“ไยข้าจะไม่กล้า ในเมื่อเราร้องขอเมตตาอย่างผู้อับจนหนทาง แต่ท่านกลับใช้สายตาและคำพูดเย้นหยันอยู่ในที แม้เราจะยากไร้แต่เราก็มีหัวใจ” เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉาน สายตาไม่ลอกแลก แต่มันกลับแน่วแน่
“หึ ๆ เถาเถา เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าข้าถูกเจ้าหนูตัวน้อยตำหนิ”
“เจ้าค่ะ”
“ชูสวี่ ยายสอนให้เจ้าเป็นคนไร้มารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ท่านยาย ถึงข้าต้องกรีดเลือด เฉือนเนื้อให้ท่านดื่มกิน ข้าก็ยินดีทำอย่างไม่ลังเล แต่จะให้ข้าทนเห็นท่านยายถูกเหยียดหยาม ข้ามิอาจทนได้ขอรับ”
เด็กชายวัยเพียงหกขวบ ไม่น่าจะเกินนี้ กล้าที่จะพูดและมีความคิดที่ใหญ่โต แสดงว่าภูมิหลังสกุลชู คงไม่ใช่ยากไร้ตั้งแต่แรก หาไม่แล้วคงสอนเด็กน้อยคนนี้ ให้มีความคิดอ่านที่ฉะฉานได้
“คุณหนูหลานชายข้าน้อยยังเด็กนัก ได้โปรดเมตตาเขาสักครั้ง อย่าได้เอาผิดเขาเลยนะเจ้าคะ”
“มาทางนี้เถอะ ข้าเมื่อยขา มานั่งคุยกันสักหน่อย”
หลินมู่เสวี่ยมิได้ตอบรับ หรือปฏิเสธคำของหญิงชรา แต่เลือกที่จะเดินไปนั่งใต้ร่วมไม้ โดยส่งสัญญาณให้องครักษ์หนุ่ม ช่วยพยุงหญิงชราให้ลุกขึ้นเดินตามมา
“นั่งบนหินนั่นเถิด แข่งขาท่านคงไม่เหมาะจะคุกเข่า”
หญิงสาวผายมือไปที่หินก้อนใหญ่ ที่อยู่ไม่ห่างนางไปมากนัก เพื่อให้หญิงชราได้นั่งลง ส่วนตัวนางนั้น นั่งลงยังก้อนหินอีกก้อน สถานที่แห่งนี้คงเป็นจุดพักของนักเดินทาง เพราะหินที่นำมาวาง มิได้มีเองตามธรรมชาติ
“สวี่เอ๋อร์ เจ้าใช้วาจาไม่ดีต่อคุณหนู เจ้ายังไม่รีบขอโทษอีกหรือ”
หญิงชรามิได้ปล่อยผ่าน ต่อความผิดที่หลานชายก่อเอาไว้ นางรีบบอกให้เขาขอโทษต่อหญิงสาวสูงศักดิ์ตรงหน้าเสีย
“ข้าน้อยชูสวี่ ขออภัยที่เสียมารยาท ใช้วาจาจาบจ้วงต่อคุณหนูขอรับ”
เด็กชายคุกเข่าลง ประสานมือหมอบคำนับต่อหญิงสาว บรรดานายบ่าวต่างหันสบตากันอย่างเอ็นดู คนเราแข็งได้ก็ต้องรู้อ่อนได้
“เอาเถอะ เจ้ารู้ผิดแล้วก็ดี เพราะตัวข้าก็ผิด ที่ถามเจ้าออกไปแบบนั้น”
เด็กชายเงยหน้ามองไปที่หญิงสาว ด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมได้ด้วยความมุ่งมั่น สายตานี้หากขัดเกลาในทางที่ถูก ชูสวี่จะเป็นเพชรเม็ดงามทีเดียว แต่ถ้าได้รับการบีบคั้นจนเติบใหญ่ เด็กคนนี้ จะกลายเป็นเงามืดที่น่าหวาดหวั่นเช่นกัน
“หากเจ้ายอมที่จะเป็นน้องชายของข้า ข้าจะพาเจ้ากับท่านยายเข้าเมืองหลวงด้วยกัน”
“อะไรนะ!”
