“ว่าไงนะคะ พูดอีกที มุกคงหูฝาดไปแน่ ๆ” มุกดาถามย้ำทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำจากอีกฝ่าย
“จะสองทุ่มแล้วพี่ไปส่ง ทางมันเปลี่ยว ส่วนรถจอดไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ให้ลูกจันทร์มาส่งสิ”
“เอางั้นเหรอคะ มุกไม่ได้รบกวนพี่ใช่ไหม เดี๋ยวก็มีคนแถวนี้บ่นอีกว่ามุกจุ้นจ้าน ยุ่งยาก น่ารำคาญ บลา ๆ”
“หึ จริง ๆ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ อีกอย่างถ้าแม่รู้ว่ามืดขนาดนี้แล้วพี่ปล่อยให้มุกกลับคนเดียว แม่ได้มาว่าพี่อีก ขึ้นแท่นลูกรักไปแล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ”
วารีเดินนำไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ตรงโรงรถซึ่งมีหลายคันให้เลือกใช้ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ เธอเดินไปหยุดหน้ารถกระบะสี่ประตูสีดำแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับเข้าไปนั่งทันที
มุกดาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับเข้ามานั่งในรถอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นวารีก็เคลื่อนรถออกไปจากฟาร์ม
กลิ่นสเปรย์ปรับอากาศในรถบวกกับแอร์เย็นฉ่ำ และเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ ทำให้มุกดารู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในวันนี้ได้นิดหน่อย ทั้งคู่นั่งเงียบกันมานาน จนกระทั่งวารีขับรถผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง
“เห้ย นั่นร้านลุงเจตหนิ” มุกดาตะโกนลั่น ชี้นิ้วผ่านกระจกใสไปยังร้านอาหารข้างทางร้านหนึ่ง
ขณะเดียวกัน วารีก็รีบชะลอรถทันทีเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของคนที่นั่งมาด้วยกัน
“อยากกินเหรอ” วารีหันมาถาม
“อยากกิน ๆ โห มุกคิดว่าลุงปิดร้านไปแล้วนะเนี่ย ตอนนั้นที่เรามากินโรตีด้วยกัน เรายังเด็กกันมากเลยเนอะ”
วารีนึกย้อนถึงภาพความหลังไปพร้อมกันแล้วเผลอยิ้มออกมา
“อืม ก็กินตั้งแต่รุ่นพ่อหนิ แต่ตอนนี้คนขายไม่ใช่ลุงเจตแล้วนะ เป็นลูกชายลุงมาขายแทน แต่ยังใช้ชื่อร้านลุงเจตเหมือนเดิม”
“อ้าว แล้วลุงเจตไปไหนล่ะคะ ทำไมถึงให้ลูกมาขายแทน แล้วแบบนี้รสชาติจะเหมือนเดิมรึเปล่า”
วารีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของมุกดา “ลุงเจตเสียแล้วนะ หลายปีแล้ว มุกไม่ได้กลับมาบ้านเป็นสิบปี ลุงเค้าไม่รอหรอก”
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศในรถอีกครั้ง เมื่อรู้แบบนี้มุกดาถึงตระหนักได้ว่าเธอหลงลืมบางอย่างไว้ข้างหลังจริง ๆ ทั้งสถานที่ ผู้คน และความทรงจำดี ๆ ที่นี่อีกมากมาย
“เราไปย้อนความทรงจำกันหน่อยมั้ยคะ มุกคิดถึงอาหารร้านนี้จัง”
“อื้ม ไปสิ” วารีพยักหน้าแล้วหาที่จอดรถโดยไม่ลังเล
ร้านลุงเจตเป็นร้านอาหารเปิดกลางคืน ตั้งอยู่ใกล้ฟาร์มหอยมุกของวารี บรรยากาศกึ่งชุมชนกึ่งท้องถิ่น มีความอบอุ่น เป็นกันเอง และกลายเป็นแหล่งรวมตัวของชาวบ้าน และคนจากฟาร์มหลังเลิกงาน
ที่นี่มีครบทั้งของคาวของหวานแนวกลางคืน เมนูง่าย ๆ กินดึกได้ อย่างเช่นเมนูโรตีประเภทต่าง ๆ ข้าวไข่เจียวหมึกแดดเดียวซึ่งใช้หมึกที่ชาวบ้านตากเอง มาม่าต้มยำทะเลหม้อไฟ เครื่องแน่นแซ่บถึงเครื่องเหมือนยกทะเลมาไว้ในชามนี้ และขายดีที่สุดคือ ซุปเปอร์ตีนไก่มะนาวดอง เปรี้ยวจี๊ด ร้อน ๆ ซดคล่องคอ
นอกจากนี้ยังมีเมนูกินเล่นอีกหลายเมนู ทั้งประเภทขนมปังปิ้ง เบอร์เกอร์เมนูแปลก ๆ ชาชักสูตรเข้มข้น และเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์และขายดีที่สุดคือ เบอร์เกอร์ปลาทูย่างซอสซีฟู้ด ซึ่งเป็นเมนูโปรดของมุกดา
“พี่วากินอะไรคะ เดี๋ยวมุกจดให้”
มุกดาเอ่ยถามโดยที่ในมือจับปากกาหมายมั่น เธอเขียนเมนูของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นเบอร์เกอร์ปลาทูและชาชักเข้มข้นของโปรด
ส่วนของวารีนั้น..
