Войтиเมืองหลวง ณ จวนจิ้งอ๋องลู่หย่งไท้
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดสีดำขลิบชายด้วยลวดลายสีทอง ก้าวตรงเข้าไปในตัวเรือนหลังใหญ่ จวนอันเงียบสงบ ไร้พี่น้องพ่อแม่อยู่ร่วม ทว่ากลับเป็นที่หมายปองของสตรีทั่วเมืองหลวง ที่อยากจะมาเป็นสตรีหนึ่งเดียวในจวนแห่งนี้
ทว่าเจ้าของจวนกลับเมินเฉยต่อเรื่องนั้น จนกระทั้งมีพระเสาวนีย์ จากองค์ไท้เฮา ถึงการหมั้นหมาย ที่มีกับบุตรสาวคนโต ของแม่ทัพตะวันตกหลินมู่เฉียว ซึ่งตามข่าวลือ นางคือบุตรสาวที่ติดท้องมารดา ซึ่งได้หย่าขาดกับท่านเจียงกั๋วกงไป
“ท่านอ๋อง ท่านกั๋วกงได้ส่งเทียบเชิญ ให้ท่านอ๋องไปร่วมมื้อค่ำในวันพรุ่งนี้ขอรับ”
พ่อบ้านชราถือเทียบเชิญจากจวนกั๋วกง ก้าวตามนายตนเข้าไปในเรือน ตามจริงเขาจะปฏิเสธแทนผู้เป็นนายก็ย่อมได้ แต่เพราะเจียงกั๋วกง คือบิดาโดยสายเลือด ของว่าที่พระชายาเอก เขาจึงไม่กล้าที่จะบุ่มบ่าม ทำสิ่งใดโดยไม่ได้รับเห็นชอบจากผู้เป็นนาย
“ทุกครั้งท่านทำเยี่ยงไร ไยครานี้จึงต้องมาถึงมือข้าด้วยเล่า”
อ๋องหนุ่มย้อนถามพ่อบ้านของตน ซึ่งโดยปกติเรื่องแค่นี้ ย่อมไม่ผ่านเลยมาถึงมือเขา ให้ต้องเสียเวลาตัดสินใจ เพราะเขาไม่ชื่นชอบไปนั่งเป็นเป้าสายตาของผู้ใด โดยเฉพาะเหล่าสตรีที่หมายจะแต่งเข้าจวน
“แต่ท่านกั๋วกง คือบิดาแท้ๆ ของว่าที่พระชายา ข้าน้อยจึงไม่อาจตัดสินใจโดยพละการได้ขอรับ” พ่อบ้านชราชี้แจง ถึงสิ่งที่เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ โดยไม่ถามผู้เป็นนายก่อน
“ท่านแม่ทัพหลินมิใช่หรือ ว่าที่พ่อตาข้า จวนกั๋วกง มีค่าอันใดให้ข้าใส่ใจ”
อ๋องหนุ่มเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรด ก่อนจะรับชาร้อนมามาจากองครักษ์หนุ่ม เขาค่อยๆ เป่าไล่ความร้อน ที่ยังกรุ่นอยู่ คล้ายกับชาในถ้วยยังน่าใส่ใจ มากกว่าเทียบเชิญจากจวนกั๋วกง จระกูลที่เกาะเพียงชายกระโปรงสตรี ไม่คู่ควรที่เขาจะเสียเวลาไปคบหา ยิ่งเมื่อนึกถึงคำปฏิเสธของว่าที่พระชายา ถึงสัมพันธ์กับจวนกั๋วกง มันทำให้เขายิ่งไม่ต้องใส่ใจให้เปลืองสมองไตร่ตรอง
“แต่...” พ่อบ้านชราที่ผ่านโลกมามาก รู้ดีว่าจวนกั๋วกงจะไม่หยุดอยู่แค่นี้
“ไม่ไป!”
เป็นคำตอบที่ชัดเจน และหนักแน่น มีหรือเขาจะไม่รู้ ถึงแผนการอันตื้นเขินของคนสกุลเจียง ไม่ได้ตัวคู่หมั้นของเขากลับเข้าจวน ก็หวังใช้เล่ห์กลต่อเขา และตบท้ายด้วยคำว่าศีลธรรม เพื่อบีบบังคับให้เขาทำตาม ง่ายเกินไปไหม...
