Войтиจวนแม่ทัพตะวันตก
สามวันถัดมา ณ เรือนมู่เสวี่ย
หลังม่านบางสีหวาน ร่างที่หลับมากว่าสามวัน เริ่มที่จะขยับเปลือกตา ใบหน้างามที่ยังคงซีดเผือด สะบัดไปมา ราวกับอยากจะตื่นจากฝันร้ายนั้น ให้ได้เสียที เฮือก! ร่างงามทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง หอบจนตัวโยน สรุปแล้วเธอฝันร้าย หรือทุกอย่างคือเรื่องจริงกันแน่
แต่ก่อนที่จะคิดว่านี่คือความฝัน จวิ๋นมู่ก้มมองมือของตัวเอง เธอไม่ได้ฝันแล้วล่ะ! ตอนนี้เธออยู่ในร่างของคุณหนูสกุลหลิน ที่ตายด้วยโรคหัวใจ ตอนที่ถูกไล่ล่าอยู่ในป่า ถึงจะเจ็บป่วยแต่ก็ใจเด็ดไม่น้อย อีกทั้งยังรู้คิดแยกแยะถูกผิด สมกับที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
“โปรดเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวมิได้คิดร้ายต่อคุณหนูเลยนะเจ้าคะ”
เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดังลอดเข้ามาให้ได้ยิน หญิงสาวค่อยๆ ที่จะขยับตัวไปนั่งยังขอบเตียง ก่อนจะหย่อนเท้าลงไปวางบนพื้นอันเยียบเย็น อาการสั่นน้อยๆ นี่บอกได้เลยว่าร่างกายนี้สุดแสนจะอ่อนแรงเหลือเกิน ไม่ว่าจะต้องคลานไป เธอก็จะต้องออกไปสะสางแทนเจ้าของร่างนี้ให้เรียบร้อย
นี่คือยุคแห่งอำนาจ ใครรักษาเอาไว้ได้มั่น ชีวิตก็จะยังหายใจอยู่ไปได้อีกยาวนาน ในเมื่อสวรรค์เลือกที่จะให้เธอตื่นมาอีกครั้ง เธอก็ต้องรักษาอำนาจที่พึงมีเอาไว้ให้มั่น ไม่อย่างนั้นมีตายรอบสองแน่นอน
“ขาบ้านี่...ก็ไม่เป็นใจเลยจริงๆ”
หญิงสาวบ่นพึมพำ ในตอนที่ลุกขึ้น แล้วขาเล็กเรียวมันสั่น และสุดท้ายเธอก็ต้องกลับลงมานั่งที่เดิม ทว่าเธอยังไม่ยอมแพ้ หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก่อนจะพยายามก้าวไปทีละก้าว พร้อมกับลุ้นไปด้วย ว่าตัวเองจะล้มหัวทิ่มหรือไม่ อ๊ะ! เกือบไปแล้ว หญิงสาวอุทานอยู่ในใจ ตอนที่ทุ่มแรงพุ่งไปเกาะที่ขอบประตูเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่หน้าเธอจะทิ่มลงกับพื้นห้อง
จวิ๋นมู่ค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปมองยังนอกประตู ภาพที่เธอเห็นคือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ยืนหันหลังให้เธออยู่ และมีหญิงสาวในชุดสีเขียว นั่งคุกเข่าร้องขอชีวิตอยู่อย่างน่าเวทนา แต่นั่นมันสำหรับคนเขลา ไม่ใช่เธอที่เข้าใจทุกอย่างชัดเจน จากความทรงจำเจ้าของร่าง ถึงแม้ในความทรงจำสุดท้าย จะไม่ได้บอกว่าใครที่ทำให้เจ้าของร่างตาย แต่มันชัดเจนอยู่แล้ว ถ้ามองตามหลักความเป็นจริง สาวใช้คือคนที่น่าสงสัยเป็นอันดับแรก จวิ๋นมู่หลับตาลง เพื่อทบทวนความสัมพันธ์ ระหว่างเจ้าของร่างและพี่ชาย รวมถึงสำเนียงที่ใช่สื่อสาร