“เอาเหมือนกัน พี่ขี้เกียจคิด”
“อ้าวพี่วา อะไรเนี่ย มากินเหมือนกันทำไม พี่ไม่ชอบกินเบอร์เกอร์หนิ”
“สั่ง ๆ มาเถอะ”
มุกดาเปิดหน้าเมนูอีกครั้ง สายตากวาดมองหาบางเมนู ไล่เรียงทุกชื่อเมนูอย่างตั้งใจ แล้วก็เจอกับอาหารที่ตามหา
“ข้าวต้มแห้งทะเลรวมมิตร กับห่อหมกทะเลในลูกมะพร้าว ของพี่วาต้องสองเมนูนี้ ตอนนั้นอะ มุกจำได้เลยว่าขอชิมห่อหมกของพี่ แล้วมันเผ็ดมากเพราะพี่ไม่ยอมบอกว่ามันเผ็ดอะ ตอนนั้นนะมุกหน้าแดงมากเลย แล้วพี่ก็เอาแต่หัวเราะ บ้ามาก”
มุกดาพูดพลางจดรายการเมนูลงในใบกระดาษสีขาว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาของคนตรงหน้ากำลังจ้องมองเธออยู่
“ทำไมถึงยังจำได้ว่าพี่ชอบอะไร”
“อืม ไม่รู้สิ มันติดอยู่ในหัวอะ” มุกดาตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย
หลังจากสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ระหว่างนั่งรออาหารก็เกิดบทสนทนาเล็กน้อย ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ มีโต๊ะกลมหลายโต๊ะวางอยู่บนพื้นหญ้า และแสงไฟสีส้มที่ติดอยู่ตามต้นไม้รอบ ๆ
“พรุ่งนี้พี่วาพามุกไปห้างสรรพสินค้าหน่อยได้มั้ยคะ มุกอยากไปซื้อของ”
“ห้างในตัวเมืองอะนะ?” วารีขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ใช่ค่ะ รับรองว่าไปไม่นาน แต่ถ้าพี่ติดงานอะไรก็ไม่เป็นไรนะคะ ไว้วันหยุดมุกค่อยไปกับลูกจันทร์ก็ได้”
วารีนิ่งเงียบครุ่นคิดชั่วครู่ ระหว่างที่ความเงียบเกิดขึ้น สายตาเว้าวอนของคนตรงหน้าก็ส่งมาตลอดเวลา
“พรุ่งนี้พี่ต้องไปซื้อของในตัวเมืองพอดี งั้นก็ไปพร้อมกัน แต่ต้องมาถึงฟาร์มก่อนแปดโมงนะ ไม่งั้นพี่ไม่รอ”
มุกดายิ้มดีใจเมื่อได้ยินแบบนั้น รีบพยักหน้าตอบรับทันที
“รับทราบค่ะ พรุ่งนี้มุกจะรีบตื่น”
“ว่าแต่จะไปซื้ออะไร”
“บอกไม่ได้ค่ะ ความลับ”
มุกดาแย้มรอยยิ้มเล็กน้อย ทำเอาวารีอดสงสัยไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยมาแบบนั้น แต่เธอก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร อันที่จริงก็ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นหรอก
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ มุกดาก็ยิ้มกว้างในทันที เพราะเมนูโปรดของเธอไม่สามารถหากินที่ไหนได้ มีแค่ที่นี่ที่เดียว ความสุขที่เกิดขึ้นในใจมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกครั้งนี้ อาจจะไม่แย่ขนาดนั้น
อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข หัวใจมันอบอุ่นเมื่อได้กลับบ้าน เหมือนที่นี่คือที่ของเธอจริง ๆ
“ยิ้มอะไร”
วารีเอ่ยถามขณะที่ส่งจานและช้อนให้คนตรงหน้า ซึ่งผ่านการใช้ทิชชูเช็ดทำความสะอาดอีกครั้งด้วยฝีมือของเธอเรียบร้อยแล้ว
“ดีใจจังเลยพี่วา ได้กลับมากินเมนูโปรด ร้านโปรด มีความสุขอะ”
มุกดาขยับจานเบอร์เกอร์เข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ใช้มีดและส้อมหั่นอาหารตรงหน้าเป็นชิ้นพอดีคำแล้วเอาเข้าปาก
วินาทีที่ได้รับสัมผัสรสชาติที่คิดถึง ใบหน้าของเธอก็ถูกแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอม ทำเอาวารีที่ได้เห็นภาพตรงหน้ายิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว
“โห โคตรอร่อย อร่อยเหมือนเดิม สงสัยลุงเจตคายตะขาบไว้ให้ลูกชายแน่ ๆ อร่อยมากเลยพี่วา อร่อยจริง ๆ นะ รสชาติไม่ต่างกับตอนนั้นที่เรามากินด้วยกันเลย”
มากินด้วยกัน วารีทวนคำนี้อยู่ในใจ ในขณะที่คนตรงหน้ายังคงสนใจแค่จานเบอร์เกอร์ของตัวเอง มุกดาคงไม่รู้เลยว่า ค่ำคืนนี้ไม่ใช่แค่เธอที่คิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ แต่วารีเองก็เช่นเดียวกัน
ไม่ใช่คิดถึงธรรมดานะ แต่คิดถึงมากเลยล่ะ
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่