“หากคุณหนูมิรังเกียจ หญิงชราผู้นี้ก็น้อมรับเจ้าค่ะ สวี่เอ๋อร์ นับจากนี้เจ้าต้องเชื่อฟังคุณหนู อย่าได้ให้ผู้ใดกล่าวหาสกุลชูเรา ว่าเป็นผู้มิรู้คุณ”
หญิงชราดึงหลานชายให้นั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะบอกกล่าวหลานชาย วัยใกล้ลงหลุมเยี่ยงนาง มีคนช่วยเมตตาหลานชาย มิว่าจะแท้จริง หรือคุณหนูแม่ทัพผู้นี้ ต้องการให้เขาไปเป็นเพียงคนรับใช้ นางก็ยินดีทั้งสิ้น ขอแค่เขามีที่อยู่ได้กินอิ่มท้อง มิต้องเร่ร่อน ในวันที่ไร้นางบนโลกนี้ เท่านี้นางก็พอใจมากแล้ว
“ยังไม่เรียกข้าว่าพี่หญิงอีกหรือ”
มู่เสวี่ย ทักท้วงเด็กชายผู้ฝีปากกล้าทันที นางไม่รู้หรอก ว่าทำไม จึงรับเด็กคนนี้เป็นน้องบุญธรรม แทนที่จะให้เป็นเพียงเด็กรับใช้ คงอาจเพราะในชาติที่แล้ว น้องชายของนางตอนนั้น ก็อายุเท่านี้เช่นกัน เมื่อนึกถึงน้องชายในชาติที่แล้ว ดวงตาคู่งามก็ไหวระริก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนั้น เจ้าตัวแสบ ได้ตามนางมาดูการทำงาน
ฉากสุดท้ายของชีวิต มีหรือจะไม่ติดตาน้องชายของนางในอีกโลก ป่านนี้เขาคงเติบโตเป็นหนุ่มรูปงาม และนางหวังยิ่งนัก ว่าการตายในอีกโลกของนาง จะไม่เป็นรอยด่างในใจของน้องชาย เจ้าเด็กลูกหลงคนนั้น เป็นแก้วตาดวงใจของคนทั้งบ้าน หากโตมาพร้อมความเจ็บปวด มันคงไม่เป็นผลดีต่อเขาอย่างแน่นอน
“ชูสวี่ คารวะพี่หญิงขอรับ” เด็กชายขยับเปลี่ยนท่าเป็นคุกเข่า แล้วคำนับหญิงสาวสูงศักดิ์ เป็นพี่สาวของตนเอง
“ไม่คิดว่าการเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เราจะมีคุณชายน้อยติดตามไปด้วย หึๆ”
หนึ่งในสององครักษ์เอ่ยขึ้น พร้อมกับหัวเราะในลำคอ แม้ว่าท่าทางและน้ำเสียงของชายหนุ่ม จะดูดุดันไปสักหน่อย ทว่าแววตาของเขานั้น กลับแฝงไปด้วยความเอ็นดูในตัวเด็กชาย หากไร้วาสนา มีหรือนายสาวจะเหลียวมอง เด็กขอทานยากไร้มีมากมาย แต่ผู้เป็นนายกลับไม่สนใจใครเลย แต่เด็กคนนี้นางกลับหาได้เลยผ่านไปเช่นที่เคย นั่นแสดงว่าในตัวเด็กคนนี้ต้องมีสิ่งที่พวกเขา ยังมองไม่เห็นเช่นที่นายหญิงเห็น
“ท่านพี่ฉู่ อีกไกลหรือไม่เจ้าคะ เราจะถึงที่พักข้างหน้า” มู่เสวี่ยเอ่ยถามองครักษ์ผู้อายุมากสุดในคณะ
“เรียนคุณหนู อีกไม่ไกลขอรับ”
“เช่นนั้นเราออกเดินทางกันต่อเถิด ท่านยายกับน้องชายข้า จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พักผ่อนก่อนเดินทางไกล”