“ข้าน้อยจะส่งคนไปแจ้งแก่จวนกั๋วกงขอรับ”
ชายชรารู้สึกโล่งใจอยู่มาก ที่ผู้เป็นนายหนักแน่น แม้มิได้รู้จักคุ้นเคย หรือรักใคร่ต่อว่าที่พระชายา แต่อย่างน้อยท่านอ๋องก็รู้ที่จะปกป้องนาง
“ให้คนไปดูด้วย ว่านางเป็นคนเช่นไร”
แม้ว่าการแต่งงาน จะไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววัน ด้วยทางสกุลหลิน ยื่นคำร้องขอต่อไทเฮา ว่าอยากให้บุตรสาวเติบโตมากกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแต่งงานกัน แต่กระนั้นไม่ช้านางก็ต้องเข้ามาอยู่ร่วมจวน เพื่อเรียนรู้ธรรมเนียมของชาววัง เขาจึงอยากรู้จักนางเอาไว้บ้าง ก่อนจะพบหน้ากัน
“ไยเจ้าไม่รู้จักปฏิเสธบ้าง!”
เสียงกร้าวดังขึ้นที่หน้าประตู จะเป็นใครไปไม่ได้ หากมิใช่ชินอ๋องผู้เป็นบิดา เพราะคงไม่มีใครกล้าเข้ามา โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของจวน พ่อบ้านชราเห็นแล้วว่าผู้ใดมาเยือน ชายชราโค้งกายให้แก่ผู้มาใหม่ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกจากห้องไป รวมถึงองครักษ์หนุ่มด้วยเช่นกัน
“เรื่องใดหรือขอรับ”
อ๋องหนุ่มย้อมถามผู้เป็นพ่อ ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเช่นเดิม ก่อนจะก้มมองชาในถ้วยอย่างใส่ใจ เขามิสนว่าจะได้รับสายตาตำหนิหรือไม่ เพราะอย่างไรเขาก็ได้รับมันจนชินชาเสียแล้ว
“เจ้าก็รู้ว่าน้องชายของเจ้า ต้องการผู้สนับสนุน”
เป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมายิ่งนัก บิดาต้องการให้บุตรสาวสกุลหลิน เป็นภรรยาของน้องชายต่างมารดา
“เกี่ยวอันใดกับข้า ในเมื่อทุกวันนี้ลูกเมียน้อยเยี่ยงเขา ก็สุขสบายดี มีตำแหน่งใหญ่โตไว้รองรับ อีกอย่างทุกการตัดสินใจ ล้วนเป็นท่านย่ากับท่านลุง ข้าหรือจะไม่กล้าทำตาม”
เมื่ออีกฝ่ายชัดเจนในสิ่งที่ต้องการ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเช่นเดียวกัน คิดจะแย่งทุกอย่างของเขาไป มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก
“หย่งไท้!”
ชินอ๋องเรียกบุตรชายเสียงกร้าว กรามแกร่งขบกันจนเป็นสันนูน เมื่อเขาถูกประชดประชันจากคนเป็นลูก มันคือการบอกเขากลายๆ ว่าเขาไม่เคยให้สิ่งใดแก่บุตรชายคนโต ก็อย่าได้มาเรียกร้องสิ่งใดจากคนตรงหน้าเช่นกัน
“หากท่านคิดว่าไม่เหมาะสม ก็ไปทูลขอได้นะขอรับ ข้ามิขัด...”
