ก่อนกลับไปฟาร์ม วารีไม่ลืมเข้าบ้านไปทักทายผู้หญิงอีกคนที่รักและเคารพไม่แพ้แม่ตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอกำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี
แม่มาลี หรือแม่ลีที่เธอรู้จัก วันนี้ดูอิดโรยกว่าทุกวัน ทว่าสายตาที่มองวารียังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นเสมอ
“วา แม่นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก มุกบอกแค่ว่าหนูมาส่งแล้วก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ แม่เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ”
วารียกมือไหว้คนอาวุโสแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเผชิญโรคร้ายทำให้วารียิ่งรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก
ทั้งที่เธออยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไรเลย
“วานั่งคุยกับจันทร์อยู่ตรงข้างบ้านค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เดินเข้าบ้านมากับน้อง แล้วนี่แม่ดูอะไรอยู่คะ กินข้าวรึยัง นมบำรุงกระดูกที่วาซื้อมาให้ครั้งก่อนหมดรึยังเนี่ย แม่อยากได้อะไรอีกมั้ย พรุ่งนี้วาจะซื้อมาให้”
วารีเอื้อมมือไปจับมือของแม่ลีแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ บนหลังมืออีกฝ่าย เธอตั้งใจส่งผ่านกำลังใจดี ๆ ไปพร้อมกับสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด
“ไม่ต้องซื้ออะไรมาหรอกลูก ทั้งขนมทั้งนมที่นี่มีเยอะแยะเลย ลูกจันทร์บ่นว่ากินไม่ทันแล้ว”
“ค่ะแม่ งั้นถ้าแม่อยากได้อะไร หรืออยากจะไปไหน หรือถ้ามีอะไรให้วาช่วย แม่บอกวาได้เลยนะคะ วาเต็มใจมาก”
สายตาของแม่ลีที่มองวารีเต็มไปด้วยความอบอุ่น มือของทั้งคู่ที่กุมมือกันจับกันแน่นขึ้น แม่ลีบีบมือวารีเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบา
“วา แม่มีเรื่องอยากจะขอสักเรื่องได้มั้ยลูก”
วารีขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ก็พยักหน้าตอบรับโดยไม่ต้องคิดให้นาน แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าคำขอของอีกฝ่ายคือเรื่องอะไร
“ถ้าเกิดวันนึงแม่ไม่อยู่แล้ว แม่ฝากน้องด้วยนะลูก วาอย่าทิ้งน้องนะ” ประโยคที่ส่งมาพร้อมกับน้ำเสียงบางเบาทำเอาหัวใจของวารีวูบไหว
อย่าทิ้งน้องงั้นเหรอ ที่ผ่านมาตั้งแต่ที่มุกดาลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ ไม่มีสักวินาทีที่คนอย่างวารีคิดจะทิ้งอีกฝ่าย แต่กลับเป็นลูกสาวของแม่ลีต่างหากที่เป็นคนทิ้งเธอไป ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา วารีก็ยิ่งเจ็บปวด
และความเจ็บนี้ก็มีแค่เธอคนเดียวที่รับรู้อยู่กับตัวเองมาโดยตลอด แม้แต่คนที่สร้างบาดแผลไว้ก็คงไม่รู้ตัวเลย
วารีสบสายตากับผู้หญิงตรงหน้า ค่อย ๆ คลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบรับในคำขอนั้น
“ค่ะแม่ วาสัญญาว่าจะไม่ทิ้งน้อง แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ”
คนอาวุโสยิ้มกว้างได้มากกว่าเดิม เธอพยักหน้าแทนคำขอบคุณพร้อมกับดวงตาที่รื้นไปด้วยหยดน้ำใส ๆ
วารีนั่งคุยกับแม่ของมุกดาไม่นานก็ขอตัวกลับเพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว ลูกจันทร์เป็นคนเดินไปส่งที่รถพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วที่เอ่ยไปตลอดทาง