“หากเจ้ามิได้คิดร้ายต่อข้า ไยจึงมีเพียงเจ้าที่ปลอดภัย”
เมื่อครู่ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามออกไป เธอได้ยินหมดแล้วว่าผู้คุ้มกันได้ตายทั้งหมด เจ้าของร่างก็หาได้รอดชีวิต แต่สาวใช้ข้างกายกลับไร้แม้แต่รอยขีดข่วน เธอมาจากโลกที่ไว้ใจใครยาก ไม่มีทางเชื่อว่าสาวใช้จะไม่คิดร้าย ลืมร่มแค่อันเดียว จะวิ่งกลับไปเอาทำไม ในเมื่อไม่ได้ใช้เสียหน่อย ใครจะบ้ากางร่มในป่ากัน
“น้องพี่! เจ้าฟื้นแล้ว ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า”
หลินเสวี่ยหลง รีบสาวเท้ายาวๆ กลับไปประคองน้องสาว หวังจะพานางกลับเข้าไปในห้อง แต่หญิงกลับวางมือแตะที่แขนพี่ชายเบาๆ เพื่อห้ามเขามิให้พานางเข้าไป ตราบใดที่จัดการเรื่องตรงหน้าไม่จบ ก็ไม่ควรมอบโอกาสให้คนร้ายมีช่องทางแก้ตัว
“น้องอยากสะสางให้จบเจ้าค่ะ”
“ได้”
ชายหนุ่มช้อนอุ้มร่างน้องสาว เดินไปยังลานหน้าเรือน เพื่อให้น้องสาวที่เป็นผู้ประสบเหตุ ได้สางตามที่นางต้องการ
“คุณหนู บ่าวหาได้คิดร้ายต่อคุณหนูเลยนะเจ้าคะ”
สาวใช้พยายามที่จะคลานเข้ามาหาหญิงสาว ทว่าชายหนุ่มเบี่ยงกายหลบ มิให้มือสกปรกนั้น ได้แตะแม้แต่ชายเสื้อของคนเป็นน้อง
“ข้าวางใจในตัวเจ้ากว่าผู้ใด ไยจึงได้ทำเช่นนี้เล่า”
หญิงสาวเอ่ยกับสาวใช้ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เจ้าของร่างรักในตัวของสาวใช้ ประหนึ่งพี่น้อง แต่กลับได้รับผลตอบแทนความรู้สึกนั้น ด้วยการถุกหักหลัง
“บ่าวมิได้ทำอันใดเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้ยังคงยืนกรานว่าตนเอง มิได้กระทำสิ่งใดต่อผู้เป็นนนาย
“หากเป็นเมื่อก่อนข้าจะเชื่อคำเจ้า แต่ครั้งนี้คงยากที่ข้าจะคิดเช่นนั้น ใช่ว่าข้าไม่บอกแก่เจ้า ว่าค่อยกลับไปเอาร่มในภายหลัง อีกทั้งคนที่เร้าหรือข้า ให้พาไปชมน้ำตกหลังอารามก็เป็นเจ้า แต่เมื่อเกิดเรื่องกลับมีเพียงข้ากับผู้คุ้มกันเท่านั้น ที่ตกอยู่ในอันตราย ส่วนตัวเจ้าเล่าไปอยู่ที่ใดมา”
“บ่าวก็อยู่ในอารามย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“หึๆ เจ้าสร้างพยานได้ดี แต่เจ้าพลาดตรงที่ลืมนึกไป ว่าสกุลหลินคือสกุลทหาร การหาข่าวนับเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก คนผู้นั้นให้เจ้ามากเลยหรือ มากเสียจนเจ้ากล้าหักหลังข้าที่เติบโตมาด้วยกันได้”