“ขอรับ”
“คุณหนู ข้านั้นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ปล่อยข้าไว้ที่หมู่บ้านข้างหน้า ท่านนำเพียงสวี่เอ๋อร์ไปเถิดเจ้าค่ะ จะได้ไม่เป็นภาระของคุณหนู” หญิงชรารีบบอกก่อนที่จะมีการเดินทาง นางแก่ชรามากแล้ว มิอยากเป็นภาระของผู้ใด หรือถ่วงรั้งชีวิตของหลานชาย
“เขายังต้องการคนคอยอบรม ตัวข้าแม้จะเป็นสตรี แต่ก็ยังไม่มีบุตร ย่อมมิรู้การสอนเด็กเท่าใดนัก ท่านยายไปด้วย จะเป็นภาระอันใด ไหนท่านเคยบอก ว่าจะเข้าเมืองหลวงทำงาน นี่อย่างไรเล่างานของท่าน ช่วยข้าขัดเกลาสวี่เอ๋อร์ ให้เป็นคุณชายผู้เพียบพร้อม คู่ควรต่อการเป็นสกุลหลินแห่งเมืองตะวันตก นับจากวันนี้เขาคือหลินสวี่ แม้มิได้แซ่ชู ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทอดทิ้งสกุลชูของท่าน แต่เป็นสกุลชู ที่ทิ้งท่านสองยายหลานมิใช่หรือ”
เอ่ยจบร่างงามก็ลุกขึ้น ส่งสัญญาณให้เถาเถา ช่วยพาหญิงชราขึ้นรถม้า แม้ว่ากลิ่นกายและกลิ่นจากเสื้อผ้าของสองยายหลาน จะไม่ค่อยสบายจมุกของนางนัก แต่มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะนางมาจากโลกอนาคต จึงมักต้องอาบน้ำในทุกวัน เว้นแต่สถานที่หรือหาน้ำไม่ได้มากนัก นางก็ต้องเช็ดเนื้อตัวให้ไร้กลิ่นอยู่เสมอ และคนของนางก็ต้องทำเช่นเดียวกัน มันคือกฎที่นางตั้งบไว้
หญิงชราเข้าใจในคำพูดของหญิงสาวดี ใช่แล้วนางไปร้องขอความช่วยเหลือจากสกุลชู ที่เป็นสายหลักและญาติ เพื่อหวังพึงพิงยามยาก แต่พวกเขากลับขับไล่นางสองยายหลาน ประหนึ่งสุนัขตัวเหม็นเน่า เช่นนั้นแล้วหากหลานชายของนาง ได้มีชื่อในสกุลที่ใหญ่กว่า ไยนางต้องตัดเส้นทางอนาคตของหลานชายด้วย
แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไม คุณหนูสกุลแม่ทัพ จึงเชื่อใจคนง่ายเช่นนี้ แต่นางก็นับว่าชีวิตมิสิ้นโชคชะตา ที่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเหนือความคาดหมาย คงเพราะคุณหนูหลิน ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี จิตใจของนางจึงอ่อนไหว กับความทุกข์ยากของผู้อื่นก่อนเสมอ แต่การที่คุณหนูใจดีจนเกินไป ย่อมเป็นอันตรายในภายหน้า ยิ่งก้าวสู่ราชวงศ์ อันตรายรอบด้านนัก เพื่อตอบแทนคุณ นางจะติดตามดูแลรับใช้คุณหนูหลินให้ดี ในฐานะบ่าวชรา
เมืองชุ่ย