“พี่วา อีกไม่นานหนูจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพแล้วนะ หนูอยากไปเป็นสาวเมืองกรุง พี่ไม่ต้องคิดถึงกันมากนะ ยังไงก็อย่าลืมแม่กับพี่มุกล่ะ ฝากสองคนนั้นด้วย โดยเฉพาะพี่มุกน่ะ กลับมาบ้านครั้งนี้ดูเหม่อ ๆ เงียบ ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่เห็นบ่นเก่งเหมือนเมื่อก่อนเลย”
วารีหันมามองหน้าคนพูดพร้อมกับที่ในหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อันที่จริงไม่ใช่แค่ลูกจันทร์หรอกที่เห็นความผิดปกตินี้ เธอเองก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่ามุกดาดูนิ่งขึ้น พูดน้อยกว่าแต่ก่อน ทั้งที่อีกฝ่ายเคยเป็นคนสดใสและยิ้มเก่ง
“ไม่ต้องห่วงคนอื่นหรอก เรื่องตัวเองน่ะไปถึงไหนแล้ว นี่จะไปเรียนต่อแล้วได้ที่เรียนแล้วเหรอ เรื่องที่พักอีกล่ะ หาไว้รึยัง”
“โอ้ย หนูจัดการเรียบร้อยแล้ว พี่วาจะเป็นแม่อีกคนรึไงเนี่ย”
ลูกจันทร์หันมามองค้อน แถมยังถอนหายใจอีกต่างหาก สีหน้าของเธอราวกับเอือมระอาคนที่เป็นเหมือนพี่สาวอีกคนซะเหลือเกิน
“ไม่ได้เป็นแม่ แต่เป็นพี่แกไง แล้วก็เป็นห่วงด้วย แล้วที่ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วน่ะยังไง หื้ม”
“หนูได้ทุนของมูลนิธิพาขวัญน่ะพี่วา ที่นี่เค้ามีทุนให้นักเรียนม.หกทุกปี แต่มีข้อแม้ว่าเรียนจบแล้วต้องไปทำงานให้ธุรกิจในเครือของเค้า จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ทุนที่ให้มาเฉย ๆ หรอก แต่ก็มีงานรองรับ ดีจะตายเรียนจบแล้วมีงานทำเลย ส่วนเรื่องที่พัก ทางมูลนิธิก็เป็นคนจัดการให้ ได้ข่าวว่าคนก่อตั้งใจดีมาก ๆ เลยนะพี่วา ไม่ต้องห่วงหนูหรอก”
“ฟังดูยุ่งยากจะตาย ดีตรงไหน ทำไมไม่บอกพี่เรื่องนี้ พี่จะได้ให้เงิน แกก็รู้ว่าพี่ให้ได้อยู่แล้ว”
ลูกจันทร์กลอกตามองบนไปหนึ่งทีเมื่ออีกฝ่ายพูดเรื่องนี้
“รู้ค่ะว่าให้ได้ รู้ว่าพี่น่ะรวยแล้วก็ใช้เงินเก่ง แต่ที่ผ่านมาพี่ก็ช่วยบ้านเรามาเยอะแล้ว หนูไม่อยากรบกวน อันไหนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ก็ขอทำเองเถอะ”
“หึ ความลับเยอะนักนะ พี่อยู่ใกล้แท้ ๆ กลับไม่รู้เรื่องนี้เลย นี่ถ้ามุกไม่บอกพี่ก็ไม่รู้”
“โอ้ย พอเลย ๆ ไม่พูดเรื่องจันทร์แล้ว เอาเรื่องพวกพี่สองคนดีกว่า ตกลงยังไงเนี่ย กลับมาคุยดีกันได้รึยัง ถามกันไปถามกันมา ใช้หนูเป็นตัวกลางอยู่ได้ บอกไว้เลยนะ ถ้าหนูไปเรียนมหาลัยแล้วอะ หนูจะไม่เป็นตัวกลางให้ใครอีกแล้ว จะไม่รับรู้เรื่องของใครด้วย พวกพี่ต้องคุยกันเอง เข้าใจรึเปล่า”
ความเงียบเกิดขึ้นในทันทีเมื่อวารีรู้แบบนั้น จนถึงตอนนี้เธอยังคิดไม่ออกเลยว่า หากวันหนึ่งทั้งคู่ต้องหันหน้าคุยกันแบบจริงจัง แบบที่ไม่ต่อล้อต่อเถียงกันเหมือนตอนนี้ ความรู้สึกตอนนั้นจะเป็นยังไง จะมีใครกล้าพูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองรึเปล่า
“ไม่เข้าใจ และไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนละกัน”
ทั้งคู่เดินมาถึงรถกระบะสี่ประตูที่จอดอยู่หน้าบ้าน เจ้าของรถเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับเพื่อจะกลับบ้าน ลูกจันทร์ส่งยิ้มให้ ยกมือโบกให้เล็กน้อย เมื่อเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้นและรถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว เธอก็เดินไปปิดประตูรั้วแล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
โดยที่ไม่รู้เลยว่า ตรงหน้าต่างชั้นสองของบ้าน มีมุกดายืนมองการกระทำของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเธอเห็นทุกอย่าง เพียงแค่ไม่รับรู้ว่าผู้หญิงสองคนนั้นพูดคุยอะไรกันบ้าง
...
