คนในบ้านต่างเข้าใจว่าพ่อแม่ซ่งรักเซียนอวี่ไม่ต่างจากลูกในไส้ของตัวเอง เรื่องนั้นเซียนอวี่อยากให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป เธอต้องการใช้เวลาอันน้อยนิดก่อนจะมีจดหมายส่งมาถึงบ้านกอบโกยของจากบ้านนี้ให้ได้มากที่สุด แม้ว่าจะเกลียดจะแค้นคนตระกูลนี้มากแค่ไหน แต่เธอก็ต้องทน
อย่างตอนนี้ที่เธอต้องลงมานั่งหันหน้าเข้ากับทุกคนในครอบครัว อาหารเช้าแสนอร่อยวางลงบนหน้าสมาชิกในบ้านทีละคน กลิ่นหอมของอาหารโชยเข้าจมูกกระตุ้นความหิวของเธอได้เป็นอย่างดี
นานมากแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้กินอะไรดี ๆ แบบนี้ ชีวิตที่แสนจะสุขสบายของเธอหายไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ใช่...เพราะเธอมันตัวปลอม
เพราะอย่างนั้นตัวปลอมอย่างเธอขอเสพสุขให้เต็มที่ก่อนก็แล้วกัน เซียนอวี่ไม่สนใจใครอีก เมื่อพ่อซ่งเริ่มตักอาหารเข้าปาก เธอจึงเริ่มจัดการอาหารของตัวเองทันที ไม่สนใจสายตาแปลกใจของคนในบ้าน ว่าทำไมวันนี้คุณหนูเซียนอวี่ที่สุดแสนจะกินยากถึงได้กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยขนาดนี้
แต่ก็ได้แค่สงสัย ไม่มีใครกล้าถามออกไปอยู่ดี หนิงหนิงที่อยากจะพูดกับพี่สาวสักคำก็จำต้องเก็บปากไป เพราะอีกคนกินอาหารเช้าแบบไม่สนใจคนบนโต๊ะอาหารเลยสักนิด ก้มหน้าก้มตากินจนเธอไม่กล้าขัด
“พี่คะ คือ คือว่า ฉันอยากจะชวนพี่ออกไปเที่ยวด้วยกัน...ถ้า ถ้าพี่ไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรนะคะ พอดีคุณแม่อยากพาฉันไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ ฉันเห็นว่าพี่น่าจะเลือกของพวกนี้ได้ดีเลยแค่ เอ่อ อยากชวนไปเดินด้วยกันน่ะค่ะ” หนิงหนิงเปิดปากพูดออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ท่ามกลางความเอ็นดูปนคาดหวังของพ่อแม่ซ่งและพี่ชายซ่งที่กำลังมองมา
เซียนอวี่นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะผงกหัวเป็นอันตกลงว่าตัวเองยินดีที่จะไปตามคำชวนของน้องสาวคนใหม่ สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งสามคนที่กังวลว่าเด็กสาวจะพูดจาร้าย ๆ ใส่ลูกสาวและน้องสาวของตน
แน่นอนว่าทุกคนต้องแปลกใจน่ะถูกแล้ว เพราะชีวิตก่อนเธอก็ทำอย่างที่คนพวกนี้คิดจริง ๆ เธอด่ากราดซ่งหนิงหนิงว่าเป็นภาระแถมยังบ้านนอกจนสาวน้อยของบ้านน้ำตาเล็ด ทั้งยังมีท่าทางหวาดกลัวเธอจนไม่กล้ามองหน้าอีก
“ไปสิ แม่คะ หนูอยากได้บางอย่างพอดีเลย เดี๋ยวขอขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะรีบลงมาค่ะ” พูดจบเธอก็ปัดตูดหนีกลับขึ้นห้องทันที เรื่องอะไรจะอยู่ตรงนั้นให้ตัวเองอึดอัด ต้องทนเรียกคนอย่างนั้นว่าแม่ ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้มองว่าเธอเป็นลูกเลยสักนิด ที่ยังอดทนอยู่นั่นก็คงเพราะเธอยังมีประโยชน์ต่อครอบครัวเสียมากกว่า