อ๋องหนุ่มช้อนสายตาขึ้นมองผู้เป็นพ่อ ก่อนที่เรียวปากหนา จะเหยียดอกอย่างเย้ยหยัน เพราะบิดาทำไม่สำเร็จอย่างไรเล่า จึงได้มาเดือดดาลอยู่ต่อหน้าเขาเช่นนี้ อยากได้คนหนุนหลังเยี่ยงนั้นรึ! คิดการใหญ่เกินตัว
“เจ้าคิดที่จะเป็นศัตรูกับข้าเช่นนั้นรึ!” ชินอ๋องถามออกไป ด้วยโทสะที่เริ่มจะเพิ่มขึ้น จากเดิมจนแทบระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ
“ไม่เลยขอรับ แต่เพราะเราไม่เคยมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน มาก่อนเลยต่างหาก สิ่งใดที่ท่านคิดว่าไม่คู่ควร ก็สามารถโต้แย้งต่อหน้าพระพักตร์ได้ขอรับ เพราะตัวข้าแม้จะเป็นนัดดาในองค์ฮ่องเต้ แต่ก็เป็นผู้ใต้บัญชามิต่างจากขุนนางอื่น เมื่อนายเหนือหัวมีบัญชา ย่อมต้องปฏิบัติตามมิใช่หรือขอรับ”
ชายหนุ่มหุบยิ้ม พร้อมทั้งจ้องเขม็งตอบกลับบิดา ด้วยแววตาที่เย็นชา จนเหมือนคนไร้ซึ่งหัวใจ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด ในเมื่อเขาเคยเฝ้ารอการเข้าใจมานานจากคนผู้นี้ แต่ชายตรงหน้า นอกจากไม่มีให้เขา ยังปักใจเชื่อว่าเขา คือจุดด่างพร้อยในชีวิต แล้วแบบนี้ยังจะมาเรียกร้องคำว่าพ่อลูกอันใดกับเขาอีกเล่า
“เจ้ากล้าท้าทายข้าที่เป็นบิดา เหอะ! ช่างอกตัญญูนัก!”
เมื่อไม่มีคำใดโต้แย้งคนเป็นลูกได้ ชินอ๋องจึงเริ่มคิดใช้คำว่าศีลธรรมบีบบังคับบุตรชาย เขาไม่เชื่อว่าหย่งไท้ จะเมินเฉยต่อเรื่องนี้ไปได้
“คำนี้อาจใช้กับผู้อื่นได้สำเร็จ แต่ไม่ใช่ข้าที่เป็นเสมือนคนนอกสำหรับท่าน หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ข้าคงต้องขอตัวงพักผ่อนก่อน คนไร้ครอบครัวเยี่ยงข้า ทำงานมาอย่างหนักหน่วงนัก จึงอยากที่จะพักผ่อนให้เพียงพอ”
เป็นคำประชดที่กึ่งไล่แขกที่มิได้เชื้อเชิญ ตามจริงแล้วจวนของเขา แทบไม่มีคนนอกเข้ามามากนัก เพราะเขาไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ชายตรงหน้า เป็นสิ่งที่ทหารยามหน้าประตู ยากจะปฏิเสธได้ คงมีเพียงเขาเท่านั้น ที่จะเชิญคนผู้นี้ออกไปได้
“มันจะมากไปแล้วนะลู่หย่งไท้!”
สองพ่อลูกจ้องตากันนิ่ง ต่างไม่มีใครคิดที่จะยอมหลบ ทว่าความเย็นชาของชินอ๋องหรือจะสู้บุตรชายได้ ลู่หย่งไท้ ที่หล่อหลอมหัวใจมาด้วยความหว่าเหว่ เขาเรียนรู้ที่จะไม่ใส่ใจคนตรงหน้า และคนจากจวนชินอ๋อง จากความเคยชิน กลายเป็นความด้านชาไปเสียแล้ว
“ข้าหวังว่าเจ้าจะทบทวนเสียใหม่”
เมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ ชินอ๋องจำต้องยอมเป็นฝ่ายล่าถอย เพราะมิว่าเขาจะรั้นสู้กับบุตรชายต่อไป ผลที่ออกมาก็ต้องเป็นเขาที่ต้องถอยฉากไปเสีย ความเย็นชาของอีกฝ่าย มันทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ สุดท้ายเขาจะต้องทำเรื่องให้ถูกมารดา และพี่ชายตำหนิ ที่อาจหาญมาแตะต้องหลานรักของทั้งคู่