วารีกลับมาถึงฟาร์มโดยที่ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้านเธอก็เอาแต่คิดถึงเรื่องอะไรต่ออะไรเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ทุกเรื่องที่ว่าน่ะ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับมุกดาทั้งหมด
ทั้งเรื่องวัยเยาว์ เรื่องที่ทั้งคู่ห่างหายกันไป ไหนจะบรรยากาศเมื่อค่ำที่ได้กลับไปกินร้านประจำด้วยกัน เรื่องที่แม่ของมุกดาฝากลูกสาวตัวเองไว้กับเธอ หรือแม้แต่เรื่องที่มุกดาคอยถามไถ่เรื่องของเธอจากลูกจันทร์อยู่บ่อย ๆ
ทุกเรื่องราวสร้างความวุ่นวายใจให้กับวารีเป็นอย่างมาก ทั้งที่เคยคิดว่าจะไม่สนใจและไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้อีก
แต่ความจริงทุกอย่างกำลังบอกเธออยู่ตรงหน้าว่า จิตใต้สำนึกของเธอตลอดเวลาที่ผ่านมามันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
คำว่ารักยังคงอยู่..และมีอยู่เสมอมา
ในเวลาช่วงเช้าของวารีฟาร์ม ก่อนแปดโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเข้างาน มักจะมีภาพของชาวบ้านในท้องถิ่นซึ่งทำงานที่นี่ ล้อมวงกันนั่งกินกาแฟและพูดคุยข่าวสารบ้านเมืองกันด้วยเสียงเฮฮา วันนี้มุกดามาถึงฟาร์มเร็วกว่าทุกวันจึงได้เห็นภาพดังกล่าว บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ เสียงหัวเราะ ความเป็นกันเองของคนพื้นถิ่น กลิ่นกาแฟโบราณและขนมที่กินกับกาแฟตอนเช้าคือเอกลักษณ์ของที่นี่ “เอ้า มุก หลบบ้านมาเมื่อใด ลุงไม่เห็นนาน สวยน่าหวางนี้” (อ้าวมุก กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ลุงไม่เจอนาน เดี๋ยวนี้สวยนะ) น้ำเสียงที่เอ่ยทักทายเป็นภาษาใต้ทำให้มุกดารีบหันไปมองต้นเสียงก็เจอเข้ากับลุงมุ้ย ที่ตอนนี้น่าจะเป็นตามุ้ยไปแล้ว ยังคงมองเธอด้วยสายตาอบอุ่น “หวัดดีค่ะลุง นุ้ยเพิ่งหลบมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว หลบมาแลแม่ แกไม่ค่อยบาย” (สวัสดีค่ะลุง หนูเพิ่งกลับมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว กลับมาดูแลแม่ ท่านไม่ค่อยสบาย) มุกดาตอบกลับไปด้วยสำเนียงท้องถิ่นเช่นกัน ทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังวงสนทนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะไม่คิดว่ามุกดาจะยังพูดใต้ได้ วารีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมุกดาใ
“ซื้อของเสร็จรึยังมุก” วารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบึ้งตึง“อ้าวพี่วา มาเร็วจัง” มุกดายกข้อมือดูนาฬิกาก็เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน“อืม พี่ซื้อของเสร็จแล้ว” วารีขยับมายืนข้าง ๆ ในแบบที่ใกล้กว่าเดิม แล้วเอามือแตะ ๆ ข้างเอวของมุกดาอย่างเบามือ เลยทำให้อีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกว่ากำลังถูกแสดงความเป็นเจ้าของทว่าพนักงานขายผู้ชายที่เห็นการกระทำของวารีบวกกับสีหน้าบึ้งตึงของเธอก็พอจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเขารีบปรับสีหน้ามาเป็นปกติ สายตาที่มองมุกดาหวานฉ่ำหายไปในทันที“แล้วนี่มาซื้ออะไร แท็บเล็ตเครื่องใหม่เหรอ เครื่องเก่าไปไหนแล้วล่ะ” วารียังคงมีสีหน้าหงุดหงิดที่แสดงออกชัดเจน“พี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ย หน้าบึ้งเป็นบ้าเลย”“ช่างเหอะ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อ จะได้รีบกลับ งานที่ฟาร์มมีอีกเยอะ”“โอเค ๆ รู้แล้วค่า” มุกดาลากเสียงยาวแล้วหันไปคุยกับพนักงานขาย“งั้นเอาเครื่องนี้ค่ะพี่ เดี๋ยวรูดบัตรได้เลยนะคะ” มุกดาเตรียมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา แต่วารีเร็วกว่าเพราะเธอเตรียมบัตรเครดิตไว้ในมือตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว“รูดกับบัตรใบนี้ค่ะ” เธอยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานและส่งส
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาตีสอง เสียงเครื่องยนต์จากรถกระบะสีดำที่ขับเข้ามาในฟาร์มปลุกมุกดาที่หลับฟุบกับโต๊ะกินข้าวในห้องครัวให้ตื่นขึ้น วารีขับรถเข้ามาจอดในโรงรถด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่ารถเก๋งของมุกดายังจอดอยู่ที่เดิม แต่เพราะอาการมึนเมาเล็กน้อยเธอเลยไม่ได้สนใจนักอีกใจก็แอบคิดว่าตัวเองตาฝาด ไม่อยากเข้าข้างตัวเองให้มากว่าอีกฝ่ายจะอยู่รอเป่าเค้กเป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น วารีเดินเข้ามาในบ้าน รู้สึกคอแห้งจึงก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องครัว ไม่ได้นึกแปลกใจที่ไฟในห้องครัวยังเปิดอยู่ และเมื่อเดินเข้าไป เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ก็ดังขึ้น มุกดาถือเค้กก้อนเล็กไว้ในมือ มูลค่าของเค้กไม่กี่สิบบาท พร้อมกับเทียนเล็ก ๆ หนึ่งเล่ม แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้วารีสร่างเมาในทันที เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงวันเกิดร้องจบไปตั้งแต่ตอนไหน เพราะสายตาเอาแต่มองภาพตรงหน้า แล้วก็รู้สึกเหมือนหูดับไปซะอย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อจากมุกดาซ้ำ ๆ นั่นแหละถึงได้มีสติหลุดจากภวังค์ “เป่าเทียนได้แล้วค่ะพี่วา อย่าลืมอธิษฐานก่อนนะ” วารีพยักหน้า หลับตาล
“ขี้โกง นี่พี่ไม่ได้หลับเหรอ” คนในอ้อมกอดยังคงพยายามดิ้นไปดิ้นมา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ดูจะสู้อ้อมแขนแข็งแกร่งของวารีไม่ได้เลย ต่อให้พยายามจะเอาตัวเองออกมาจากพันธนาการนั้นแต่ก็แสนจะยากเย็น “ถ้าหลับแล้วจะเห็นเหรอว่ามีคนแอบมองพี่น่ะ หื้ม” วารีก้มลงมองใบหน้าคนในอ้อมกอด พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นดังมากขึ้นเรื่อย ๆนี่เป็นอ้อมกอดแรกในรอบกี่สิบปีไม่รู้นับตั้งแต่ทั้งคู่แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง และการวนกลับมาเจอกันครั้งนี้ก็เหมือนพัดพาเอาความรู้สึกเก่า ๆ กลับมาด้วยเช่นกันจากที่เคยคิดว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ความรู้สึกวูบไหวตรงหน้าอกข้างซ้ายกำลังบอกความจริงบางอย่างกับเธอ“ใครแอบมอง มุกไม่ได้แอบสักหน่อย”“ยังจะปากแข็งอีกนะ พี่ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”“ก็พี่วาเมา แล้วก็เป็นฝ่ายขอร้องให้มุกอยู่ด้วย มุกก็ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าพี่โอเคขึ้นแล้วจริง ๆ”“เป็นห่วงพูดแบบนี้ค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม ไหนลองพูด”“ไม่พูด! เพราะไม่ได้เป็นห่วง ไม่เลยสักนิด”“อ้อเหรอ แต่ก็ยอมอยู่กับพี่หนิ”“งั้นกลับก็ได้!”มุกดาพยายามเอาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของวารีอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผล ดูเหมือนว่าอีกฝ่
“มุก มาแนะนำตัวกับชาวบ้านหน่อยสิ”วารีเอ่ยเรียกคนที่เธอรู้จักดี มุกดาเมื่อได้ยินชื่อตัวเองก็ลุกจากเก้าอี้มายืนต่อหน้าชาวบ้านเคียงข้างวารีมุกดาเริ่มแนะนำตัวท่ามกลางเสียงปรบมือ แม้ว่าเธอจะเป็นคนในท้องถิ่นเช่นกัน แต่เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้าน ชาวบ้านบางคนก็ไม่ได้รู้จักเธอว่าเป็นใครมาจากไหน บางคนก็หลงลืมไปแล้วว่าเธอเป็นลูกสาวของแม่ลี เมื่อมีการแนะนำตัว จึงได้ทำให้หลายคนรู้จักเธอเพิ่มขึ้นมุกดาพูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง และบอกว่าตัวเองเคยทำงานเป็นนักอนุรักษ์ เธอเข้าใจชาวบ้าน เข้าใจวิถีชีวิตของคนในชุมชน หลายคนก็ดีใจที่มุกดากลับมาและจะมาช่วยพัฒนาชุมชนให้ดียิ่งขึ้นไปจนกระทั่งมุกดาพูดจบ กำนันโต้งก็เอ่ยขึ้นทันที“ทั้งเก่งทั้งสวยขนาดนี้ ไม่น่าจะมาทำงานที่ฟาร์มวารีนะครับ ไปทำงานเป็นผู้ช่วยกำนันดีกว่า งานสบาย เงินเดือนดี สนใจมั้ยครับคุณมุกดา”กำนันโต้งแสดงออกชัดเจนถึงจุดประสงค์ของเขา อีกทั้งสายตาที่มองมุกดาตลอดเวลาก็เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ วารีเห็นแบบนั้นจึงขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วเอื้อมมือไปกอบกุมเอวบางคนข้างกายเอาไว้มุกดาหันไปมองค้อนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนข้าง ๆ กอดเอวเธอท่ามกลางสายตาหลายคู่
“พี่วา! ปล่อยมุกนะ พี่จะทำอะไรเนี่ย” มุกดาหันไปมองค้อนคนที่ลากเธอออกมาด้วยสายตาขุ่นเคือง วารีไม่ตอบแต่ถอดเสื้อยีนสีเข้มของเธอสวมใส่ให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวเองก็ใส่เพียงเสื้อยืดสีดำขนาดพอดีตัว “พี่ไม่ได้จะห้าม แต่ถ้าจะเล่น ต้องมีพี่อยู่ด้วย แล้วชุดที่ใส่น่ะ โป๊มาก ก่อนจะใส่ได้ดูกระจกรึเปล่า แล้วทำผมทรงอะไร ถักเปียสองข้างเหมือนเด็กอนุบาล แต่งตัวไม่ได้เรื่องเลย” วารีบ่นยืดยาว สายตามองมุกดาตั้งแต่หัวจรดเท้า และที่บ่นไปยังไม่นับกางเกงยีนขาสั้นสีซีดที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่อีก “พี่เป็นบ้าปะ ถ้าจะบ่นขนาดนี้ก็กลับไปเลย ไม่ต้องมาอยู่ใกล้ มุกไม่ชอบคนขี้บ่น แล้วก็เอาเสื้อพี่กลับไปด้วย” มุกดาเตรียมจะถอดเสื้อยีนของอีกฝ่ายออกจากตัว แต่วารีรีบเอ่ยห้าม “ห้ามถอดเด็ดขาด ใส่ไว้แบบนั้นแหละ” พูดจบวารีก็จับมืออีกฝ่ายพาเดินกลับเข้าไปยังพื้นที่ปาร์ตี้โฟมอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้ข้างกายของมุกดามีวารีคอยเดินประกบไม่ห่าง เลยกลายเป็นว่า นอกจากลูกจันทร์แล้ว แทบไม่มีใครกล้าเข้ามาประแป้งมุกดา โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ทั้งหลายที่เห็นสายตาของวารีก็ถอยห่างกันไปหมด ท