เพราะอย่างนั้นก่อนที่เรื่องจะเปิดเผยออกมา ว่าเธอคือลูกที่เก็บมาเลี้ยง เธอจะขอสูบเลือดสูบเนื้อคนพวกนี้ให้หนำใจก่อนก็แล้วกัน ตอนถูกเฉดหัวไปบ้านนอกจะได้ไม่ลำบากมาก
ไม่นานสามสาวบ้านซ่งก็มายืนหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ของเมือง อันที่จริงจะเรียกว่าห้างสรรพสินค้าก็ไม่ถูกนัก ตอนนี้ประเทศยังไม่ได้เปิดกว้างเหมือนในอนาคต หลายสิ่งหลายอย่างยังไม่ได้รับการอนุญาตจากทางภาครัฐ
ดังนั้นของที่ขายก็มีไม่ได้มากมายอะไร แต่สำหรับเมืองหลวงที่ได้รับการกล่าวขานว่าเมืองสวรรค์ที่รวบรวมคนใหญ่คนโตและคนรวยเอาไว้แล้วนั้น ตลาดที่พวกเขาเดินย่อมไม่ธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป
ซ่งหนิงหนิงมองรอบตัวอย่างตื่นเต้น เธอไม่เคยรับรู้เลยว่าในโลกใบนี้จะมีอะไรที่เจริญหูเจริญตาและโก้ขนาดนี้มาก่อน สาว ๆ แต่งตัวเหมือนในหนังสือพิมพ์ที่เธอเคยเห็นในร้านหนังสือ ผู้ชายก็แต่งตัวกันสุภาพมาก ๆ
“เอาล่ะ เราไปที่ร้านขายเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกันนะ” แม่ซ่งกล่าวนำก่อนจะเดินนำลูก ๆ ทั้งสองคนไปยังร้านค้าประจำของตน เซียนอวี่เดินตามไปอย่างสบาย ๆ ต่างจากหนิงหนิงที่เดินก้มหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
เซียนอวี่ยิ้มเยาะให้กับคนหน้าบาง แม่ซ่งคนนี้ แม้จะรักลูกสาวของตนเอง แต่สิ่งที่เธอรักมากยิ่งกว่าก็คือใบหน้าและชื่อเสียง สภาพของซ่งหนิงหนิงตอนนี้ หากแนะนำให้ใครรู้จักว่าเป็นลูกสาวของตนเองคงจะอับอายขายขี้หน้าไม่น้อย เพราะแบบนั้นการชวนเธอออกมาด้วยจึงเป็นเหมือนไม้กันหมา หรือตัวกันคำครหาของชาวบ้านชาวช่องเขานั่นแหละ
ภายในร้านชายผ้าที่ครอบครัวซ่งมาซื้อประจำนั้นมีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคน แน่นอนว่าหนึ่งในต้องมีคนรู้จักแม่ซ่งอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่ด้วย เซียนอวี่จึงถูกไหว้วานจากแม่บังเกิดเกล้า...ของคนอื่น ให้ช่วยดูแลลูกสาวที่แสนดีคนนี้แทนตนเองที ส่วนตนเองจะไปสุมหัวกับพวกคุณนายทั้งหลายรออยู่ห้องรับรอง
“เอาล่ะ เธอชอบสีอะไร” ไหน ๆ ก็กะจะปอกลอกครอบครัวนี้แล้ว เธอจะยอมทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงก็แล้วกัน
ซ่งหนิงหนิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนข้างกายเอ่ยปากพูดด้วยเป็นครั้งแรก เธอกลัวว่าพี่สาวจะไม่ชอบตนเอง กลัวว่าจะรังเกียจที่เธอมาจากบ้านนอก แถมพี่สาวยังสวยมาก ๆ ผิวก็ขาวราวกับน้ำนม ต่างจากเธอที่ทำงานมาอย่างหนักตั้งแต่ไหนแต่ไร