สองยายหลานอุทานออกมาพร้อมกัน อย่างมิอยากจะเชื่อหู มันจะง่ายดายอะไรเพียงนั้น พบหน้ากันมิทันถึงครึ่งก้านธูป คุณหนูผู้นี้กลับจะรับเด็กแปลกหน้าเป็นน้องชาย
“ข้าเป็นคนคิดและลงมือเร็ว ว่าแต่เจ้าเล่าชูสวี่ เจ้าจะตัดสินใจได้เร็วเท่าข้าหรือไม่”
เด็กชายนิ่งเงียบ สบเข้ากับดวงตาวาววับของสตรี ที่อยากให้เขาเป็นน้องชาย นางกำลังล้อเล่นกับเขาเล่นหรือ รึนางเห็นความรู้สึกของคนยากจน เป็นเพียงเรื่องสนุกกัน
“ได้! ถ้าท่านคิดว่าความรู้สึกของข้า เป็นเพียงของเล่น ข้ายินดีที่จะแบกรับมัน แลกกับอาหารสักมื้อให้แก่ท่านยายของข้า”
ดวงตาที่ยังจับจ้องกับแววตาของหญิงสาว มันเริ่มที่ไหวระริก จากน้ำตาที่พร้อมจะหลั่งออกมา ซึ่งมู่เสวี่ยรู้ดีว่าเด็กน้อยกำลังข่มกลั้นเอาไว้อย่างที่สุด เขากำลังคิดว่านาง ล่อเล่นกับความรู้สึกของเขาอยู่ เด็กน้อยต้องพบเจอความเจ็บปวดใดมาบ้าง ไยจึงได้ราวรานขนาดนี้
“หึ ๆ คนเยี่ยงข้า ถ้าเอ่ยปากออกมาแล้ว ย่อมไม่มีวันกลืนน้ำลายตนเอง ข้าขอแค่ตั้งใจเรียนรู้และเป็นคนดี ไม่ทรยศหักหลังข้าและครอบครัว แค่นี้ก็ไม่มีอะไรที่ข้าต้องการจากเจ้าแล้ว”
นางไม่ได้ล่อเล่นกับความรู้สึกของเด็กน้อย แต่มันคือการวัดดวงกัน ระหว่างนางกับสองยายหลาน หากความเมตตาที่นางมอบให้ ถูกบดขยี้ด้วยเท้า ภายหน้าหากนางลงมือทำสิ่งใด ก็จะไม่มีใครกล่าวหาว่านางแล้งน้ำใจ และอีกเหตุผลหนึ่ง คือนางต้องการคนที่จะเติบโต มาเป็นคนของนางอย่างแท้จริง เจ้าของร่างต้องตายก็เพราะสาวใช้ ที่ครอบครัวจัดหามามิใช่หรือ ไยไม่ให้นางใช้หัวใจเลือกมาเอง เช่นคนรอบกายนางในตอนนี้ ทุกคนนางล้วนใช้ใจซื้อมาทั้งสิ้น
“คุณหนู หลานชายข้าอาจมิคู่ควรเจ้าค่ะ เราเป็นเพียงคนยากไร้ จะเอาอันใดไปเทียบเท่าคุณหนูได้เจ้าคะ”
ด้วยกลัวว่าจะถูกล้อเล่นกับความรู้สึก หรือเก่งว่าหลานชายจะกลายเป็นของเล่นคนมีเงิน นางจึงต้องปฏิเสธ เพื่อมิให้เกิดเรื่องเลวร้ายในภายหน้า แม้จะยากไร้นางก็ไม่คิดขายหลานชายกิน
“คนของข้าทุกคน ท่านยายว่าพวกเขา เคยเป็นใครมาก่อนเจ้าค่ะ ข้ามิเคยใส่ใจว่าจะมาจากที่ใด ข้าสนใจปัจจุบัน ที่เป็นของข้าทั้งกายและใจเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หญิงชราหันมองไปที่ผู้ติดตามของหญิงสาว แล้วได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ องครักษ์สองคนนั้น มีใบหน้าที่หล่อเหล่า ทว่าบนใบหน้าก็ยังมีร่องรอยแผลเป็น สาวใช้แม้จะดูบอบบาง แต่จากลักษณะแล้วก็มิน่าจะใช่คนไร้ฝีมือ คนขับรถม้าที่มีดวงตาบอดไปข้างหนึ่ง ไหนจะยังมีกลิ่นสุราจางๆ ให้ได้กลิ่นโชยมาอีก แต่จากการแต่งกายและตราประทับ ที่สลักอยู่บนรถม้า น่าจะเป็นสกุลขุนนาง
“ข้าเป็นน้องชายท่านแล้ว ท่านยายของข้าจะอิ่มท้องทุกวันหรือไม่” แต่ยังไม่ทันที่หญิงชรา ได้จะเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เด็กชายเลือกที่จะถามขึ้นมาเสียก่อน