รถม้าจวนแม่ทัพตะวันตก เคลื่อนไปหยุดยังโรงเตี๊ยมชื่อดังของเมือง มิใช่ว่านางพักในที่เล็ก ๆ ไม่ได้ เพียงแต่ความปลอดภัยนั้นจะต่างกันออกไป เพราะที่ราคาถูกผู้คนที่เขาพัก ย่อมมีฐานะอีกแบบ แน่นอนว่าความวุ่นวายจะมาก แต่ที่ราคาสูงหน่อย มักมีโจรคอยจับจ้องผู้เข้าพัก แต่การดูแลก็จะเข้มงวดไปด้วย
และต่อให้มีโจรคิดปล้นชิง ก็จะยังมีความปลอดภัยตรงที่ ผู้เข้าพักล้วนมีฐานะ จึงมีผู้ติดตามมากฝีมือ จะได้มิต้องแบกรับความเสี่ยงเพียงลำพัง กระจายความเสี่ยงกันให้ทั่วถึง ย่อมเป็นการดีมิใช่หรือ
“นายท่านต้องการห้องพัก หรือแค่แวะกินข้าวขอรับ”
เสี่ยวเอ้อรีบวิ่งเข้ามาถามชายหนุ่ม ผู้มีใบหน้าดุดัน ด้วยท่าทีนอบน้อม ทว่าสายตานั้น กลับหลุกหลิกไม่นิ่งเอาเสียเลย แต่ชายหนุ่มก็หาได้ใส่ใจ ยังคงทำตัวเหมือนคนหยิ่งผยองมั่นใจในฝีมือตนเอง ทว่าในความเย่อหยิ่งนั้น กลับสำรวจทุกอย่างจนครบในเวลาอันรอดเร็ว โดยที่คนในร้ายมิทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
“ค้างคืน ต้องการทั้งหมดสามห้อง”
“เช่นนั้นเชิญด้านในขอรับ”
ชายหนุ่มก้าวตามเข้าไปข้างใน โดยที่นายสาวและคุณชายน้อยคนใหม่ รวมถึงหญิงชราและเถาเถาเดินตามเข้าไป ปิดท้ายด้วยองครักษ์อีกคน ส่วนคนขับรถม้านั้น เขาเลือกที่จะอยู่กับรถม้าของเขา ไม่ขอพักในห้องเช่นผู้ติดตามอื่น
เพียงมีหญิงสาวก้าวเข้าไปภายในร้าน ทุกสายตาของบุรุษมากหน้าหลายตา ก็เหลียวมองหญิงสาวทั้งสอง ด้วยดวงตาที่หื่นกระหาย ทว่าสำหรับสองนายบ่าวแล้ว พวกนางมิได้ตื่นเต้นอันใด
“ท่านพี่ฉู่ รบกวนเรื่องเสื้อผ้า ของสวี่เอ๋อร์กับท่านยายด้วยเจ้าค่ะ ให้พวกเขาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ แล้วค่อยลงมากินข้าวพร้อมกัน”
“ขอรับ”
ฉู่เฟยรับคำก่อนจะมองสองยายหลานเพียงแวบเดียว แล้วก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปในทันที เพื่อจัดหาสิ่งที่เหมาะแก่ฐานะ ของเด็กชายและหญิงชรา ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
“เตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบ ให้แก่ทั้งสามห้องด้วย”
อู๋เหล่ยวางเงินลงบนโต๊ะ ตรงหน้าเถ้าแก่ของร้าน ก่อนจะให้เสี่ยวเอ้อนำทางทุกคนขึ้นไปชั้นสอง ซึ่งเป็นที่พักของทุกคน แน่นอนว่าหญิงชราเห็นทุกสายตา ที่จับจ้องมายังคุณหนูและสาวใช้ มันช่างเต็มไปด้วยความน่ารังเกียจนัก!