“สะ สี สีหรอคะ อันที่จริง ฉันไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลยค่ะ เสื้อผ้า...แค่ใส่แล้วอุ่นก็พอแล้วไม่ใช่หรอคะ” ซ่งหนิงหนิงตอบคำถามออกไปหน้าซื่อ ก่อนจะเกาแก้มเชิน ๆ ใส่เซียนอวี่
แต่คนฟังอย่างเซียนอวี่น่ะหรือ...ในหัวของเธอตอนนี้กำลังคิดคำด่านังดอกบัวขาวนี่เป็นหมื่นเป็นล้านคำ แค่ตอบมาว่าชอบสีอะไรก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง จะมาพูดว่าใส่แล้วอุ่นเพื่ออะไร ถ้าอย่างนั้นก็ใส่ผ้าขี้ริ้วที่หอบมาจากบ้านนอกด้วยนั่นต่อไปก็คงไม่เป็นไรสินะ
แต่อยากด่ามากแค่ไหนก็ต้องอดทน เพราะวันนี้เธอมีเป้าหมายว่าจะมาซื้อของแพง ๆ สักชิ้น เอาไว้ตกอับเมื่อไหร่จะได้เอาไปขายเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเสียให้หมด
“อื้ม...แค่เลือกมาสักสีก็พอ อย่าพูดพล่ามอะไรเยอะแยะ คนรอบ ๆ มองพวกเราอยู่ ถ้าเธอไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ต้องอับอายเพราะความใสซื่อของเธอ เลือกมาสักสี ถ้าเลือกไม่ได้ก็หลับตาจิ้มมาสักอัน”
เซียนอวี่พยายามข่มอารมณ์และน้ำเสียงของตัวเองเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน เธอไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกับหนิงหนิง แต่ก็ไม่ได้ห่างเหินมาก คิดว่าตอนนี้คนรอบข้างคงสงสัยแล้วว่าเด็กสาวท่าทางมอมแมมข้าง ๆ เธอนี่เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงมาเดินข้างคนถือตัวแบบเธอได้
ซ่งหนิงหนิงถูกพูดใส่แบบนั้นก็สะอึกไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าขอโทษที่ตัวเองทำตัวบ้านนอกออกไป ทั้งที่มีคนรอบข้างกำลังมองอยู่แท้ ๆ แต่เธอกลับพูดเรื่องไร้สาระออกไป ก่อนนิ้วเรียวที่ติดด้านของสาวน้อยจะจิ้มเลือกสีชมพูหวาน
เซียนอวี่พยักหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนเธอจะบอกให้หนิงหนิงไปนั่งรอ ส่วนตัวเองจะจัดการเรื่องเสื้อผ้ามาให้เลือกเอง แม้ว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้เธอหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร เธอจะอดทน อดทนเพื่อให้คุณนายซ่งยอมใจอ่อนจ่ายเงินหลักพันหยวนซื้อของให้เธอ
สำหรับหนิงหนิงแล้ว เธอยิ่งกลัวเซียนอวี่มากขึ้นไปอีก เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ยอมรับของพี่สาว แน่นอนสิ...เธอเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ ก็เข้าบ้านมาแย่งทุกอย่างที่เป็นของตัวเองไป แต่ว่า...เธอเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่จริง ๆ นี่นา แต่พี่เซียนอวี่ไม่ใช่
ซ่งหนิงหนิงพยายามคิดหาคำปลอบใจตนเองให้ไม่กลัว เธออยากจะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ อยากทำให้ทุกคนรักและเอ็นดูเธอ เพื่อเป็นการชอบคุณที่พยายามตามหาตัวเธอ จนในที่สุดก็เจอตัวเธอ และพาเธอออกมาจากนรกแห่งนั้น
