ฉินเจินเจินอกหักเพราะรักเด็กจนหัวใจวาย กลับได้มาเกิดใหม่ในร่างเด็กสาวแรกรุ่น ยุค 80 ที่กำลังจะถูกขายให้กับผู้บัญชาการวัยสี่สิบปี เมื่อชะตาชีวิตถูกสลับ การมีสามีที่แก่กว่าหลายปีอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
View More“นี่คุณ รีบปลุกลูกสาวตัวดีของคุณเร็วเข้า หากนานกว่านี้ ผู้บัญชาการเปลี่ยนใจขึ้นมา พวกเราแย่แน่”
“อาฉวน คุณไม่เห็นหรือว่าฉันปลุกเธอตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ตื่น จะมาขี้เซาอะไรกันตอนนี้นังลูกไม่รักดี” คนที่โดนเร่งเร้าให้ออกแรงปลุกก็เริ่มจะมีน้ำเสียงที่หงุดหงิดเช่นเดียวกัน
“โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่ได้หาง่าย ๆ นะคุณ รีบปลุกลูกสาวของคุณซะ ด้วยความหวังดี” บุรุษเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่รื่นหูเท่าไรนัก ซ้ำยังมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจ
เสียงสนทนาที่ฟังดูคล้ายกับคนทะเลาะกันระหว่างชายหญิงที่ไม่คุ้นหู ผ่านเข้ามาในภวังค์ความคิด แม้จะยังคงหลับตาแต่ก็รับรู้ได้ถึงบทสนทนาที่ชัดเจนมาก พอให้รู้ว่าเสียงนั้นช่างน่ารำคาญและรบกวนการนอนมากเพียงใด ‘แต่เดี๋ยวนะ !’
ฉินเจินเจิน ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะกวาดมองไปรอบกาย จนเจอเข้ากับหนึ่งหญิงหนึ่งชายในวัยกลางคนที่กำลังส่งฝ่ามือเข้ามาปลุกด้วยท่าทางรีบร้อน
“พวกคุณเป็นใครกัน เข้ามาในคอนโดของฉันได้อย่างไร”
เธอเอ่ยถามออกไป พร้อมกับยันกายลุกขึ้นพิงหมอนอิงใบใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตาไปโดยรอบอีกครั้ง เพื่อมองหาเด็กหนุ่มคนรักของตัวเอง แต่ทว่ากลับไม่พบแม้แต่เงา อีกทั้งบรรยากาศรอบกายก็ดูไม่คุ้นตาเลยสักนิด
“แหม นังตัวดี ตื่นขึ้นมาก็ทำเป็นความจำสั้นขึ้นมาเลยเชียว” เสียงเล็กแหลมตวาดขึ้นจนเธอสะดุ้ง ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความปวดร้าวบริเวณศีรษะ
อ๊ะ
ฝ่ามือเรียวบางยกขึ้นกดบริเวณขมับด้านขวาที่เต้นตุบ ๆ ด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ความทรงจำของใครบางคนจะแทรกซึมผ่านเข้ามา ในภาพความทรงจำของเธอ เด็กสาวในวัยยี่สิบปี ถูกกดขี่ และถูกทำร้ายร่างกาย ให้ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนัก
สองสามีภรรยาที่ยืนส่งใบหน้าเกรี้ยวกราดนั่นคือแม่บังเกิดเกล้า ฉินซื่ออิง และพ่อเลี้ยงจอมโลภ หยางตงฉวน ที่กำลังวางแผนขายเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อแลกกับเงินมากมายให้กินหรูอยู่สบายโดยไม่ต้องเปลืองแรงทำมาหากิน อีกทั้งยังมีเงินก้อนโตเอาไว้ใช้ต่อทุนเล่นการพนัน
และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกบังคับขายให้กับคนใหญ่คนโต แต่เป็นนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความที่เธออ่อนแอมีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัว จึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเธอออกไป ด้วยเพราะกลัวเธอจะตายก่อนที่จะทำตัวให้คุ้มกับค่าเงินที่พวกเขาต้องจ่าย
ในค่ำคืนที่แสนเดียวดาย ฉินเจินเจิน ต้องเก็บตัวอยู่ภายในห้องนอนอันแสนคับแคบ ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เธออยากจะหนีโลกนี้ไปให้ไกลแสนไกล เพื่อจะไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือในการหาเงินของแม่กับพ่อเลี้ยงผีพนัน เธอร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ จนกระทั่งโรคหัวใจกำเริบและหัวใจวายตายในที่สุด