“ท่านยายอย่าได้ใส่ใจต่อสายตาเหล่านั้นเลย เดี๋ยวข้าจะให้เถาเถา ไปช่วยอาบน้ำให้ท่าน ส่วนสวี่เอ๋อร์ เจ้าไปอาบน้ำที่ห้องของท่านพี่อู๋ และท่านพี่ฉู่ก่อน ตอนนอนค่อยมานอนกับท่านยาย”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
ทั้งหมดแยกย้ายกันเข้าห้อง โดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกตรอยยิ้มของเสี่ยวเอ้อ ที่มองหญิงงามที่ปกปิดใบหน้า ด้วยผ้าคาดสีหวาน แค่เพียงดวงตาก็บอกได้แล้ว ว่างามงามนัก
“หากคุณหนูมิรังเกียจ หญิงชราผู้นี้ก็น้อมรับเจ้าค่ะ สวี่เอ๋อร์ นับจากนี้เจ้าต้องเชื่อฟังคุณหนู อย่าได้ให้ผู้ใดกล่าวหาสกุลชูเรา ว่าเป็นผู้มิรู้คุณ”หญิงชราดึงหลานชายให้นั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะบอกกล่าวหลานชาย วัยใกล้ลงหลุมเยี่ยงนาง มีคนช่วยเมตตาหลานชาย มิว่าจะแท้จริง หรือคุณหนูแม่ทัพผู้นี้ ต้องการให้เขาไปเป็นเพียงคนรับใช้ นางก็ยินดีทั้งสิ้น ขอแค่เขามีที่อยู่ได้กินอิ่มท้อง มิต้องเร่ร่อน ในวันที่ไร้นางบนโลกนี้ เท่านี้นางก็พอใจมากแล้ว“ยังไม่เรียกข้าว่าพี่หญิงอีกหรือ”มู่เสวี่ย ทักท้วงเด็กชายผู้ฝีปากกล้าทันที นางไม่รู้หรอก ว่าทำไม จึงรับเด็กคนนี้เป็นน้องบุญธรรม แทนที่จะให้เป็นเพียงเด็กรับใช้ คงอาจเพราะในชาติที่แล้ว น้องชายของนางตอนนั้น ก็อายุเท่านี้เช่นกัน เมื่อนึกถึงน้องชายในชาติที่แล้ว ดวงตาคู่งามก็ไหวระริก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนั้น เจ้าตัวแสบ ได้ตามนางมาดูการทำงานฉากสุดท้ายของชีวิต มีหรือจะไม่ติดตาน้องชายของนางในอีกโลก ป่านนี้เขาคงเติบโตเป็นหนุ่มรูปงาม และนางหวังยิ่งนัก ว่าการตายในอีกโลกของนาง จะไม่เป็นรอยด่างในใจของน้องชาย เจ้าเด็กลูกหลงคนนั้น เป็นแก้วตาดวงใจของคนทั้งบ้าน หากโตมาพร้อมความเจ
“ไยข้าจะไม่กล้า ในเมื่อเราร้องขอเมตตาอย่างผู้อับจนหนทาง แต่ท่านกลับใช้สายตาและคำพูดเย้นหยันอยู่ในที แม้เราจะยากไร้แต่เราก็มีหัวใจ” เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉาน สายตาไม่ลอกแลก แต่มันกลับแน่วแน่ “หึ ๆ เถาเถา เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าข้าถูกเจ้าหนูตัวน้อยตำหนิ” “เจ้าค่ะ” “ชูสวี่ ยายสอนให้เจ้าเป็นคนไร้มารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” “ท่านยาย ถึงข้าต้องกรีดเลือด เฉือนเนื้อให้ท่านดื่มกิน ข้าก็ยินดีทำอย่างไม่ลังเล แต่จะให้ข้าทนเห็นท่านยายถูกเหยียดหยาม ข้ามิอาจทนได้ขอรับ” เด็กชายวัยเพียงหกขวบ ไม่น่าจะเกินนี้ กล้าที่จะพูดและมีความคิดที่ใหญ่โต แสดงว่าภูมิหลังสกุลชู คงไม่ใช่ยากไร้ตั้งแต่แรก หาไม่แล้วคงสอนเด็กน้อยคนนี้ ให้มีความคิดอ่านที่ฉะฉานได้ “คุณหนูหลานชายข้าน้อยยังเด็กนัก ได้โปรดเมตตาเขาสักครั้ง อย่าได้เอาผิดเขาเลยนะเจ้าคะ” “มาทางนี้เถอะ ข้าเมื่อยขา มานั่งคุยกันสักหน่อย” หลินมู่เสวี่ยมิได้ตอบรับ หรือปฏิเสธคำของหญิงชรา แต่เลือกที่จะเดินไปนั่งใต้ร่วมไม้ โดยส่งสัญญาณให้องครักษ์หนุ่ม ช่วยพยุงหญิงชราให้ลุกขึ้นเดินตามมา
เจ็ดปีต่อมา ณ เส้นทางสู่เมืองหลวง รถม้าคันใหญ่เคลื่อนผ่านไปตามถนน ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่อย่างเอื่อยเฉื่อย ดูไม่ได้เร่งร้อน ที่จะไปให้ถึงจุดหมายโดยไว เช่นผู้เดินทางอื่นๆ หญิงงามในชุดแพรพรรณชั้นดี บอกได้ว่านางเกิดมาในครอบครัวของผู้มีอันจะกิน ความงามที่เฉิดฉายของนาง หากใครได้ยลก็เสมือนต้องมนต์สะกด เรียกว่าเป็นความงามที่ล่มเมืองเลยก็ว่าได้ “คุณหนูแตงโมเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกาย ได้ยื่นจานแตงโมเนื้อแดงหวานฉ่ำ ให้แก่นายสาว แน่นอนว่าแดนตะวันตก มีพ่อค้าต่างแดนเข้าออกมากมาย สินค้าใดที่ล้ำค่าราคาแพงในเมืองหลวง คนที่อยู่ชายแดน จะได้รับมันก่อน ในราคาที่ย่อมเยากว่าหลายเท่านัก “ขอบใจเจ้ามากเถาเถา เจ้าก็กินเสียด้วยกันเลย” หญิงสาวยื่นมือไปหยิบไม้เล็ก ๆ ก่อนจะนำไปจิ้มแตงโมชิ้นพอดีคำ ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย อากาศที่อบอ้าว ได้กินแตงโตที่เต็มไปด้วยน้ำเช่นนี้ มันสดชื่นเสียนี่กระไร อ๊ะ! ทว่าก่อนที่จะจิ้มแตงโมชิ้นต่อไป หญิงสาวต้องรีบหาที่คว้าจับ มิให้ร่วงลงจากที่นั่ง เมื่อรถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน “มีเรื่องอันใด ไยจึงหยุดกะทันหันเช่นนี้ คุณหนูเก
“โอ๊ะ! บ้าบอทำไมปวดหัวขนาดนี้” จวิ๋นมู่ ยกมือขึ้นวางบนหัวของตัวเอง ก่อนจะลืมตาขึ้น เธอจดจำทุกอย่างได้ และมีความทรงจำของใครอีกคน ชัดเจนอยู่ในหัว เหอะ! นึกว่ามีแค่ในหนังในละคร เธอมาอยู่ในร่างของคนเป็นโรคหัวใจ แล้วยังคนละยุคสมัย กับที่เธอคุ้นเคย เรื่องเดิมๆ ที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาในชีรี่ย์ดังหลายๆ เรื่อง แต่ก็นะ...ในเมื่อสวรรค์ให้โอกาส ก็ต้องใช้มันให้คุ้ม “ลูกแม่! เจ้าฟื้นแล้ว ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” หลินฮูหยิน รีบหันไปยื่นถาดยาให้มือให้สาวใช้ แล้วรีบก้าวยาวๆ ตรงไปหาบุตรสาวบนเตียง แค่เห็นว่าลูกลืมตา ใจของมารดาเช่นนาง ก็คลายความหวาดกลัวไปมากทีเดียว ร่างที่ยังคงงดงามของหลินฮูหยิน ค่อยๆ รีบนั่งลงขอบเตียง ก่อนจะคว้ามือบุตรสาวมากุมเอาไว้ ส่วนคนบนเตียง ที่กำลังพยายามเรียบเรียง ทุกความเป็นตัวตน ของคุณหนูจวนแม่ทัพ เธอทำได้เพียงแค่ยิ้ม ให้กับคนที่เรียกเธอว่าลูก ก่อนจะคิดคำพูด ที่จะไม่สร้างความคลางแคลงใจ ในความเปลี่ยนไปของคุณหนูหลินผู้นี้ “ท่านแม่ เอ่อ...ข้าหลับไปนานเท่าใดเจ้าคะ” หญิงสาวถามออกมาได้ในที่สุด ทว่าเสียงที่เปล่งออกมา มันช่างแหบแห้งน