ไม่นานชุดมากมายสีชมพูก็มาแขวนเต็มราวตรงหน้าเธอ เซียนอวี่เลือกชุดที่คิดว่าเข้ากับหนิงหนิงมาให้อย่างตั้งใจ ต้องรู้ก่อนว่าเธอไม่ได้อยากจะกลั่นแกล้งอีกคน เพราะแบบนั้นชุดที่เลือกจึงค่อนข้างดูดี
คุณนายซ่งที่แอบมองมาจากที่ไกล ๆ อดจะพอใจในตัวลูกเลี้ยงไม่ได้ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็มีประโยชน์ต่อหนิงหนิงของเธอไม่น้อย แถมเธอก็ยังเอ็นดูเซียนอวี่จริง ๆ แม้ว่าจะเอนเอียงไปที่ลูกสาวแท้ ๆ ของตนเองมากกว่าก็ตาม
“ชุดสวยมากเลยค่ะ สวยจนเลือกไม่ถูกเลยว่าจะเอาชุดไหน” ซ่งหนิงหนิงยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอชอบมาก พี่สาวเลือกแต่ชุดสวย ๆ มาให้เธอ ไม่ได้จะกลั่นแกล้งเธออย่างที่คิดเอาไว้เลย เป็นเธอที่คิดมากและกังวลจนเกินเหตุจริง ๆ ด้วย
เซียนอวี่เห็นหน้าของอีกคนก็รู้ทันทีว่าคิดอะไรอยู่ แต่เธอไม่คิดจะเปิดโปง ทำเพียงนั่งรอนิ่ง ๆ ให้อีกคนเลือกเสื้อผ้า ก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่ออีกคนเอาแต่ทำท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าหยิบจับชุดพวกนั้น
“เลือกได้หรือยัง” บางครั้งเธอก็อยากจะโวยวายแล้วพังราวผ้าตรงหน้านั่นเสีย แค่เลือกชุดที่ชอบมันยุ่งยากตรงไหน ชุดในราวตรงหน้านั้นเธอก็เลือกมาแล้วว่าเข้ากับอีกคน แม้ว่าตอนนี้ผิวพรรณของเจ้าตัวจะยังไม่เข้ากับชุดก็ตาม แต่หากบำรุงดี ๆ อีกไม่นานเกินปีก็คงจะกลมกลืนกับสาว ๆ ในเมืองได้ไม่ยาก
“ชุด ชุดพวกนี้มันสวยมากเลยค่ะ ฉันเลือกไม่ถูกเลย แฮะๆ ไม่รู้ว่าควรเอาชุดไหนดี พี่เลือกมาสวยทุกชุดเลย”
“เลือกไม่ได้ก็เอาทั้งหมด คุณแม่ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แถมเธอก็ไม่มีเสื้อผ้าเลย เอาทั้งหมดในราวไปคิดเงินด้วยค่ะ” เซียนอวี่พูดกับหนิงหนิง ก่อนจะหันไปพูดกับพนักงานที่อยู่ไม่ไกล
เซียนอวี่ไม่ได้รู้เลย ว่าคำพูดง่าย ๆ ของตัวเองที่พูดกับพนักงานจะทำให้ใครหลาย ๆ คนแปลกใจ ตามหลักแล้ว เหล่าคุณหนูคุณนายจะไม่พูดจามีหางเสียงกับพนักงานเสียเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดที่เหมือนออกคำสั่งเสียส่วนใหญ่ แน่นอนว่าคนทั้งร้านเป็นแบบนั้น เมื่อก่อนเซียนอวี่เองก็เป็นแบบนั้น แต่เพราะได้ไปตกระกำลำบากมานานหลายปี ทำให้เธอเผลอลืมตัวพูดออกไปอย่างไม่ทันคิด
นอกจากจะไม่ทันคิดแล้ว เธอยังไม่รู้สึกตัวอีกด้วยว่าทำอะไรลงไป และคนรอบข้างแปลกใจมากแค่ไหน เธอทำเพียงเดินไปเรียกแม่ซ่งให้มาจ่ายเงิน จะได้ออกไปจากร้านขายผ้าแล้วไปร้านอื่นต่อเสียที แค่เลือกเสื้อผ้าก็เสียเวลามากแล้ว ถ้าใช้เวลากับหนิงหนิงไปเยอะ เวลาที่เธอจะได้ซื้อบ้างก็น้อยกันพอดีน่ะสิ