จวิ๋นมู่ข่มกลั้นความเหนื่อยหอบเอาไว้ เพื่อที่จะจัดการให้จบ แน่นอนว่าถ้าพี่ชายหรือบิดาลงมมือ ความตายมันจะเป็นคำตอบทั้งหมด ถ้าแบบนั้นมันสบายเกินไป
“ให้บ่าวสาบานที่ไหนก็ได้เจ้าค่ะ บ่าวหาได้เอาใจออกห่างจากคุณหนูไม่”
“เก็บคำสาบานของเจ้า ไปแก้ต่างให้กับตนเองในยมโลกเถิด”
ประหนึ่งสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจ เมื่อนายสาวนอกจากจะไม่เชื่อใจแล้ว ยังหมายให้ตนเองตายไปเสีย
“ไยคุณหนูจึงแล้งน้ำใจนักเล่า” สาวใช้ถึงกับตัดพ้อผู้เป็นนาย ที่ไม่ใยดีต่อนาง
“พี่ใหญ่ หากผู้คุ้มกันตายด้วยยาพิษ เช่นนั้นก็ควรไปหายังผู้ที่มีมันในครอบครอง มิดีกว่าหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวไม่ได้ตอบโต้คำของสาวใช้ แต่เลือกที่จะชี้แนะพี่ชาย ให้ไปค้นหายาพิษ จากที่พักของสาวใช้แทน อาจเพราะความร้อนใจพี่ชายจึงมองข้ามเรื่องนี้ไป จะลงมือทรมานไปก็เท่านั้น สาวใช้ของนางอาจไม่ได้ทำเพราะเงิน อย่างที่นางแสร้งหยั่งเชิงไป แต่ต้องมีเบื้องลึกที่มากกว่านั้น
“ไปค้นห้องนาง!”
ชายหนุ่มสั่งการเสียงกร้าว ก่อนจะพาน้องสาวกลับเข้าไปในเรือน เมื่อเห็นแล้วว่าท่านหมอ รวมถึงพ่อแม่กำลังมุ่งตรงมาที่เรือน
“เจ้าไม่น่าออกไปเลย” `ชายหนุ่มทัดทานน้องสาว ด้วยความเป็นห่วง มิอยากให้นางต้องแดดลมมากนัก
“ข้าแค่อยากเห็นหน้านาง และดูให้มั่นใจ ว่ามิได้เข้าใจผิดจนกลายเป็นปรักปรำนางเจ้าค่ะ”
หลินเสวี่ยหลง วางน้องสาวลงบนเตียง ก่อนจะค่อยๆ ยกขาของนางขึ้นวางราวบนเตียงอย่างเบามือ น้องสาวที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เป็นทารก มีหรือเขาจะไม่ร้อนใจเมื่อนางบาดเจ็บเยี่ยงนี้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“พี่เข้าใจเจ้า” ชายหนุ่มเอ่ยกับน้องสาว ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“ลูกแม่/ลูกพ่อ”
ท่านแม่ทัพหลินพร้อมภรรยา ต่างพากันวิ่งเข้ามาหาบุตรสาว ด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด นั่นทำให้หญิงสาวถึงกับน้ำตารื่นขึ้นมาในทันใด เจ้าของร่างจะเจ็บปวดแค่ไหน ที่ต้องจากพ่อแม่พี่ชาย ที่รักนางประหนึ่งแก้วตาดวงใจ
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าช่วยเผาเข็มให้ข้าเดี๋ยวนี้” แต่ก่อนที่หลินเสวียนจะพูดสิ่งใดต่อ คำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน เด็กหนุ่มไม่คิดรีรอ เขารีบวิ่งไปที่รถม้า นำเตาอุ่นชาออกมา แล้วจัดการนำเข็มเงินออกมา เผาไฟให้มันร้อน การฝังเข็มเช่นนี้ นั่นหมายความว่าร่างกายของพี่เถาเถา