“แน่นอน...เพราะนางจะเป็นคนที่ต้องอยู่เคียงข้าและเจ้า ออ...ข้าลืมแนะนำตัว ข้าคือหลินมู่เสวี่ย”
หญิงสาวรับคำเด็กน้อย ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะแนะนำตัวเองกับสองยายหลาน เพราะนี่จะเป็นจุดสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่าย ได้ชัดเจนกว่าการสนทนาก่อนหน้าที่ผ่านมา
“ท่านคือคุณหนูใหญ่สกุลหลิน”
หญิงชราอุทานด้วยความตกใจอีกครั้ง ใครบ้างไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลแม่ทัพ เป็นประหนึ่งแก้วตาดวงใจของสกุลหลิน และนางกำลังจะกลายเป็นพระชายา ในจิ้งอ๋องลู่หย่งไท้
“เรื่องฐานะข้า รู้แล้วมันจะเป็นอะไรไป ถ้าไม่ได้คิดร้ายต่อข้า มันก็แค่ฐานะ ในเมื่อเจ้าหนูสวี่รับปากข้าแล้ว ข้าก็ถือว่าท่านยายคือคนในครอบครัว”
หญิงสาวไม่ได้สสนคำปฏิเสธของหญิงชรา เพราะคนที่นางต้องการขัดเกลาคือเด็กชาย หากไร้วาสนา แม้เพียงพบหน้าก็มิชายตามอง แต่เมื่อสัมพันธ์ผูกกัน จะฐานะใดนางก็จะถนอมเอาไว้
“ไยข้าจะไม่กล้า ในเมื่อเราร้องขอเมตตาอย่างผู้อับจนหนทาง แต่ท่านกลับใช้สายตาและคำพูดเย้นหยันอยู่ในที แม้เราจะยากไร้แต่เราก็มีหัวใจ” เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉาน สายตาไม่ลอกแลก แต่มันกลับแน่วแน่ “หึ ๆ เถาเถา เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าข้าถูกเจ้าหนูตัวน้อยตำหนิ” “เจ้าค่ะ” “ชูสวี่ ยายสอนให้เจ้าเป็นคนไร้มารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” “ท่านยาย ถึงข้าต้องกรีดเลือด เฉือนเนื้อให้ท่านดื่มกิน ข้าก็ยินดีทำอย่างไม่ลังเล แต่จะให้ข้าทนเห็นท่านยายถูกเหยียดหยาม ข้ามิอาจทนได้ขอรับ” เด็กชายวัยเพียงหกขวบ ไม่น่าจะเกินนี้ กล้าที่จะพูดและมีความคิดที่ใหญ่โต แสดงว่าภูมิหลังสกุลชู คงไม่ใช่ยากไร้ตั้งแต่แรก หาไม่แล้วคงสอนเด็กน้อยคนนี้ ให้มีความคิดอ่านที่ฉะฉานได้ “คุณหนูหลานชายข้าน้อยยังเด็กนัก ได้โปรดเมตตาเขาสักครั้ง อย่าได้เอาผิดเขาเลยนะเจ้าคะ” “มาทางนี้เถอะ ข้าเมื่อยขา มานั่งคุยกันสักหน่อย” หลินมู่เสวี่ยมิได้ตอบรับ หรือปฏิเสธคำของหญิงชรา แต่เลือกที่จะเดินไปนั่งใต้ร่วมไม้ โดยส่งสัญญาณให้องครักษ์หนุ่ม ช่วยพยุงหญิงชราให้ลุกขึ้นเดินตามมา
เจ็ดปีต่อมา ณ เส้นทางสู่เมืองหลวง รถม้าคันใหญ่เคลื่อนผ่านไปตามถนน ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่อย่างเอื่อยเฉื่อย ดูไม่ได้เร่งร้อน ที่จะไปให้ถึงจุดหมายโดยไว เช่นผู้เดินทางอื่นๆ หญิงงามในชุดแพรพรรณชั้นดี บอกได้ว่านางเกิดมาในครอบครัวของผู้มีอันจะกิน ความงามที่เฉิดฉายของนาง หากใครได้ยลก็เสมือนต้องมนต์สะกด เรียกว่าเป็นความงามที่ล่มเมืองเลยก็ว่าได้ “คุณหนูแตงโมเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกาย ได้ยื่นจานแตงโมเนื้อแดงหวานฉ่ำ ให้แก่นายสาว แน่นอนว่าแดนตะวันตก มีพ่อค้าต่างแดนเข้าออกมากมาย