จวนแม่ทัพตะวันตก อาชาสีดำตัวใหญ่ ถูกรั้งให้หยุดลงยังหน้าจวน ก่อนที่ชายสูงวัยที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูบานใหญ่ จะวิ่งตรงออกมาหา “ลูกพ่อ!” ท่านแม่ทัพเรียกบุตรสาวเสียงหลง เมื่อเห็นว่าเวลานี้ นางไร้สติอยู่ในอ้อมแขนของบุตรชาย ท่านแม่ทัพรับร่างบุตรสาวลงจากหลังม้า ก่อนจะรีบหมุนกายเดินกลับเข้าไปในจวน “เสวี่ยเอ๋อร์ลูกแม่!” หลินฮูหยินเรียกบุตรสาว ด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะวิ่งตามหลังสามีกลับเข้าไปในจวน นางที่เพิ่งได้สติ จากการเป็นลมไป หลังได้รับข่าวว่าบุตรสาวหายตัวไป “หมอเร็วเข้าช่วยลูกข้าด้วย” ท่านแม่ทัพตะโกนเรียกหมอประจำตระกูล ซึ่งมาดูแลอาการของหลินฮูหยิน รีบวิ่งตามเจ้าของบ้านไป สีหน้าของหมอชรา เต็มไปด้วยความตึงเครียด ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าบ้านทั้งสาม มีความตื่นกลัว ความกดดันของเขาก็มากตามไปด้วย คุณหนูหลินนั้น มีโรคหัวใจมาแต่กำเนิด แค่ออกแรกเล็กน้อย นางยังล้มป่วยไปหลายวันเลย แล้วสภาพของนางในตอนนี้ ไม่น่าจะทนไหว...หลินเสวี่ยหลง ที่วิ่งตามพ่อแม่เข้าไปภายในเรือน มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ ก่อนที่เข้าจะเดินตรงไปยังสาวใช้คนสนิทของน้องสา
เมืองหลวง ณ จวนจิ้งอ๋องลู่หย่งไท้ ร่างสูงในชุดสีดำ ก้าวตรงเข้าไปในตัวเรือนหลังใหญ่ จวนอันเงียบสงบ ไร้พี่น้องพ่อแม่อยู่ร่วม ทว่ากลับเป็นที่หมายตาของสตรีทั่วเมืองหลวง ที่อยากจะมาเป็นสตรีหนึ่งเดียวในจวนแห่งนี้ ทว่าเจ้าของจวนกลับเมินเฉยต่อเรื่องนั้น จนกระทั้งมีพระเสาวนีย์ จากองค์ไท้เฮา ถึงการหมั้นหมาย ที่มีกับบุตรสาวคนโต ของแม่ทัพตะวันตกหลินมู่เฉียว ซึ่งตามข่าวลือ นางคือบุตรสาวที่ติดท้องมารดา ซึ่งได้หย่าขาดกับท่านเจียงกั๋วกง “ท่านอ๋อง ท่านกั๋วกงได้ส่งเทียบเชิญ ให้ท่านอ๋องไปร่วมมื้อค่ำในวันพรุ่งนี้ขอรับ” พ่อบ้านชราถือเทียบเชิญจากจวนกั๋วกง ก้าวตามนายตนเข้าไปในเรือน ตามจริงเขาจะปฏิเสธแทนผู้เป็นนายก็ย่อมได้ แต่เพราะเจียงกั๋วกง คือบิดาโดยสายเลือดของว่าที่พระชายาเอก เขาจึงไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามทำสิ่งใดโดยไม่ได้รับเห็นชอบจากผู้เป็นนาย “ทุกครั้งท่านทำเยี่ยงไร ไยครานี้จึงต้องมาถึงมือข้าด้วยเล่า”อ๋องหนุ่มย้อนถามพ่อบ้านของตน ซึ่งโดยปกติเรื่องแค่นี้ ย่อมไม่ผ่านเลยมาถึงมือเขา ให้ต้องเสียเวลาตัดสินใจ “แต่ท่านกั๋วกง คือบิดาแท้ๆ ของว่าที่พระชายา ข