ได้รับพิษหรือเส้นลมปราณเกิดบาดเจ็บรุนแรง เกาจูมีสีหน้าเคร่งเครียด นักฆ่าพวกนี้มีฝีมือระดับสูง ทว่าเถาเถา ที่มีช่วงวันนั้นของสตรี ต้องใช้พลังไปมาก ทำให้เส้นลมปราณบาดเจ็บหนัก แต่ที่น่ากลัวคือถ้าทำให้นางตื่นขึ้นไม่ได้ในสองชั่วยาม นางอาจไม่มีดอกาสได้ตื่นขึ้นมาได้เลย นางได้รับบาดเจ็บภายในมาก่อนหน้า ซึ่งเรื่องนี้มิได้บอกแก่ผู้เป็นนาย สิ่งที่เขาทำได้คือปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาให้ได้เท่านั้น “คุณหนู คนที่ส่งมามิใช่คนของท่านกั๋วกงขอรับ” ฉู่เฟยรีบเข้ามารายงาน เมื่อรู้ที่ไปที่มาของคนร้าย ซึ่งครั้งนี้นับว่าโชคดีนัก ที่จิ้งอ๋องอยู่ร่วมในคณะ แม้ยังไม่เผยตัวตนก็ตามที “ส่งสาสน์ให้ทางนั้น ส่งของขวัญไป ข้ามักตอบแทนน้ำใจของผู้อื่นเสมอ ถ้าเถาเถาเป็นอันใดไป ข้าจะมอบให้มากกว่านี้อีกหลายเท่า”
ทางด้านถนนหลัก ชายสวมหน้ากาก ยืนอยู่เหนือร่างของคนที่หมายเอาชีวิตเขา แววตาที่มองคนใต้ฝ่าเท้า ไร้ซึ่งความเห็นใจหรือเมตตาใด ๆ ทว่ามันล้วนเต็มไปด้วยความเย็นชา จนคนที่กำลังหายใจรวยริน ต้องพิจารณาสายตานั้นอีกครั้ง ไม่นะ! เป็นเขาไปได้อย่างไร ชายผู้ไม่ใส่ใจใคร กลับมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อนาง... “ไยไม่ทำให้ได้อย่างปากเจ้าว่าเล่า เอาชีวิตข้า และหัวของนาง” น้ำเสียงที่เย็นเยียบ เอ่ยออกมาด้วยความเนิบช้า สำหรับเขาแล้วสวะเหล่านี้ มีค่าอันใดให้เขาต้องเสียเวลา หากไม่เพราะเขาอยู่ตรงนี้ ในฐานะขององครักษ์ มันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด ที่ต้องลงมือด้วยตนเอง “ทะ...เอ่อ...” ถงเมิ่งชี อยากที่จะเรียกคนตรงหน้า ด้วยตัวตนจริงยิ่งนัก แต่เพราะเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยตัวตน จึงไม่อาจที่จะเอ่ยปากออกมาได้ “เจ้าอาการไม่น่าจะไหวนะ” ชายสวมหน้ากากเอ่ยกับองครักษ์หนุ่ม ด้วยสภาพของถงเมิ่งชี มันย่ำแย่ไม่น้อยเลย แต่ก็ต้องยอมรับใจนักสู้ขององครักษ์หนุ่ม ที่ไม่ว่าอย่างไร ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี “เจ้าอยากตาย! ทำไมไม่บอกข้าแต่แรก ข้าจะได้ไม่เสียเวลาช่วยเจ้า”