สินค้าใดที่ล้ำค่าราคาแพงในเมืองหลวง คนที่อยู่ชายแดน จะได้รับมันก่อน ในราคาที่ย่อมเยากว่าหลายเท่านัก “ขอบใจเจ้ามากเถาเถา เจ้าก็กินเสียด้วยกันเลย” หญิงสาวยื่นมือไปหยิบไม้เล็ก ๆ ก่อนจะนำไปจิ้มแตงโมชิ้นพอดีคำ ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย อากาศที่อบอ้าว ได้กินแตงโตที่เต็มไปด้วยน้ำเช่นนี้ มันสดชื่นเสียนี่กระไร อ๊ะ! ทว่าก่อนที่จะจิ้มแตงโมชิ้นต่อไป หญิงสาวต้องรีบหาที่คว้าจับ มิให้ร่วงลงจากที่นั่ง เมื่อรถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน “มีเรื่องอันใด ไยจึงหยุดกะทันหันเช่นนี้ คุณหนูเก
“โอ๊ะ! บ้าบอทำไมปวดหัวขนาดนี้” จวิ๋นมู่ ยกมือขึ้นวางบนหัวของตัวเอง ก่อนจะลืมตาขึ้น เธอจดจำทุกอย่างได้ และมีความทรงจำของใครอีกคน ชัดเจนอยู่ในหัว เหอะ! นึกว่ามีแค่ในหนังในละคร เธอมาอยู่ในร่างของคนเป็นโรคหัวใจ แล้วยังคนละยุคสมัย กับที่เธอคุ้นเคย เรื่องเดิมๆ ที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาในชีรี่ย์ดังหลายๆ เรื่อง แต่ก็นะ...ในเมื่อสวรรค์ให้โอกาส ก็ต้องใช้มันให้คุ้ม “ลูกแม่! เจ้าฟื้นแล้ว ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” หลินฮูหยิน รีบหันไปยื่นถาดยาให้มือให้สาวใช้ แล้วรีบก้าวยาวๆ ตรงไปหาบุตรสาวบนเตียง แค่เห็นว่าลูกลืมตา ใจของมารดาเช่นนาง ก็คลายความหวาดกลัวไปมากทีเดียว ร่างที่ยังคงงดงามของหลินฮูหยิน ค่อยๆ รีบนั่งลงขอบเตียง ก่อนจะคว้ามือบุตรสาวมากุมเอาไว้ ส่วนคนบนเตียง ที่กำลังพยายามเรียบเรียง ทุกความเป็นตัวตน ของคุณหนูจวนแม่ทัพ เธอทำได้เพียงแค่ยิ้ม ให้กับคนที่เรียกเธอว่าลูก ก่อนจะคิดคำพูด ที่จะไม่สร้างความคลางแคลงใจ ในความเปลี่ยนไปของคุณหนูหลินผู้นี้ “ท่านแม่ เอ่อ...ข้าหลับไปนานเท่าใดเจ้าคะ” หญิงสาวถามออกมาได้ในที่สุด ทว่าเสียงที่เปล่งออกมา มันช่างแหบแห้งน
จวนแม่ทัพตะวันตก อาชาสีดำตัวใหญ่ ถูกรั้งให้หยุดลงยังหน้าจวน ก่อนที่ชายสูงวัยที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูบานใหญ่ จะวิ่งตรงออกมาหา “ลูกพ่อ!” ท่านแม่ทัพเรียกบุตรสาวเสียงหลง เมื่อเห็นว่าเวลานี้ นางไร้สติอยู่ในอ้อมแขนของบุตรชาย ท่านแม่ทัพรับร่างบุตรสาวลงจากหลังม้า ก่อนจะรีบหมุนกายเดินกลับเข้าไปในจวน “เสวี่ยเอ๋อร์ลูกแม่!” หลินฮูหยินเรียกบุตรสาว ด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะวิ่งตามหลังสามีกลับเข้าไปในจวน นางที่เพิ่งได้สติ จากการเป็นลมไป หลังได้รับข่าวว่าบุตรสาวหายตัวไป “หมอเร็วเข้าช่วยลูกข้าด้วย” ท่านแม่ทัพตะโกนเรียกหมอประจำตระกูล ซึ่งมาดูแลอาการของหลินฮูหยิน รีบวิ่งตามเจ้าของบ้านไป สีหน้าของหมอชรา เต็มไปด้วยความตึงเครียด ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าบ้านทั้งสาม มีความตื่นกลัว ความกดดันของเขาก็มากตามไปด้วย คุณหนูหลินนั้น มีโรคหัวใจมาแต่กำเนิด แค่ออกแรกเล็กน้อย นางยังล้มป่วยไปหลายวันเลย แล้วสภาพของนางในตอนนี้ ไม่น่าจะทนไหว...หลินเสวี่ยหลง ที่วิ่งตามพ่อแม่เข้าไปภายในเรือน มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ ก่อนที่เข้าจะเดินตรงไปยังสาวใช้คนสนิทของน้องสา
