มื้อค่ำวันนี้วารีอาสาเป็นเจ้ามือ ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายอยู่ทำงานให้เธอจนดึก ซึ่งเป็นเหตุผลที่มุกดาค่อนข้างแปลกใจ เพราะเธอหลับไปต่างหาก ถึงได้กลับบ้านซะค่ำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับไป คิดว่าดีซะอีกที่มื้อนี้อิ่มจังตังอยู่ครบ
บ้านของมุกดาอยู่ห่างจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร อันที่จริงการที่เธอจะกลับบ้านดึกขนาดไหนก็ดูจะไม่เป็นปัญหา แม้ระหว่างทางจะค่อนข้างเปลี่ยวเพราะไม่มีบ้านคน แต่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง
แต่ก็นั่นแหละ วารีก็ยังอาสามาส่งถึงบ้านจนได้
บ้านของมุกดาเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้หลากชนิดไม่ว่าจะเป็นเงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตจากพ่อของเธอที่ปลูกไว้
และถึงแม้พ่อของมุกดาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ต้นไม้พวกนี้ก็ยังผลิดอก ออกผลอยู่ตลอด มีคนงานช่วยดูแลหนึ่งคนชื่อลุงชื่น ทำหน้าที่ใส่ปุ๋ยรดน้ำและเก็บเกี่ยวผลผลิต ขายบ้างแจกบ้างกินเองบ้าง พอเป็นรายได้ส่วนหนึ่งให้ครอบครัว
ทันทีที่แสงไฟสว่างวาบจากหน้ารถของวารีส่องกระทบไปยังบ้านไม้ที่อยู่ในสวน คนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านทันที
ลูกจันทร์รีบวิ่งไปเปิดประตูและจำได้แม่นว่ารถกระบะสีดำคันนั้นเป็นของใคร
วารีขับรถเข้ามาจอดในบ้านและเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับมุกดา ทำเอาลูกจันทร์แปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร รีบเดินไปหาคนที่ตัวเองรักและเคารพเหมือนพี่สาวแท้ ๆ
“พี่มุก ทำไมวันนี้กลับซะค่ำเลยเนี่ย หนูโทรหาพี่ตั้งหลายสายเลย” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วพร้อมกับใบหน้าแต้มรอยยิ้มคือเอกลักษณ์ประจำตัวของลูกจันทร์ที่ใครเห็นก็พากันเอ็นดู
มุกดายื่นมือไปลูบศีรษะผู้หญิงตรงหน้าซึ่งเธอเองก็รักอีกฝ่ายเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ส่งรอยยิ้มอบอุ่นกลับไป
“วันนี้พี่วาใช้งานพี่หนักมาก เหนื่อยมากเลยจันทร์ ก็เลยกลับค่ำเลยเนี่ย”
มุกดาพูดพลางหันหน้าไปทางวารี และคำตอบของเธอก็ทำให้ลูกจันทร์รีบก้าวยาว ๆ มาหยุดตรงหน้าวารีแล้วคลี่ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
“พี่วา หนูว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันค่ะ”
วารีมีท่าทีเลิ่กลั่ก กลอกตาไปมา มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น
“อยากคุยก็ตามมา ส่วนคนที่บ่นเหนื่อยก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ พี่ไม่รบกวนเวลาอันมีค่าแล้ว เดี๋ยวจะหาว่าพี่ใช้แรงงานเกินเวลางานอีก น่าจะให้รางวัลพนักงานที่ทั้งบ่นเก่งแล้วก็ฟ้องเก่งที่สุดในฟาร์มเลย”
มุกดาหันมามองค้อนทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอเดินมาใกล้วารีก่อนจะตอบกลับแบบชัดถ้อยชัดคำ
“รู้ตัวก็ดีค่ะ พี่น่ะใช้แรงงานมุกเกินไปมาก แต่ก็ขอบคุณที่รู้ตัวแล้วไถ่โทษด้วยมื้ออาหารร้านลุงเจตนะคะ ขอบคุณที่มาส่งด้วย บายค่ะ”
มุกดายกมือโบกเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินเข้าไปในบ้านทันที ส่วนลูกจันทร์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางบทสนทนาของทั้งสองคนก็ยิ่งแสดงออกถึงความแปลกใจในหลาย ๆ อย่าง
หลังจากที่มุกดาเดินคล้อยหลังเข้าไปในบ้านแล้ว วารีก็รีบพาอีกฝ่ายเดินไปนั่งคุยกันตรงสวนผลไม้ข้างบ้านที่มีเพียงแสงไฟสีส้มดวงเล็กส่องสว่าง
“พี่รู้นะว่าจันทร์จะถามอะไร เราน่ะเก็บอาการไม่มิดเลยนะ”
วารีเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นก่อน ทั้งคู่นั่งอยู่ข้างกันบนเก้าอี้แคมป์ปิ้งคนละตัวที่วางอยู่ด้านข้างบ้าน
“แน่นอนเลยพี่วา หนูมีเรื่องถามเยอะแน่ ๆ แต่เอาเรื่องนี้ก่อน เรื่องที่พี่มาส่งพี่มุกเนี่ย ก็ไหนบอกไม่อยากเจอ ไม่อยากอยู่ใกล้แล้ว แค่รับรู้ความเป็นไปก็พอ แล้วทำไมถึงมาส่ง ทำไมถึงพาไปกินข้าวร้านลุงเจต หื้ม?”