“ทำไมหรือ หน้าข้ามีสิ่งใดเปื้อนหรือไม่”หญิงสาวยกมือขึ้น แตะที่ใบหน้าเบา ๆ ทว่าสายตาของนางนั้น มันคือความเย็นเยียบของพยัคฆ์ร้าย ที่กำลังจงใจเล่นกับเหยื่อ“จับนางกลับไปให้ท่านหัวหน้าซะ!”หนึ่งในสาวชายชุดดำ ที่ยังคงรอดชีวิต จากน้ำมือสาวใช้ ตะโกนสั่งเสียงเข้ม โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ สหายของตนเองกำลังตกที่นั่งลำบาก ฟึ่บ! และในพริบตา เพียงพัดในมือถูกสะบัดออกไป ลมหายใจของชายชุดดำ ก็พลันหยุดลง และภาพนั้นก็ชัดต่อสายตา ของคนที่ควบม้ากลับมา โดยมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ด้านหน้าโม่เชี่ยหาน แสร้งไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น คงเพราะแบบนี้ที่ท่านอ๋อง ไม่ยินดีจะยกเลิกการแต่งงาน เพราะพระชายาคือสิ่งล้ำค่า เกินกว่าที่ใคร ๆ จะทันคาดคิด ว่านางจะมีอีกด้านที่น่าหวั่นเกรง“พี่หญิงมิได้โหดร้ายนะขอรับ”หลินเสวียนรีบแก้ต่างให้คนเป็นพี่ เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าอาวุธ ก็คงเป็นจิตใจของผู้คน เรื่องนี้ทั้งพ่อแม่บุญธรรม และท่านพี่ทั้งสอง มักจะบอกแก่เขาอยู่เสมอ เขากลัวว่าถ้าคนจวนอ๋องเห็นอีกด้านของนาง จะคิดทำร้ายนางเอาได้“ข้าน้อยได้เห็นสิ่งใดขอรับ”โม่เชี่ยหาน ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่แปลกใจเลยที่พระชายาจะรักน้องชายมาก เพราะคุ
“พี่หญิง อย่าตามมาขอรับ” หลินเสวียน หันกลับไปเห็นพี่สาวพุ่งตามมาติด ๆ ความเป็นห่วงพุ่งขึ้นมาภายในใจ นางอาจถูกทำร้ายในจังหวะนี้ก็เป็นได้ เขามันช่างไรสามารถนัก แค่ขี่ม้ายังควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ แล้วเขาจะปกป้องผู้ใดได้ ไหนจะพี่สาวของเขา ที่กำลังวิ่งออกมาพบอันตราย เพราะตัวเขาเอง “ปิดตาม้าเอาไว้!” หลินมู่เสวี่ย ตะโกนไล่หลังน้องชายไปอย่างสุดเสียง เพื่อให้น้องชายหยุดม้าให้ได้ ก่อนที่มันจะพาเตลิดไปจนเกิดอันตราย หลินเสวียน ฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงคำสอนของพี่ชาย ตอนที่พี่ใหญ่สอนเขาขี่ม้า เด็กหนุ่มตวัดชายเสื้อ ให้ปิดดวงตาของข้างของม้า โดยที่ตัวเขาแนบกายไปกับแผงคอของมัน พร้อมกับทำเสียงปลอบโยนมัน เพื่อให้มันสงบลง ทว่าทางด้านของหลินมู่เสวี่ย กลับต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อมีเงาร่างในชุดดำ กว่าห้าคน พุ่งมาขวางหน้าเอาไว้ หญิงสาวไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ดวงตาของนางยังคงมองเลยไปยังน้องชาย ด้วยความห่วงใยเช่นเดิม สำหรับนางแล้วคนทั้งห้าก็เพียงฝุ่นผงเท่านั้น จะมากฝีมือแค่ไหน นางก็ไม่คดที่จะละเว้นแต่แรกอยู่แล้ว เห็นทีนางคงต้องเร่งเข้าเมืองหลวง เพื่อมอบของขวัญให้สกุลกั๋วกงเส