เมืองหลวง ณ จวนจิ้งอ๋องลู่หย่งไท้ ร่างสูงในชุดสีดำ ก้าวตรงเข้าไปในตัวเรือนหลังใหญ่ จวนอันเงียบสงบ ไร้พี่น้องพ่อแม่อยู่ร่วม ทว่ากลับเป็นที่หมายตาของสตรีทั่วเมืองหลวง ที่อยากจะมาเป็นสตรีหนึ่งเดียวในจวนแห่งนี้ ทว่าเจ้าของจวนกลับเมินเฉยต่อเรื่องนั้น จนกระทั้งมีพระเสาวนีย์ จากองค์ไท้เฮา ถึงการหมั้นหมาย ที่มีกับบุตรสาวคนโต ของแม่ทัพตะวันตกหลินมู่เฉียว ซึ่งตามข่าวลือ นางคือบุตรสาวที่ติดท้องมารดา ซึ่งได้หย่าขาดกับท่านเจียงกั๋วกง “ท่านอ๋อง ท่านกั๋วกงได้ส่งเทียบเชิญ ให้ท่านอ๋องไปร่วมมื้อค่ำในวันพรุ่งนี้ขอรับ” พ่อบ้านชราถือเทียบเชิญจากจวนกั๋วกง ก้าวตามนายตนเข้าไปในเรือน ตามจริงเขาจะปฏิเสธแทนผู้เป็นนายก็ย่อมได้ แต่เพราะเจียงกั๋วกง คือบิดาโดยสายเลือดของว่าที่พระชายาเอก เขาจึงไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามทำสิ่งใดโดยไม่ได้รับเห็นชอบจากผู้เป็นนาย “ทุกครั้งท่านทำเยี่ยงไร ไยครานี้จึงต้องมาถึงมือข้าด้วยเล่า”อ๋องหนุ่มย้อนถามพ่อบ้านของตน ซึ่งโดยปกติเรื่องแค่นี้ ย่อมไม่ผ่านเลยมาถึงมือเขา ให้ต้องเสียเวลาตัดสินใจ “แต่ท่านกั๋วกง คือบิดาแท้ๆ ของว่าที่พระชายา ข
มือที่บางนี่จะแข็งแรงแค่ไหน เรื่องนี้จะจริงหรือฝัน เธอก็ไม่มีวันยอมให้ตัวเอง ถูกทำเรื่องเสื่อมเสียเด็ดขาด เพราะถ้าคนไล่ล่าคือผู้ชาย น้อยนักที่จะไม่คิดเรื่องแบบนั้นกับผู้หญิง จวิ๋นมู่หันมองสำรวจไปรอบๆ ตัว ก่อนจะหลับตาลงแน่น เมื่อหัวของเธอเจ็บร้าว เหมือนถูกทุบซ้ำๆ จนต้องยกมือขึ้นกุมขมับเอาไว้ จะบ้าตายนี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย! พรึ่บ! หวืด! หมับ! ยังไม่ทันที่จะได้ทบทวนอะไร ดวงตาที่หลับนิ่งเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคว้าจับข้อมือหนา ของผู้ชายตัวโตเอาไว้ ก่อนที่จะได้แตะต้องตัวเธอ ยังดีที่เธอเอี้ยวตัวหลบได้ทัน ไม่อย่างนั้น...ถ้าเธอตกอยู่ในเงื้อมือของชายแปลกหน้าไปแล้ว ฉึก! ปึก! มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนชายหนุ่มร่างใหญ่ ไม่ทันคาดคิดว่าเขาจะถูกตอบโต้ จากหญิงสาวบอบบาง อ๊าก!!! ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมีบางสิ่งแทงเข้าที่ลำคอของเขา ก่อนมันจะถูกดึงออก จนเลือดไหลพุ่งกระฉูดเมื่อเส้นเลือดถูกเปิด มือหนากุมลำคอเอาไว้แน่น ร่างสูงใหญ่ดิ้นพล่านอยู่บนพื้นดิน ใกล้กับหญิงสาวที่เขาไล่ล่าเสียงร้องโหยหวนของเขา ทำให้ฝีเท้าจำนวนหนึ่ง มุ่งตรงมายังทิศทางนี้ นั่นทำให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนเต็มควา