หญิงสาววัยสิบเก้าปีส่งคำถามไปรัว ๆ วารีถึงกับยกมือขึ้นนวดขมับเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไรก่อนดี
อันที่จริง ตัวเธอเองก็มีความสงสัยในบางอย่างที่หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน นับตั้งแต่ที่มุกดากลับมาที่นี่
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะจันทร์ ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้น เราก็รู้ดีหนิว่าระหว่างพี่กับมุกมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วพี่เองก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ มุกจะลาออกกลับมาอยู่บ้าน ส่วนเรื่องที่แม่ลีป่วยพี่ก็ไม่รู้ จันทร์นั่นแหละไม่บอกพี่ พี่ไม่รู้อะไรสักอย่าง”
วารีส่งสายตาดุ ๆ ไปคาดโทษคนข้าง ๆ คนที่เธอรักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวเช่นกัน
หรือถ้าจะพูดให้ถูก วารีก็รักทุกคนในครอบครัวของมุกดานั่นแหละ ไม่เว้นแม้แต่ลุงชื่น คนที่ช่วยทำสวน วารีก็คอยช่วยเหลือในเรื่องของความเป็นอยู่และค่าใช้จ่ายในหลาย ๆ ด้าน โดยที่มุกดาไม่เคยรับรู้เรื่องนี้เลย
“โถ่พี่วา หนูก็น้ำท่วมปากเหมือนกันนั่นแหละ แล้วหนูก็อึดอัดมากเลยเนี่ย ต้องมาปิดเรื่องพี่ไม่ให้พี่มุกรู้ แล้วต้องมาปิดเรื่องพี่มุกไม่ให้พี่รู้อีก ทั้ง ๆ ที่พวกพี่สองคนยังคิดถึงกัน ทำไมไม่กลับมาคุยกันดี ๆ ปรับความเข้าใจกัน”
วารีนิ่งงันไปทันทีเมื่อรู้แบบนั้น เธอหันไปมองหน้าลูกจันทร์ จับต้นแขนอีกฝ่ายแล้วเขย่าอย่างแรง
“เมื่อกี้ว่าไงนะ จันทร์บอกว่ามุกยังคิดถึงพี่เหรอ หื้ม?”
“เอ่อ ก็..ไม่รู้อะ ไม่แน่ใจหรอก”
“อ้าว แล้วที่พูดเมื่อกี้หมายความว่าไง” วารีหุบยิ้ม ถอนหายใจทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น
“เอาจริงนะ จันทร์ก็ไม่รู้เรื่องของพี่กับพี่มุกดีนักหรอก แต่ที่ผ่านมาพี่มุกก็ถามเรื่องพี่อยู่บ่อย ๆ เหมือนกันนะ น่าจะตั้งแต่ช่วงเรียนจบแล้วก็เริ่มทำงานนั่นแหละ ถามถึงพี่ตลอดว่าพี่เป็นยังไงบ้าง ธุรกิจไปได้สวยรึเปล่า มาหาแม่กับจันทร์บ่อยมั้ย แล้วก็เคยบอกว่า อยากกลับมาช่วยงานพี่ที่ฟาร์มด้วย ส่วนพี่เองก็เปิดฟาร์มนี้เพราะพี่มุกไม่ใช่รึไง”
วารีเงียบไปชั่วขณะ พร้อมกับที่ภาพเหตุการณ์มากมายไหลเข้ามาในหัว และถึงแม้เรื่องราวระหว่างเธอและมุกดานั้นไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจ้าตัวก็จริง
แต่หลังจากที่แยกย้ายกันไป ต่างฝ่ายต่างไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายรู้สึกนึกคิดยังไง ทั้งที่ภาวนาอยู่ตลอดว่าไม่อยากเจอกันแล้ว ไม่อยากเห็นหน้ากันอีก แต่ทำไมในจิตใต้สำนึกมันยังเรียกร้องและโหยหากันตลอดเวลา
อยากที่จะรับรู้ความเป็นไป อยากที่จะรับรู้การเติบโต แต่พอวันนึงได้วนกลับมาเจอกัน บาดแผลของการลาจากครั้งวัยเยาว์ก็ยังส่งผลให้ความรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เรื่องน่าแปลกก็คือ หลังจากแยกย้ายกันครั้งนั้น ทั้งวารีและมุกดาก็ไม่ได้มีใคร ไม่คิดเอาใครเข้ามาในชีวิต ทั้งที่มีคนมากมายเข้ามาให้เลือก แต่ทั้งคู่ก็สนใจแค่ชีวิตของการทำงานเท่านั้น
ถ้าไม่ได้เรียกว่า รอ แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะอะไรกันนะ
“ถ้าพี่กับพี่มุกไม่ได้คิดถึงกัน จะอยากรู้เรื่องของกันและกันไปทำไม ใช่มั้ยล่ะ”
วารีหันไปมองหน้าคนถาม ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ได้คิดถึงสักนิด แค่อยากรู้เฉย ๆ จบมั้ย”
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่