“นางคือของข้า”ชายคนเดิมชี้ตรงไปที่ว่าที่พระชายาจิ้งอ๋อง ด้วยแววตาของนักล่า ที่พบเหยื่ออันโอชะ โดยที่เขาไม่รู้เลย ว่าคนที่กำลังจะกลายเป็นเหยื่อ คือตัวเขาเอง“กำแหง!”โม่เชี่ยหาน ตวาดเสียงกร้าว เมื่อเห็นสายตาของนักฆ่า ที่มองไปยังนายหญิงของเขา มันช่างเป็นแววตาของเดรัจฉานอย่างแท้จริง“ฮ่า ๆ ไม่คิดว่าวันนี้จะได้พบกันซึ่งหน้า กับยอดองครักษ์จวนจิ้งอ๋อง โม่เชี่ยหาน ชายผุ้เป็นดั่งแขนขาของลู่หย่งไท้”“สามหาว! เจ้ากล้าเอ่ยนามท่านอ๋องเยี่ยงนั้นได้อย่างไร”“ที่นี่มันเป็นบ้านป่าโม่เชี่ยหาน เจ้าจะมาเอากฎเกณฑ์ใดต่อการเอ่ยชื่อ และต่อให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะยังคงเรียกเช่นเดิม”“เจ้า!”ทว่าก่อนที่โม่เชี่ยหานจะได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายสวมหน้ากากครึ่งท่อน ได้เดินมาแตะที่ไหล่ของเขาเบา ๆ เพื่อให้สงบลงเสีย สายตาที่เต็มไปด้วยประกายสนุกสนาน มองไปยังคนพูด ก่อนเรียวปากจะคลี่ออกน้อย ๆ ซึ่งนั่นเป็นการกระตุ้นความไม่พอใจของชายชุดดำ แม้ใบหน้าครึ่งบนจะถูกปิดทับ แต่ก็ยังคงเห็นสายตา บวกรอยยิ้มเมื่อครู่นั่นอีก มันทำให้โทสะในกายพลุ่งพล่านยิ่งนัก“หึ ๆ เจ้าอยากได้หัวพระชายาหรือ แค่รอยยิ้มของข้า เจ้ายังมีโทสะ แล้วแบบนี
“ข้าผิดตรงไหนกัน”เมื่อเห็นโทสะของอีกฝ่าย พุ่งพล่านจากคำพูดของเขา องครักษ์หนุ่มมีหรือจะปล่อยผ่าน เขายิ่งรู้สึกสนุก ที่จะได้กลั่นแกล้งอีกฝ่าย บางทีนี่อาจเป็นการแก้เบื่ออีกอย่างหนึ่งก็เป็นได้“ตรงที่เจ้าพูด และทุกตรง”เกาจูตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเช่นเดิม และการโต้เถียงก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั้งเกาจูเอง ลืมเลือนเรื่องที่ศิษย์รักออกไปขี่ม้ากลางแจ้ง ถงเมิ่งชีทำเพียงกลั้นขำเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุผลใดกันแน่ ที่อีกฝ่ายชิงชังเขา แม้แต่หายใจยังผิด แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่เหงาอีกตอไปฮี่! ฮี่! จนกรทั้งได้ยินเสียงม้าตื่น นั่นจึงทำให้ทั้งคู่สงบคำ แล้วพุ่งตัวไปที่หน้าต่างรถม้า คนเจ็บก้ลืมความเจ็บ ด้วยสัญชาตญานของผู้ปกป้อง ภาพที่เห็นคือกลุ่มคนจำนวนมาก ที่โอบรอบคระเดินทางเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าหากนับตามจำนวนคนแล้ว ผู้มาเยือนมีจำนวนที่เหนือกว่า อีกมั้งร่างกายยังสมบูรณ์พร้อม ต่างจากพวกเขาที่มีคนเจ็บเสียเป็นส่วนใหญ่“เจ้าอยู่ที่นี่”เกาจูไม่ได้ต้องการฟังคำปฏิเสธ เพราะนี่คือคำสั่ง ก่อนที่เขาจะคว้าเอาแส้คู่ใจ พุ่งหายลงไปจากรถม้า องครักษ์หนุ่ม ควานหายาแก้ปวดมากินไปหล







