ก่อนกลับไปฟาร์ม วารีไม่ลืมเข้าบ้านไปทักทายผู้หญิงอีกคนที่รักและเคารพไม่แพ้แม่ตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอกำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี
แม่มาลี หรือแม่ลีที่เธอรู้จัก วันนี้ดูอิดโรยกว่าทุกวัน ทว่าสายตาที่มองวารียังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นเสมอ
“วา แม่นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก มุกบอกแค่ว่าหนูมาส่งแล้วก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ แม่เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ”
วารียกมือไหว้คนอาวุโสแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเผชิญโรคร้ายทำให้วารียิ่งรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก
ทั้งที่เธออยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไรเลย
“วานั่งคุยกับจันทร์อยู่ตรงข้างบ้านค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เดินเข้าบ้านมากับน้อง แล้วนี่แม่ดูอะไรอยู่คะ กินข้าวรึยัง นมบำรุงกระดูกที่วาซื้อมาให้ครั้งก่อนหมดรึยังเนี่ย แม่อยากได้อะไรอีกมั้ย พรุ่งนี้วาจะซื้อมาให้”
วารีเอื้อมมือไปจับมือของแม่ลีแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ บนหลังมืออีกฝ่าย เธอตั้งใจส่งผ่านกำลังใจดี ๆ ไปพร้อมกับสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด
“ไม่ต้องซื้ออะไรมาหรอกลูก ทั้งขนมทั้งนมที่นี่มีเยอะแยะเลย ลูกจันทร์บ่นว่ากินไม่ทันแล้ว”
“ค่ะแม่ งั้นถ้าแม่อยากได้อะไร หรืออยากจะไปไหน หรือถ้ามีอะไรให้วาช่วย แม่บอกวาได้เลยนะคะ วาเต็มใจมาก”
สายตาของแม่ลีที่มองวารีเต็มไปด้วยความอบอุ่น มือของทั้งคู่ที่กุมมือกันจับกันแน่นขึ้น แม่ลีบีบมือวารีเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบา
“วา แม่มีเรื่องอยากจะขอสักเรื่องได้มั้ยลูก”
วารีขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ก็พยักหน้าตอบรับโดยไม่ต้องคิดให้นาน แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าคำขอของอีกฝ่ายคือเรื่องอะไร
“ถ้าเกิดวันนึงแม่ไม่อยู่แล้ว แม่ฝากน้องด้วยนะลูก วาอย่าทิ้งน้องนะ” ประโยคที่ส่งมาพร้อมกับน้ำเสียงบางเบาทำเอาหัวใจของวารีวูบไหว
อย่าทิ้งน้องงั้นเหรอ ที่ผ่านมาตั้งแต่ที่มุกดาลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ ไม่มีสักวินาทีที่คนอย่างวารีคิดจะทิ้งอีกฝ่าย แต่กลับเป็นลูกสาวของแม่ลีต่างหากที่เป็นคนทิ้งเธอไป ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา วารีก็ยิ่งเจ็บปวด
และความเจ็บนี้ก็มีแค่เธอคนเดียวที่รับรู้อยู่กับตัวเองมาโดยตลอด แม้แต่คนที่สร้างบาดแผลไว้ก็คงไม่รู้ตัวเลย
วารีสบสายตากับผู้หญิงตรงหน้า ค่อย ๆ คลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบรับในคำขอนั้น
“ค่ะแม่ วาสัญญาว่าจะไม่ทิ้งน้อง แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ”
คนอาวุโสยิ้มกว้างได้มากกว่าเดิม เธอพยักหน้าแทนคำขอบคุณพร้อมกับดวงตาที่รื้นไปด้วยหยดน้ำใส ๆ
วารีนั่งคุยกับแม่ของมุกดาไม่นานก็ขอตัวกลับเพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว ลูกจันทร์เป็นคนเดินไปส่งที่รถพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วที่เอ่ยไปตลอดทาง
“พี่วา อีกไม่นานหนูจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพแล้วนะ หนูอยากไปเป็นสาวเมืองกรุง พี่ไม่ต้องคิดถึงกันมากนะ ยังไงก็อย่าลืมแม่กับพี่มุกล่ะ ฝากสองคนนั้นด้วย โดยเฉพาะพี่มุกน่ะ กลับมาบ้านครั้งนี้ดูเหม่อ ๆ เงียบ ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่เห็นบ่นเก่งเหมือนเมื่อก่อนเลย”
วารีหันมามองหน้าคนพูดพร้อมกับที่ในหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อันที่จริงไม่ใช่แค่ลูกจันทร์หรอกที่เห็นความผิดปกตินี้ เธอเองก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่ามุกดาดูนิ่งขึ้น พูดน้อยกว่าแต่ก่อน ทั้งที่อีกฝ่ายเคยเป็นคนสดใสและยิ้มเก่ง
“ไม่ต้องห่วงคนอื่นหรอก เรื่องตัวเองน่ะไปถึงไหนแล้ว นี่จะไปเรียนต่อแล้วได้ที่เรียนแล้วเหรอ เรื่องที่พักอีกล่ะ หาไว้รึยัง”
“โอ้ย หนูจัดการเรียบร้อยแล้ว พี่วาจะเป็นแม่อีกคนรึไงเนี่ย”
ลูกจันทร์หันมามองค้อน แถมยังถอนหายใจอีกต่างหาก สีหน้าของเธอราวกับเอือมระอาคนที่เป็นเหมือนพี่สาวอีกคนซะเหลือเกิน
“ไม่ได้เป็นแม่ แต่เป็นพี่แกไง แล้วก็เป็นห่วงด้วย แล้วที่ว่าจัดการเรียบร้อยแล้วน่ะยังไง หื้ม”
“หนูได้ทุนของมูลนิธิพาขวัญน่ะพี่วา ที่นี่เค้ามีทุนให้นักเรียนม.หกทุกปี แต่มีข้อแม้ว่าเรียนจบแล้วต้องไปทำงานให้ธุรกิจในเครือของเค้า จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ทุนที่ให้มาเฉย ๆ หรอก แต่ก็มีงานรองรับ ดีจะตายเรียนจบแล้วมีงานทำเลย ส่วนเรื่องที่พัก ทางมูลนิธิก็เป็นคนจัดการให้ ได้ข่าวว่าคนก่อตั้งใจดีมาก ๆ เลยนะพี่วา ไม่ต้องห่วงหนูหรอก”
“ฟังดูยุ่งยากจะตาย ดีตรงไหน ทำไมไม่บอกพี่เรื่องนี้ พี่จะได้ให้เงิน แกก็รู้ว่าพี่ให้ได้อยู่แล้ว”
ลูกจันทร์กลอกตามองบนไปหนึ่งทีเมื่ออีกฝ่ายพูดเรื่องนี้
“รู้ค่ะว่าให้ได้ รู้ว่าพี่น่ะรวยแล้วก็ใช้เงินเก่ง แต่ที่ผ่านมาพี่ก็ช่วยบ้านเรามาเยอะแล้ว หนูไม่อยากรบกวน อันไหนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ก็ขอทำเองเถอะ”
“หึ ความลับเยอะนักนะ พี่อยู่ใกล้แท้ ๆ กลับไม่รู้เรื่องนี้เลย นี่ถ้ามุกไม่บอกพี่ก็ไม่รู้”
“โอ้ย พอเลย ๆ ไม่พูดเรื่องจันทร์แล้ว เอาเรื่องพวกพี่สองคนดีกว่า ตกลงยังไงเนี่ย กลับมาคุยดีกันได้รึยัง ถามกันไปถามกันมา ใช้หนูเป็นตัวกลางอยู่ได้ บอกไว้เลยนะ ถ้าหนูไปเรียนมหาลัยแล้วอะ หนูจะไม่เป็นตัวกลางให้ใครอีกแล้ว จะไม่รับรู้เรื่องของใครด้วย พวกพี่ต้องคุยกันเอง เข้าใจรึเปล่า”
ความเงียบเกิดขึ้นในทันทีเมื่อวารีรู้แบบนั้น จนถึงตอนนี้เธอยังคิดไม่ออกเลยว่า หากวันหนึ่งทั้งคู่ต้องหันหน้าคุยกันแบบจริงจัง แบบที่ไม่ต่อล้อต่อเถียงกันเหมือนตอนนี้ ความรู้สึกตอนนั้นจะเป็นยังไง จะมีใครกล้าพูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองรึเปล่า
“ไม่เข้าใจ และไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนละกัน”
ทั้งคู่เดินมาถึงรถกระบะสี่ประตูที่จอดอยู่หน้าบ้าน เจ้าของรถเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับเพื่อจะกลับบ้าน ลูกจันทร์ส่งยิ้มให้ ยกมือโบกให้เล็กน้อย เมื่อเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้นและรถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว เธอก็เดินไปปิดประตูรั้วแล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
โดยที่ไม่รู้เลยว่า ตรงหน้าต่างชั้นสองของบ้าน มีมุกดายืนมองการกระทำของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเธอเห็นทุกอย่าง เพียงแค่ไม่รับรู้ว่าผู้หญิงสองคนนั้นพูดคุยอะไรกันบ้าง
...
วารีกลับมาถึงฟาร์มโดยที่ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้านเธอก็เอาแต่คิดถึงเรื่องอะไรต่ออะไรเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ทุกเรื่องที่ว่าน่ะ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับมุกดาทั้งหมด
ทั้งเรื่องวัยเยาว์ เรื่องที่ทั้งคู่ห่างหายกันไป ไหนจะบรรยากาศเมื่อค่ำที่ได้กลับไปกินร้านประจำด้วยกัน เรื่องที่แม่ของมุกดาฝากลูกสาวตัวเองไว้กับเธอ หรือแม้แต่เรื่องที่มุกดาคอยถามไถ่เรื่องของเธอจากลูกจันทร์อยู่บ่อย ๆ
ทุกเรื่องราวสร้างความวุ่นวายใจให้กับวารีเป็นอย่างมาก ทั้งที่เคยคิดว่าจะไม่สนใจและไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้อีก
แต่ความจริงทุกอย่างกำลังบอกเธออยู่ตรงหน้าว่า จิตใต้สำนึกของเธอตลอดเวลาที่ผ่านมามันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
คำว่ารักยังคงอยู่..และมีอยู่เสมอมา
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่