ความทรงจำมากมายไหลวนเข้ามาให้เธอได้รับรู้ แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคนอย่างเธอต้องมารับรู้ด้วยในเมื่อเธอเองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด แต่เมื่อคิดไปคิดมาเธอก็ตั้งสติใหม่ให้ดีอีกครั้ง เพื่อทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้มีสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ฝ่ามือหยาบใหญ่ ก็กระชากท่อนแขนที่เล็กลงของเธอให้ลุกจากที่นอนด้วยความทุลักทุเล
“ลีลาอยู่ได้ หากครั้งนี้ผู้บัญชาการไม่ซื้อตัวแกออกไป เห็นทีฉันคงเลี้ยงแกต่อไปไม่ได้อีกแล้วเช่นกัน” หญิงวัยกลางคนผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับในความทรงจำของเด็กผู้หญิงคนนั้น ฉุดกระชากแขนของเธอจนขึ้นสีแดงก่ำ
“เลิกทำหน้าเหมือนจะตายเสียที ฉินเจินเจิน !”
ผู้ชายที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมตวาดขึ้น ก่อนจะเดินนำหน้าออกจากห้องไป ในขณะที่เธอกำลังงงวยกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอถูกลากตัวให้เดินผ่านกระจก เธอกลับจ้องมองอย่างไม่ละสายตา เมื่อกระจกบานโตสะท้อนร่างของเธอในตอนนี้
นั่นไม่ใช่ร่างของเธอ ฉินเจินเจินไม่ได้ตัวเล็กตัวน้อยและเป็นเด็กสาวอย่างที่มองเห็นอยู่ในตอนนี้ แต่คือร่างของเด็กสาวที่ปรากฏขึ้นในความทรงจำเมื่อครู่
ร่างเล็กที่สะท้อนผ่านกระจกนั้นช่างบอบบางจนแทบจะเหลือแต่กระดูก ใบหน้าขาวซีดไร้ซึ่งชีวิตชีวา ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยช้ำและรอยขีดข่วน เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นกี่เพ้าเก่าซอมซ่อ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน !” เธอสบถออกมา ภายในความคิดทั้งสับสน และฉงนไปพร้อมกัน
“แกว่าอะไรนะ !” ผู้เป็นพ่อเลี้ยงหันมาถาม ทั้งที่ปากยังคาบบุหรี่เอาไว้
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
เธอเอ่ยขึ้น หลังจากที่พยายามเรียบเรียงเรื่องราวอยู่นาน นี่ไม่ใช่ร่างของเธอ และที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเธอด้วยเช่นเดียวกัน
เพียะ
ฝ่ามือของฉินซื่ออิงตวัดเข้ากับใบหน้าของเธออย่างแรง จนได้กลิ่นของเลือดที่อบอวลอยู่ภายในปาก ฉินเจินเจินแค่นยิ้มออกมาเมื่อจู่ ๆ ก็ต้องมาโดนตบอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ
“แกสิหุบปาก พูดจาแบบนั้นกับพ่อเลี้ยงของแกได้ยังไงกัน” แม่บังเกิดเกล้าของเด็กหญิงเอ่ยขึ้น หลังจากที่ตบหน้าลูกสาวจนเลือดกลบปากด้วยความทารุณ
“พอได้แล้วซื่ออิง ประเดี๋ยวหน้าเธอเป็นรอยจะเสียราคากันหมด” หยางตงฉวนเอ่ยปราม ก่อนจะทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
ร่างบางที่มีเพียงโครงกระดูกถูกดันออกไปยังเบื้องหน้า ก่อนที่ฉินเจินเจินจะเข่าอ่อนเพราะไร้เรี่ยวแรงจนล้มลงบนพื้นอย่างแรง แต่กลับไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
“ผู้บัญชาการหวัง นี่ฉินเจินเจินลูกเลี้ยงของผมเอง ที่เคยบอกเอาไว้ หวังว่าจะถูกใจท่านนะครับ” พ่อเลี้ยงของเธอรีบแนะนำ ก่อนจะกัดปากด้วยท่าทางกักขฬะ
เธอเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่นั่งประสานมืออยู่บนโซฟาเก่า ๆ เขาอยู่ในเครื่องแบบทหารสีเขียวอมน้ำตาลที่ดูไม่คุ้นตา แต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องเป็นนายทหารยศสูงอย่างแน่นอน ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม และท่าทางที่ดูเป็นผู้ใหญ่ตามช่วงวัย ดวงตาของเขาคมกริบและแข็งกร้าว มิหนำซ้ำยังไร้ความรู้สึกใด อายุอานามของบุรุษเบื้องหน้าน่าจะราว ๆ สี่สิบปี ที่ยังดูดีและหล่อเหลาไปทุกระเบียดนิ้ว
“เธอมีอะไรให้ผมสนใจอย่างนั้นหรือ”
เสียงทุ้มเข้มที่ฟังดูไพเราะจับใจ แต่กลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นเอ่ยกับพ่อเลี้ยงของเธอ พร้อมกับเงยใบหน้าที่คมคายขึ้นมองด้วยสายตาที่เย็นชา
“โธ่ท่านผู้บัญชาการ เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบ หากพาตัวเธอไปอาบน้ำอาบแต่งตัวดี ๆ สักหน่อย ก็น่าจะพอขึ้นเตียงกับท่านได้อยู่นะครับ อย่างน้อยความบริสุทธิ์ของเธอก็ยังมี”
หยางตงฉวน ผู้เป็นพ่อเลี้ยง รีบเดินเข้าไปเพื่อนำเสนอเธอให้กับผู้ชายที่เขาเรียกว่าผู้บัญชาการด้วยความหว่านล้อม
“หากผู้บัญชาการไม่ถูกใจ ก็รับซื้อเธอเอาไว้เป็นคนใช้ก็ได้นะคะ งานบ้านหรืออาหาร อาเจินทำได้หมด” แม่บังเกิดเกล้าของเธอช่วยเสริมกับสามีใหม่อีกแรง ด้วยท่าทางรีบร้อนที่จะขายเธอออกไปให้พ้นหูพ้นตา
ฉินเจินเจินได้แต่ส่ายหน้าไปมา ที่มันยุคไหนกันแล้ว ยังจะมาขายลูกกินง่าย ๆ แบบนี้อีก เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของนายทหารคนนั้นด้วยความจับจ้อง ก่อนจะมองสำรวจบุรุษผู้นั้นด้วยความพินิจอีกครั้ง การแต่งตัวเช่นนี้ กับคำเรียกขานว่าผู้บัญชาการ
‘หรือว่านี่คือยุคสาธารณรัฐ’ เธอคิดได้เพียงเท่านี้ ทั้งบรรยากาศการแต่งกายที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นผ่านตาจากหนังสือและจอโทรทัศน์มาบ้าง
‘ฉินเจินเจินนี่เธอตายแล้วเกิดใหม่ มาอยู่ในร่างของยัยหนูที่น่าสงสารคนนี้อย่างนั้นรึ’ ยังไม่ทันจะได้มีว่างเว้นให้นึกคิดย้อนไปถึงเรื่องราวที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในร่างของเด็กสาวนามว่าฉินเจินเจิน เสียงทุ้มเข้มก็ดังขึ้นพร้อมกับถ้อยคำที่ทำให้เธอกระพริบตาปริบ ตัวชา เพราะทำอะไรไม่ถูก และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้
“ผมยินดีจะซื้อเธอ”
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย
แสงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่งได้ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิดที่เงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความชั่วร้ายที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งลั่วหยาง หวังซานเย่ เป็นผู้บัญชาการทหารที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญ เขาได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ในระหว่างทางเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนไม่อาจมองข้ามไปได้"ผู้บัญชาการครับ เหตุการณ์ในวันนี้มันดูแปลกไปนะครับ"ห่าวอู๋ ลูกน้องคนสนิทของหวังซานเย่ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ขณะกอบกุมพวงมาลัยของรถยุโรปทางการทหารหวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ และสิ่งที่คิดก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ดูแปลกตามที่ห่าวอู๋บอกกล่าว และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนในทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนกับกำลังพยายามหนีเสียมากกว่าการตั้งใจต่อสู้"มันไม่น่าจะใช่แบบนี้" หวังซานเย่พึมพำเบา ๆ เมื่อสายตาคู่คมมองเห็นความผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านเขาสั่งให้ห่าวอู๋หยุดรถในทันทีที่มองเห็นว่าหมู่
หวังซานเย่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในเช้าวันใหม่ เขาพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา บรรยากาศในวันนี้สดใสกว่าทุกวัน ความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ทั้งสองฝั่งทำให้เธอทอดสายตามองด้วยความสบายใจ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง สามารถมองเห็นตัวเมืองอันกว้างไกลที่เธอเองก็ยังเดินสำรวจไม่ครบทุกมุม เป็นความหรูหราของสถาปัตยกรรมจีนโบราณผสมผสานกับกลิ่นอายยุคสาธารณรัฐสะท้อนความมั่งคั่งและทรงอำนาจของตระกูลหวัง ตระกูลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและเศรษฐกิจระดับประเทศที่ฉินเจินเจินได้มองอย่างเต็มตาในวันนี้"เจินเจิน ผมยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่กับคุณสองต่อสองมากกว่า" เขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับมือเธอเอาไว้"ซานเย่ ตั้งใจขับรถหน่อยสิคะ ฉันยังไม่อยากนอนข้างทางนะคะ!" เธอบ่นอุบ เมื่อเห็นเขาขับรถมือเดียว จนรู้สึกไม่ปลอดภัย"คุณไม่อยากอยู่กับผมแค่สองคนอย่างนั้นหรือ" เขาไม่ฟังเธอปราม แต่ทว่าเร่งรัดให้เธอตอบคำถามของเขา"ที่คฤหาสน์ก็ไม่มีใครมาวุ่นวายกับคุณนี่คะ ซานเย่ คุณตั้งใจขับรถก่อนเถอะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะงอนคุณนะคะ" เธอกอดอกมุ่ยหน้าใส่เขาด้วยสายตาเอาจริง"ไม่งอนนะ ผมยอมแล้วก็ได้"ฟอดหวังซ
ปลายนิ้วที่เรียวสวยผลักร่างใหญ่โตของเขาให้นอนราบลงไปบนฝากระโปรงของรถได้ด้วยมือเดียว หวังซานเย่ร่างกายอ่อนระทวยไปกับลีลาอันแสนเร่าร้อนของเธอเสียแล้วฉินเจินเจินนั่งคร่อมลงบนท่อนกายอุ่นร้อนของเขาจนมิดลำ ส่งให้เขาหน้าเบ้ด้วยความคับแน่น ความเจ็บสะท้านแล่นไปทั่วลำใหญ่แต่ทว่ายังคงซ่านเสียวจนสมองขาวโพลนซี้ดไม่ได้มีเพียงเขาที่เจ็บปวด เธอเองก็เช่นกันเพราะขนาดที่ใหญ่โตของเขาได้เบียดเสียดเข้ามาภายในโพรงสวาทจนแทบจะปริแตกจากกัน แต่นั่นกลับเป็นความเจ็บปวดที่เธอยินดีสะโพกอิ่มโขลกไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนท่อนเอ็นเขื่องเข้าออกร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำเต็มไปด้วยความต้องการที่พุ่งพล่าน ไฟร่านกำลังครอบงำตัวของเธอฉินเจินเจินยกตัวขึ้นแล้วกระแทกตัวลงไปเพื่อให้แท่งหยกเข้าไปในร่องรักของเธออย่างแรง ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความลึกและความสะใจ มันทั้งร้อนแรงและวาบหวาม จนเขาครางออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า“อ่า เจินเจิน กระแทกอีก ผมเสียวจังเลยครับ”“อะ...อื้อ”ริมฝีปากบางสีแดงสดขบเม้มเข้าหากันด้วยความซ่านสยิว ก่อนที่เธอจะออกแรงขยับสะโพกอย่างเชี่ยวชาญ แล้วบดสะโพกลงไปอย่างหนักจนน้ำกามไหลออกมาชุ่มฉ่ำและเกิดเสียงดังแ
Comments