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสียนาน ทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ก่อนที่ร่างสูงจะหยัดกายลุกขึ้นเพื่อขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย