“ว่าไงนะคะ พูดอีกที มุกคงหูฝาดไปแน่ ๆ” มุกดาถามย้ำทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำจากอีกฝ่าย
“จะสองทุ่มแล้วพี่ไปส่ง ทางมันเปลี่ยว ส่วนรถจอดไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ให้ลูกจันทร์มาส่งสิ”
“เอางั้นเหรอคะ มุกไม่ได้รบกวนพี่ใช่ไหม เดี๋ยวก็มีคนแถวนี้บ่นอีกว่ามุกจุ้นจ้าน ยุ่งยาก น่ารำคาญ บลา ๆ”
“หึ จริง ๆ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ อีกอย่างถ้าแม่รู้ว่ามืดขนาดนี้แล้วพี่ปล่อยให้มุกกลับคนเดียว แม่ได้มาว่าพี่อีก ขึ้นแท่นลูกรักไปแล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ”
วารีเดินนำไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ตรงโรงรถซึ่งมีหลายคันให้เลือกใช้ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ เธอเดินไปหยุดหน้ารถกระบะสี่ประตูสีดำแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับเข้าไปนั่งทันที
มุกดาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับเข้ามานั่งในรถอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นวารีก็เคลื่อนรถออกไปจากฟาร์ม
กลิ่นสเปรย์ปรับอากาศในรถบวกกับแอร์เย็นฉ่ำ และเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ ทำให้มุกดารู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในวันนี้ได้นิดหน่อย ทั้งคู่นั่งเงียบกันมานาน จนกระทั่งวารีขับรถผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง
“เห้ย นั่นร้านลุงเจตหนิ” มุกดาตะโกนลั่น ชี้นิ้วผ่านกระจกใสไปยังร้านอาหารข้างทางร้านหนึ่ง
ขณะเดียวกัน วารีก็รีบชะลอรถทันทีเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของคนที่นั่งมาด้วยกัน
“อยากกินเหรอ” วารีหันมาถาม
“อยากกิน ๆ โห มุกคิดว่าลุงปิดร้านไปแล้วนะเนี่ย ตอนนั้นที่เรามากินโรตีด้วยกัน เรายังเด็กกันมากเลยเนอะ”
วารีนึกย้อนถึงภาพความหลังไปพร้อมกันแล้วเผลอยิ้มออกมา
“อืม ก็กินตั้งแต่รุ่นพ่อหนิ แต่ตอนนี้คนขายไม่ใช่ลุงเจตแล้วนะ เป็นลูกชายลุงมาขายแทน แต่ยังใช้ชื่อร้านลุงเจตเหมือนเดิม”
“อ้าว แล้วลุงเจตไปไหนล่ะคะ ทำไมถึงให้ลูกมาขายแทน แล้วแบบนี้รสชาติจะเหมือนเดิมรึเปล่า”
วารีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของมุกดา “ลุงเจตเสียแล้วนะ หลายปีแล้ว มุกไม่ได้กลับมาบ้านเป็นสิบปี ลุงเค้าไม่รอหรอก”
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศในรถอีกครั้ง เมื่อรู้แบบนี้มุกดาถึงตระหนักได้ว่าเธอหลงลืมบางอย่างไว้ข้างหลังจริง ๆ ทั้งสถานที่ ผู้คน และความทรงจำดี ๆ ที่นี่อีกมากมาย
“เราไปย้อนความทรงจำกันหน่อยมั้ยคะ มุกคิดถึงอาหารร้านนี้จัง”
“อื้ม ไปสิ” วารีพยักหน้าแล้วหาที่จอดรถโดยไม่ลังเล
ร้านลุงเจตเป็นร้านอาหารเปิดกลางคืน ตั้งอยู่ใกล้ฟาร์มหอยมุกของวารี บรรยากาศกึ่งชุมชนกึ่งท้องถิ่น มีความอบอุ่น เป็นกันเอง และกลายเป็นแหล่งรวมตัวของชาวบ้าน และคนจากฟาร์มหลังเลิกงาน
ที่นี่มีครบทั้งของคาวของหวานแนวกลางคืน เมนูง่าย ๆ กินดึกได้ อย่างเช่นเมนูโรตีประเภทต่าง ๆ ข้าวไข่เจียวหมึกแดดเดียวซึ่งใช้หมึกที่ชาวบ้านตากเอง มาม่าต้มยำทะเลหม้อไฟ เครื่องแน่นแซ่บถึงเครื่องเหมือนยกทะเลมาไว้ในชามนี้ และขายดีที่สุดคือ ซุปเปอร์ตีนไก่มะนาวดอง เปรี้ยวจี๊ด ร้อน ๆ ซดคล่องคอ
นอกจากนี้ยังมีเมนูกินเล่นอีกหลายเมนู ทั้งประเภทขนมปังปิ้ง เบอร์เกอร์เมนูแปลก ๆ ชาชักสูตรเข้มข้น และเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์และขายดีที่สุดคือ เบอร์เกอร์ปลาทูย่างซอสซีฟู้ด ซึ่งเป็นเมนูโปรดของมุกดา
“พี่วากินอะไรคะ เดี๋ยวมุกจดให้”
มุกดาเอ่ยถามโดยที่ในมือจับปากกาหมายมั่น เธอเขียนเมนูของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นเบอร์เกอร์ปลาทูและชาชักเข้มข้นของโปรด
ส่วนของวารีนั้น..
“เอาเหมือนกัน พี่ขี้เกียจคิด”
“อ้าวพี่วา อะไรเนี่ย มากินเหมือนกันทำไม พี่ไม่ชอบกินเบอร์เกอร์หนิ”
“สั่ง ๆ มาเถอะ”
มุกดาเปิดหน้าเมนูอีกครั้ง สายตากวาดมองหาบางเมนู ไล่เรียงทุกชื่อเมนูอย่างตั้งใจ แล้วก็เจอกับอาหารที่ตามหา
“ข้าวต้มแห้งทะเลรวมมิตร กับห่อหมกทะเลในลูกมะพร้าว ของพี่วาต้องสองเมนูนี้ ตอนนั้นอะ มุกจำได้เลยว่าขอชิมห่อหมกของพี่ แล้วมันเผ็ดมากเพราะพี่ไม่ยอมบอกว่ามันเผ็ดอะ ตอนนั้นนะมุกหน้าแดงมากเลย แล้วพี่ก็เอาแต่หัวเราะ บ้ามาก”
มุกดาพูดพลางจดรายการเมนูลงในใบกระดาษสีขาว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาของคนตรงหน้ากำลังจ้องมองเธออยู่
“ทำไมถึงยังจำได้ว่าพี่ชอบอะไร”
“อืม ไม่รู้สิ มันติดอยู่ในหัวอะ” มุกดาตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย
หลังจากสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ระหว่างนั่งรออาหารก็เกิดบทสนทนาเล็กน้อย ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ มีโต๊ะกลมหลายโต๊ะวางอยู่บนพื้นหญ้า และแสงไฟสีส้มที่ติดอยู่ตามต้นไม้รอบ ๆ
“พรุ่งนี้พี่วาพามุกไปห้างสรรพสินค้าหน่อยได้มั้ยคะ มุกอยากไปซื้อของ”
“ห้างในตัวเมืองอะนะ?” วารีขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ใช่ค่ะ รับรองว่าไปไม่นาน แต่ถ้าพี่ติดงานอะไรก็ไม่เป็นไรนะคะ ไว้วันหยุดมุกค่อยไปกับลูกจันทร์ก็ได้”
วารีนิ่งเงียบครุ่นคิดชั่วครู่ ระหว่างที่ความเงียบเกิดขึ้น สายตาเว้าวอนของคนตรงหน้าก็ส่งมาตลอดเวลา
“พรุ่งนี้พี่ต้องไปซื้อของในตัวเมืองพอดี งั้นก็ไปพร้อมกัน แต่ต้องมาถึงฟาร์มก่อนแปดโมงนะ ไม่งั้นพี่ไม่รอ”
มุกดายิ้มดีใจเมื่อได้ยินแบบนั้น รีบพยักหน้าตอบรับทันที
“รับทราบค่ะ พรุ่งนี้มุกจะรีบตื่น”
“ว่าแต่จะไปซื้ออะไร”
“บอกไม่ได้ค่ะ ความลับ”
มุกดาแย้มรอยยิ้มเล็กน้อย ทำเอาวารีอดสงสัยไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยมาแบบนั้น แต่เธอก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร อันที่จริงก็ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นหรอก
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ มุกดาก็ยิ้มกว้างในทันที เพราะเมนูโปรดของเธอไม่สามารถหากินที่ไหนได้ มีแค่ที่นี่ที่เดียว ความสุขที่เกิดขึ้นในใจมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกครั้งนี้ อาจจะไม่แย่ขนาดนั้น
อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข หัวใจมันอบอุ่นเมื่อได้กลับบ้าน เหมือนที่นี่คือที่ของเธอจริง ๆ
“ยิ้มอะไร”
วารีเอ่ยถามขณะที่ส่งจานและช้อนให้คนตรงหน้า ซึ่งผ่านการใช้ทิชชูเช็ดทำความสะอาดอีกครั้งด้วยฝีมือของเธอเรียบร้อยแล้ว
“ดีใจจังเลยพี่วา ได้กลับมากินเมนูโปรด ร้านโปรด มีความสุขอะ”
มุกดาขยับจานเบอร์เกอร์เข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ใช้มีดและส้อมหั่นอาหารตรงหน้าเป็นชิ้นพอดีคำแล้วเอาเข้าปาก
วินาทีที่ได้รับสัมผัสรสชาติที่คิดถึง ใบหน้าของเธอก็ถูกแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอม ทำเอาวารีที่ได้เห็นภาพตรงหน้ายิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว
“โห โคตรอร่อย อร่อยเหมือนเดิม สงสัยลุงเจตคายตะขาบไว้ให้ลูกชายแน่ ๆ อร่อยมากเลยพี่วา อร่อยจริง ๆ นะ รสชาติไม่ต่างกับตอนนั้นที่เรามากินด้วยกันเลย”
มากินด้วยกัน วารีทวนคำนี้อยู่ในใจ ในขณะที่คนตรงหน้ายังคงสนใจแค่จานเบอร์เกอร์ของตัวเอง มุกดาคงไม่รู้เลยว่า ค่ำคืนนี้ไม่ใช่แค่เธอที่คิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ แต่วารีเองก็เช่นเดียวกัน
ไม่ใช่คิดถึงธรรมดานะ แต่คิดถึงมากเลยล่ะ
มื้อค่ำวันนี้วารีอาสาเป็นเจ้ามือ ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายอยู่ทำงานให้เธอจนดึก ซึ่งเป็นเหตุผลที่มุกดาค่อนข้างแปลกใจ เพราะเธอหลับไปต่างหาก ถึงได้กลับบ้านซะค่ำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับไป คิดว่าดีซะอีกที่มื้อนี้อิ่มจังตังอยู่ครบ บ้านของมุกดาอยู่ห่างจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร อันที่จริงการที่เธอจะกลับบ้านดึกขนาดไหนก็ดูจะไม่เป็นปัญหา แม้ระหว่างทางจะค่อนข้างเปลี่ยวเพราะไม่มีบ้านคน แต่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่ก็นั่นแหละ วารีก็ยังอาสามาส่งถึงบ้านจนได้ บ้านของมุกดาเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้หลากชนิดไม่ว่าจะเป็นเงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตจากพ่อของเธอที่ปลูกไว้ และถึงแม้พ่อของมุกดาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ต้นไม้พวกนี้ก็ยังผลิดอก ออกผลอยู่ตลอด มีคนงานช่วยดูแลหนึ่งคนชื่อลุงชื่น ทำหน้าที่ใส่ปุ๋ยรดน้ำและเก็บเกี่ยวผลผลิต ขายบ้างแจกบ้างกินเองบ้าง พอเป็นรายได้ส่วนหนึ่งให้ครอบครัว ทันทีที่แสงไฟสว่างวาบจากหน้ารถของวารีส่องกระทบไปยังบ้านไม้ที่อยู่ในสวน คนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านทันที
ก่อนกลับไปฟาร์ม วารีไม่ลืมเข้าบ้านไปทักทายผู้หญิงอีกคนที่รักและเคารพไม่แพ้แม่ตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอกำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี แม่มาลี หรือแม่ลีที่เธอรู้จัก วันนี้ดูอิดโรยกว่าทุกวัน ทว่าสายตาที่มองวารียังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นเสมอ “วา แม่นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก มุกบอกแค่ว่าหนูมาส่งแล้วก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ แม่เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ” วารียกมือไหว้คนอาวุโสแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเผชิญโรคร้ายทำให้วารียิ่งรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธออยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไรเลย “วานั่งคุยกับจันทร์อยู่ตรงข้างบ้านค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เดินเข้าบ้านมากับน้อง แล้วนี่แม่ดูอะไรอยู่คะ กินข้าวรึยัง นมบำรุงกระดูกที่วาซื้อมาให้ครั้งก่อนหมดรึยังเนี่ย แม่อยากได้อะไรอีกมั้ย พรุ่งนี้วาจะซื้อมาให้” วารีเอื้อมมือไปจับมือของแม่ลีแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ บนหลังมืออีกฝ่าย เธอตั้งใจส่งผ่านกำลังใจดี ๆ ไปพร้อมกับสายตาที่แส
ในเวลาช่วงเช้าของวารีฟาร์ม ก่อนแปดโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเข้างาน มักจะมีภาพของชาวบ้านในท้องถิ่นซึ่งทำงานที่นี่ ล้อมวงกันนั่งกินกาแฟและพูดคุยข่าวสารบ้านเมืองกันด้วยเสียงเฮฮา วันนี้มุกดามาถึงฟาร์มเร็วกว่าทุกวันจึงได้เห็นภาพดังกล่าว บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ เสียงหัวเราะ ความเป็นกันเองของคนพื้นถิ่น กลิ่นกาแฟโบราณและขนมที่กินกับกาแฟตอนเช้าคือเอกลักษณ์ของที่นี่ “เอ้า มุก หลบบ้านมาเมื่อใด ลุงไม่เห็นนาน สวยน่าหวางนี้” (อ้าวมุก กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ลุงไม่เจอนาน เดี๋ยวนี้สวยนะ) น้ำเสียงที่เอ่ยทักทายเป็นภาษาใต้ทำให้มุกดารีบหันไปมองต้นเสียงก็เจอเข้ากับลุงมุ้ย ที่ตอนนี้น่าจะเป็นตามุ้ยไปแล้ว ยังคงมองเธอด้วยสายตาอบอุ่น “หวัดดีค่ะลุง นุ้ยเพิ่งหลบมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว หลบมาแลแม่ แกไม่ค่อยบาย” (สวัสดีค่ะลุง หนูเพิ่งกลับมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว กลับมาดูแลแม่ ท่านไม่ค่อยสบาย) มุกดาตอบกลับไปด้วยสำเนียงท้องถิ่นเช่นกัน ทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังวงสนทนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะไม่คิดว่ามุกดาจะยังพูดใต้ได้ วารีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมุกดาใ
“ซื้อของเสร็จรึยังมุก” วารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบึ้งตึง“อ้าวพี่วา มาเร็วจัง” มุกดายกข้อมือดูนาฬิกาก็เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน“อืม พี่ซื้อของเสร็จแล้ว” วารีขยับมายืนข้าง ๆ ในแบบที่ใกล้กว่าเดิม แล้วเอามือแตะ ๆ ข้างเอวของมุกดาอย่างเบามือ เลยทำให้อีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกว่ากำลังถูกแสดงความเป็นเจ้าของทว่าพนักงานขายผู้ชายที่เห็นการกระทำของวารีบวกกับสีหน้าบึ้งตึงของเธอก็พอจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเขารีบปรับสีหน้ามาเป็นปกติ สายตาที่มองมุกดาหวานฉ่ำหายไปในทันที“แล้วนี่มาซื้ออะไร แท็บเล็ตเครื่องใหม่เหรอ เครื่องเก่าไปไหนแล้วล่ะ” วารียังคงมีสีหน้าหงุดหงิดที่แสดงออกชัดเจน“พี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ย หน้าบึ้งเป็นบ้าเลย”“ช่างเหอะ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อ จะได้รีบกลับ งานที่ฟาร์มมีอีกเยอะ”“โอเค ๆ รู้แล้วค่า” มุกดาลากเสียงยาวแล้วหันไปคุยกับพนักงานขาย“งั้นเอาเครื่องนี้ค่ะพี่ เดี๋ยวรูดบัตรได้เลยนะคะ” มุกดาเตรียมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา แต่วารีเร็วกว่าเพราะเธอเตรียมบัตรเครดิตไว้ในมือตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว“รูดกับบัตรใบนี้ค่ะ” เธอยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานและส่งส
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาตีสอง เสียงเครื่องยนต์จากรถกระบะสีดำที่ขับเข้ามาในฟาร์มปลุกมุกดาที่หลับฟุบกับโต๊ะกินข้าวในห้องครัวให้ตื่นขึ้น วารีขับรถเข้ามาจอดในโรงรถด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่ารถเก๋งของมุกดายังจอดอยู่ที่เดิม แต่เพราะอาการมึนเมาเล็กน้อยเธอเลยไม่ได้สนใจนักอีกใจก็แอบคิดว่าตัวเองตาฝาด ไม่อยากเข้าข้างตัวเองให้มากว่าอีกฝ่ายจะอยู่รอเป่าเค้กเป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น วารีเดินเข้ามาในบ้าน รู้สึกคอแห้งจึงก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องครัว ไม่ได้นึกแปลกใจที่ไฟในห้องครัวยังเปิดอยู่ และเมื่อเดินเข้าไป เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ก็ดังขึ้น มุกดาถือเค้กก้อนเล็กไว้ในมือ มูลค่าของเค้กไม่กี่สิบบาท พร้อมกับเทียนเล็ก ๆ หนึ่งเล่ม แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้วารีสร่างเมาในทันที เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงวันเกิดร้องจบไปตั้งแต่ตอนไหน เพราะสายตาเอาแต่มองภาพตรงหน้า แล้วก็รู้สึกเหมือนหูดับไปซะอย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อจากมุกดาซ้ำ ๆ นั่นแหละถึงได้มีสติหลุดจากภวังค์ “เป่าเทียนได้แล้วค่ะพี่วา อย่าลืมอธิษฐานก่อนนะ” วารีพยักหน้า หลับตาล
“ขี้โกง นี่พี่ไม่ได้หลับเหรอ” คนในอ้อมกอดยังคงพยายามดิ้นไปดิ้นมา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ดูจะสู้อ้อมแขนแข็งแกร่งของวารีไม่ได้เลย ต่อให้พยายามจะเอาตัวเองออกมาจากพันธนาการนั้นแต่ก็แสนจะยากเย็น “ถ้าหลับแล้วจะเห็นเหรอว่ามีคนแอบมองพี่น่ะ หื้ม” วารีก้มลงมองใบหน้าคนในอ้อมกอด พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นดังมากขึ้นเรื่อย ๆนี่เป็นอ้อมกอดแรกในรอบกี่สิบปีไม่รู้นับตั้งแต่ทั้งคู่แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง และการวนกลับมาเจอกันครั้งนี้ก็เหมือนพัดพาเอาความรู้สึกเก่า ๆ กลับมาด้วยเช่นกันจากที่เคยคิดว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ความรู้สึกวูบไหวตรงหน้าอกข้างซ้ายกำลังบอกความจริงบางอย่างกับเธอ“ใครแอบมอง มุกไม่ได้แอบสักหน่อย”“ยังจะปากแข็งอีกนะ พี่ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”“ก็พี่วาเมา แล้วก็เป็นฝ่ายขอร้องให้มุกอยู่ด้วย มุกก็ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าพี่โอเคขึ้นแล้วจริง ๆ”“เป็นห่วงพูดแบบนี้ค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม ไหนลองพูด”“ไม่พูด! เพราะไม่ได้เป็นห่วง ไม่เลยสักนิด”“อ้อเหรอ แต่ก็ยอมอยู่กับพี่หนิ”“งั้นกลับก็ได้!”มุกดาพยายามเอาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของวารีอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผล ดูเหมือนว่าอีกฝ่
“มุก มาแนะนำตัวกับชาวบ้านหน่อยสิ”วารีเอ่ยเรียกคนที่เธอรู้จักดี มุกดาเมื่อได้ยินชื่อตัวเองก็ลุกจากเก้าอี้มายืนต่อหน้าชาวบ้านเคียงข้างวารีมุกดาเริ่มแนะนำตัวท่ามกลางเสียงปรบมือ แม้ว่าเธอจะเป็นคนในท้องถิ่นเช่นกัน แต่เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้าน ชาวบ้านบางคนก็ไม่ได้รู้จักเธอว่าเป็นใครมาจากไหน บางคนก็หลงลืมไปแล้วว่าเธอเป็นลูกสาวของแม่ลี เมื่อมีการแนะนำตัว จึงได้ทำให้หลายคนรู้จักเธอเพิ่มขึ้นมุกดาพูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง และบอกว่าตัวเองเคยทำงานเป็นนักอนุรักษ์ เธอเข้าใจชาวบ้าน เข้าใจวิถีชีวิตของคนในชุมชน หลายคนก็ดีใจที่มุกดากลับมาและจะมาช่วยพัฒนาชุมชนให้ดียิ่งขึ้นไปจนกระทั่งมุกดาพูดจบ กำนันโต้งก็เอ่ยขึ้นทันที“ทั้งเก่งทั้งสวยขนาดนี้ ไม่น่าจะมาทำงานที่ฟาร์มวารีนะครับ ไปทำงานเป็นผู้ช่วยกำนันดีกว่า งานสบาย เงินเดือนดี สนใจมั้ยครับคุณมุกดา”กำนันโต้งแสดงออกชัดเจนถึงจุดประสงค์ของเขา อีกทั้งสายตาที่มองมุกดาตลอดเวลาก็เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ วารีเห็นแบบนั้นจึงขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วเอื้อมมือไปกอบกุมเอวบางคนข้างกายเอาไว้มุกดาหันไปมองค้อนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนข้าง ๆ กอดเอวเธอท่ามกลางสายตาหลายคู่
“พี่วา! ปล่อยมุกนะ พี่จะทำอะไรเนี่ย” มุกดาหันไปมองค้อนคนที่ลากเธอออกมาด้วยสายตาขุ่นเคือง วารีไม่ตอบแต่ถอดเสื้อยีนสีเข้มของเธอสวมใส่ให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวเองก็ใส่เพียงเสื้อยืดสีดำขนาดพอดีตัว “พี่ไม่ได้จะห้าม แต่ถ้าจะเล่น ต้องมีพี่อยู่ด้วย แล้วชุดที่ใส่น่ะ โป๊มาก ก่อนจะใส่ได้ดูกระจกรึเปล่า แล้วทำผมทรงอะไร ถักเปียสองข้างเหมือนเด็กอนุบาล แต่งตัวไม่ได้เรื่องเลย” วารีบ่นยืดยาว สายตามองมุกดาตั้งแต่หัวจรดเท้า และที่บ่นไปยังไม่นับกางเกงยีนขาสั้นสีซีดที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่อีก “พี่เป็นบ้าปะ ถ้าจะบ่นขนาดนี้ก็กลับไปเลย ไม่ต้องมาอยู่ใกล้ มุกไม่ชอบคนขี้บ่น แล้วก็เอาเสื้อพี่กลับไปด้วย” มุกดาเตรียมจะถอดเสื้อยีนของอีกฝ่ายออกจากตัว แต่วารีรีบเอ่ยห้าม “ห้ามถอดเด็ดขาด ใส่ไว้แบบนั้นแหละ” พูดจบวารีก็จับมืออีกฝ่ายพาเดินกลับเข้าไปยังพื้นที่ปาร์ตี้โฟมอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้ข้างกายของมุกดามีวารีคอยเดินประกบไม่ห่าง เลยกลายเป็นว่า นอกจากลูกจันทร์แล้ว แทบไม่มีใครกล้าเข้ามาประแป้งมุกดา โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ทั้งหลายที่เห็นสายตาของวารีก็ถอยห่างกันไปหมด ท
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่
บรรยากาศรอบ ๆ บ้านไม้สองชั้นของมุกดาในเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม่ลี แม่แวว วารี มุกดา และลูกจันทร์ ทั้งห้าคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่หน้าบ้าน นับตั้งแต่มุกดากลับมาอยู่บ้าน อาการป่วยของแม่ลีก็ดูจะดีขึ้นมาก ยิ่งในวันนี้ใบหน้าของคนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันคงแทบไม่รู้เลยว่าแม่ลีกำลังป่วย เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เรื่องของการหมั้นหมายและการแต่งงานคือหัวข้อสำคัญในการคุยกันในเย็นนี้ ทว่าคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครคือลูกจันทร์ เพราะเธอคือคนที่รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่มาโดยตลอด ยิ่งได้รู้ว่าพี่สาวที่ตัวเองรักทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ความอิ่มอกอิ่มใจมันเอ่อล้นภายในใจจนแสดงออกมาผ่านสายตาเปล่งประกาย “ค่าสินสอด ค่าเลี้ยงดูน่ะ เรียกมาเถอะลี ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันกับลูกตั้งใจเต็มที่กับงานนี้ ยังไงก็ไม่ให้น้อยหน้าหรอก” แม่แววหันไปคุยกับแม่ลี เพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต แน่นอนว่าทั้งคู่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกสาวของตนปรองดองกัน “โอ้ย ฉ
“มันจะเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของน้อง เป็นความสบายใจของน้อง เป็นความสุข และเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องยิ้มได้ พี่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้เลยนะ หลังจากนี้ไป ให้พี่ดูแลนะ ให้พี่ได้มีโอกาสแก้ไขเรื่องที่ผ่านมา ความเข้าใจผิดในทุกอย่าง เราสองคนมาปลูกต้นรักกันใหม่ มาสร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะ” ทุกคำพูดของวารีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เธอมองหน้ามุกดาตลอดเวลาที่พูด สายตาที่มองคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ขอบคุณนะคะพี่วา สำหรับทุกอย่างที่คิดจะทำ จริง ๆ น้องเองก็เป็นฝ่ายผิดเหมือนกันที่ไม่เคยรับฟังพี่เลย เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองจนลืมไปว่าพี่ก็มีความรู้สึก พี่ก็คงเจ็บปวดไม่น้อย งั้นหลังจากนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ น้องสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกัน” “ได้สิคะ เราสองคนเริ่มต้นกันใหม่ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พี่ง่วงแล้วอะ ไม่รู้แหละคืนนี้น้องต้องให้พี่นอนด้วย” “อะไรกัน จู่ ๆ วนมาเรื่องนี้ได้ยังไง อีกอย่าง ระยะทางแค่สามกิโลมันคงไม่ทำให้พี่ขับรถกลับโดยใช้เวลานานเกินไปหรอกนะคะ กลับไปนอนที่บ้านเลยค่ะ อีกอย่างกลุ่มนักศึกษาก็ยังอยู่ เจ้า
วารีใจแป้วไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของมุกดาที่ส่งกลับมาแบบนั้น แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ แปลว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองบางอย่าง “คืนนี้ขอนอนด้วยนะคะ” วารีถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ไม่ค่ะ บ้านตัวเองก็มี โฮมสเตย์ก็มีตั้งหลายห้อง เลือกเอาสักห้องสิคะอยากนอนห้องไหน” “คืนนี้โฮมสเตย์เต็มทุกห้องค่ะ ให้พี่นอนด้วยนะคะ” “ไม่ค่ะ พี่วากลับไปเลย ไม่แน่ตอนนี้อาจจะมีคนรอพี่อยู่ก็ได้นะคะ” “น้องหมายถึงใคร พี่ไม่เข้าใจ” วารีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็ใครกันล่ะที่เข้ามาใกล้ชิดพี่จนวันนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลย ใครล่ะที่พี่คุยด้วยกระหนุงกระหนิง หน้าชื่นตาบานขนาดนั้น ใครกันที่มองพี่ซะสายตาหวานหยดย้อยอย่างกับอยากจะกลืนกินซะเหลือเกิน เห็นแล้วมันน่าโมโหชะมัด” วารีเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อมุกดาบอกถึงการกระทำของบุคคลที่ว่าอย่างละเอียดยิบ และวันนี้ทั้งวันก็มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ “พี่เข้าใจแล้วค่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย น้องก็รู้ว่าเวลามีคนมาดูงานที่ฟาร์ม พี่ทั้งตื่นเต้นแล้วก็ดีใจ อย