“น้องไม่ดีเอง คำพูดตอนนั้นคงทำให้พี่เจ็บปวดมากเลยใช่มั้ย” มุกดาหันไปมองคนข้าง ๆตอนนี้ทั้งคู่พากันมานั่งเล่นตรงสะพานไม้ที่ยื่นออกไปในทะเล ซึ่งบริเวณนี้แทบไม่มีใคร โดยเฉพาะวันนี้ที่พนักงานทุกคนต่างไปสนุกสนานกันที่งานสงกรานต์“เจ็บสิ ตอนนั้นโลกของพี่มันพังไปเลย มันไม่ใช่แค่แตกสลาย แต่มันเหมือนคนที่ไม่เอาอะไรแล้วชีวิตนี้”“ขนาดนั้นเลยเหรอ” มุกดาหันกลับมามอง สายตาของเธอดูเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่วารีเอ่ยมาเท่าไหร่นัก“ขนาดนั้นเลย เพราะตอนนั้นพี่รักน้องมากเลยนะ”“แล้วตอนนี้ล่ะ”คำถามง่าย ๆ กลับได้รับเพียงความเงียบตอบกลับมา สายตาของวารีมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า คำถามของมุกดาให้เธอต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะเพราะไม่แน่ใจในคำตอบ“ตอนนี้เหรอ ไม่รู้สิ พี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน รู้แค่ว่า ดีใจที่เห็นน้องกลับมาอยู่ตรงนี้ คิดว่าเราจะไม่มีโอกาสได้เจอกันแล้วซะอีก”“อืม เข้าใจแล้ว”มุกดาละสายตาจากใบหน้าวารี หันกลับไปมองวิวทะเลเบื้องหน้าเช่นกัน ทั้งคู่นั่งอยู่ข้างกัน มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งให้ได้ยินอยู่เสมอ กับเสียงหัวใจที่เต้นระส่ำระสาย“โกรธพี่เหรอ” วารีหันมองคนข้างกาย“เปล่าค่ะ ไม่ได้โกรธ น้องเข้าใ
“จริง ๆ ลูกจันทร์เล่าเรื่องของพี่ให้น้องฟังอยู่ตลอดนะ” วารีเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งคุยกันตรงระเบียงหลังบ้าน ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มครึ่ง วารีฟาร์มยังคงมีเสียงเพลงจากหน้าเวทีให้ได้ยิน หลังจากที่ช่วงบ่ายมีการเล่นน้ำสงกรานต์กันไปแล้ว ในช่วงค่ำของวันเดียวกันวารีได้มีการจัดเลี้ยงอาหารให้กับพนักงานของเธอ และการร้องเพลงบนเวทียังมีอยู่ ค่ำคืนนี้พนักงานทุกคนต่างสนุกสนานและได้ปลดปล่อยตัวเองกันอย่างเต็มที่ ส่วนวารีและมุกดาปลีกตัวมานั่งคุยกันตรงระเบียงหลังบ้านที่ยื่นออกไปในทะเล คืนนี้ดวงจันทร์ส่องสว่างนวลสวย แสงตกกระทบกับผิวน้ำยามค่ำคืนทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกกว่าทุกคืน “แล้วน้องรู้รึเปล่าว่าที่ผ่านมาลูกจันทร์ก็เล่าเรื่องน้องให้พี่ฟังเหมือนกัน” วารีหันมองคนข้าง ๆ แล้วยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ “จริงเหรอคะ นี่แปลว่าลูกจันทร์เก็บความลับของเราสองคนไว้ตลอดเหรอเนี่ย” มุกดาส่ายหน้าเล็กน้อยกับความทะเล้นของน้องสาว “พี่ดีใจนะที่ได้รับรู้เรื่องของน้องบ้าง ถึงแม้จะไม่มาก แต่รู้ว่ายังสบายดีพี่ก็โอเค” “โอเคจริงเหรอคะ ไม่ใช่ว่าพี่วาเกลียดน้องไปแล้วเหรอ”
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่
บรรยากาศรอบ ๆ บ้านไม้สองชั้นของมุกดาในเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม่ลี แม่แวว วารี มุกดา และลูกจันทร์ ทั้งห้าคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่หน้าบ้าน นับตั้งแต่มุกดากลับมาอยู่บ้าน อาการป่วยของแม่ลีก็ดูจะดีขึ้นมาก ยิ่งในวันนี้ใบหน้าของคนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันคงแทบไม่รู้เลยว่าแม่ลีกำลังป่วย เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เรื่องของการหมั้นหมายและการแต่งงานคือหัวข้อสำคัญในการคุยกันในเย็นนี้ ทว่าคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครคือลูกจันทร์ เพราะเธอคือคนที่รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่มาโดยตลอด ยิ่งได้รู้ว่าพี่สาวที่ตัวเองรักทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ความอิ่มอกอิ่มใจมันเอ่อล้นภายในใจจนแสดงออกมาผ่านสายตาเปล่งประกาย “ค่าสินสอด ค่าเลี้ยงดูน่ะ เรียกมาเถอะลี ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันกับลูกตั้งใจเต็มที่กับงานนี้ ยังไงก็ไม่ให้น้อยหน้าหรอก” แม่แววหันไปคุยกับแม่ลี เพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต แน่นอนว่าทั้งคู่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกสาวของตนปรองดองกัน “โอ้ย ฉ
“มันจะเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของน้อง เป็นความสบายใจของน้อง เป็นความสุข และเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องยิ้มได้ พี่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้เลยนะ หลังจากนี้ไป ให้พี่ดูแลนะ ให้พี่ได้มีโอกาสแก้ไขเรื่องที่ผ่านมา ความเข้าใจผิดในทุกอย่าง เราสองคนมาปลูกต้นรักกันใหม่ มาสร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะ” ทุกคำพูดของวารีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เธอมองหน้ามุกดาตลอดเวลาที่พูด สายตาที่มองคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ขอบคุณนะคะพี่วา สำหรับทุกอย่างที่คิดจะทำ จริง ๆ น้องเองก็เป็นฝ่ายผิดเหมือนกันที่ไม่เคยรับฟังพี่เลย เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองจนลืมไปว่าพี่ก็มีความรู้สึก พี่ก็คงเจ็บปวดไม่น้อย งั้นหลังจากนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ น้องสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกัน” “ได้สิคะ เราสองคนเริ่มต้นกันใหม่ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พี่ง่วงแล้วอะ ไม่รู้แหละคืนนี้น้องต้องให้พี่นอนด้วย” “อะไรกัน จู่ ๆ วนมาเรื่องนี้ได้ยังไง อีกอย่าง ระยะทางแค่สามกิโลมันคงไม่ทำให้พี่ขับรถกลับโดยใช้เวลานานเกินไปหรอกนะคะ กลับไปนอนที่บ้านเลยค่ะ อีกอย่างกลุ่มนักศึกษาก็ยังอยู่ เจ้า
วารีใจแป้วไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของมุกดาที่ส่งกลับมาแบบนั้น แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ แปลว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองบางอย่าง “คืนนี้ขอนอนด้วยนะคะ” วารีถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ไม่ค่ะ บ้านตัวเองก็มี โฮมสเตย์ก็มีตั้งหลายห้อง เลือกเอาสักห้องสิคะอยากนอนห้องไหน” “คืนนี้โฮมสเตย์เต็มทุกห้องค่ะ ให้พี่นอนด้วยนะคะ” “ไม่ค่ะ พี่วากลับไปเลย ไม่แน่ตอนนี้อาจจะมีคนรอพี่อยู่ก็ได้นะคะ” “น้องหมายถึงใคร พี่ไม่เข้าใจ” วารีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็ใครกันล่ะที่เข้ามาใกล้ชิดพี่จนวันนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลย ใครล่ะที่พี่คุยด้วยกระหนุงกระหนิง หน้าชื่นตาบานขนาดนั้น ใครกันที่มองพี่ซะสายตาหวานหยดย้อยอย่างกับอยากจะกลืนกินซะเหลือเกิน เห็นแล้วมันน่าโมโหชะมัด” วารีเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อมุกดาบอกถึงการกระทำของบุคคลที่ว่าอย่างละเอียดยิบ และวันนี้ทั้งวันก็มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ “พี่เข้าใจแล้วค่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย น้องก็รู้ว่าเวลามีคนมาดูงานที่ฟาร์ม พี่ทั้งตื่นเต้นแล้วก็ดีใจ อย