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าช่วยเผาเข็มให้ข้าเดี๋ยวนี้” แต่ก่อนที่หลินเสวียนจะพูดสิ่งใดต่อ คำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน เด็กหนุ่มไม่คิดรีรอ เขารีบวิ่งไปที่รถม้า นำเตาอุ่นชาออกมา แล้วจัดการนำเข็มเงินออกมา เผาไฟให้มันร้อน การฝังเข็มเช่นนี้ นั่นหมายความว่าร่างกายของพี่เถาเถา ได้รับพิษหรือเส้นลมปราณเกิดบาดเจ็บรุนแรง เกาจูมีสีหน้าเคร่งเครียด นักฆ่าพวกนี้มีฝีมือระดับสูง ทว่าเถาเถา ที่มีช่วงวันนั้นของสตรี ต้องใช้พลังไปมาก ทำให้เส้นลมปราณบาดเจ็บหนัก แต่ที่น่ากลัวคือถ้าทำให้นางตื่นขึ้นไม่ได้ในสองชั่วยาม นางอาจไม่มีดอกาสได้ตื่นขึ้นมาได้เลย นางได้รับบาดเจ็บภายในมาก่อนหน้า ซึ่งเรื่องนี้มิได้บอกแก่ผู้เป็นนาย สิ่งที่เขาทำได้คือปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาให้ได้เท่านั้น “คุณหนู คนที่ส่งมามิใช่คนของท่านกั๋วกงขอรับ” ฉู่เฟยรีบเข้ามารายงาน เมื่อรู้ที่ไปที่มาของคนร้าย ซึ่งครั้งนี้นับว่าโชคดีนัก ที่จิ้งอ๋องอยู่ร่วมในคณะ แม้ยังไม่เผยตัวตนก็ตามที “ส่งสาสน์ให้ทางนั้น ส่งของขวัญไป ข้ามักตอบแทนน้ำใจของผู้อื่นเสมอ ถ้าเถาเถาเป็นอันใดไป ข้าจะมอบให้มากกว่านี้อีกหลายเท่า”
ทางด้านถนนหลัก ชายสวมหน้ากาก ยืนอยู่เหนือร่างของคนที่หมายเอาชีวิตเขา แววตาที่มองคนใต้ฝ่าเท้า ไร้ซึ่งความเห็นใจหรือเมตตาใด ๆ ทว่ามันล้วนเต็มไปด้วยความเย็นชา จนคนที่กำลังหายใจรวยริน ต้องพิจารณาสายตานั้นอีกครั้ง ไม่นะ! เป็นเขาไปได้อย่างไร ชายผู้ไม่ใส่ใจใคร กลับมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อนาง... “ไยไม่ทำให้ได้อย่างปากเจ้าว่าเล่า เอาชีวิตข้า และหัวของนาง” น้ำเสียงที่เย็นเยียบ เอ่ยออกมาด้วยความเนิบช้า สำหรับเขาแล้วสวะเหล่านี้ มีค่าอันใดให้เขาต้องเสียเวลา หากไม่เพราะเขาอยู่ตรงนี้ ในฐานะขององครักษ์ มันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด ที่ต้องลงมือด้วยตนเอง “ทะ...เอ่อ...” ถงเมิ่งชี อยากที่จะเรียกคนตรงหน้า ด้วยตัวตนจริงยิ่งนัก แต่เพราะเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยตัวตน จึงไม่อาจที่จะเอ่ยปากออกมาได้ “เจ้าอาการไม่น่าจะไหวนะ” ชายสวมหน้ากากเอ่ยกับองครักษ์หนุ่ม ด้วยสภาพของถงเมิ่งชี มันย่ำแย่ไม่น้อยเลย แต่ก็ต้องยอมรับใจนักสู้ขององครักษ์หนุ่ม ที่ไม่ว่าอย่างไร ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี “เจ้าอยากตาย! ทำไมไม่บอกข้าแต่แรก ข้าจะได้ไม่เสียเวลาช่วยเจ้า”
“ทำไมหรือ หน้าข้ามีสิ่งใดเปื้อนหรือไม่”หญิงสาวยกมือขึ้น แตะที่ใบหน้าเบา ๆ ทว่าสายตาของนางนั้น มันคือความเย็นเยียบของพยัคฆ์ร้าย ที่กำลังจงใจเล่นกับเหยื่อ“จับนางกลับไปให้ท่านหัวหน้าซะ!”หนึ่งในสาวชายชุดดำ ที่ยังคงรอดชีวิต จากน้ำมือสาวใช้ ตะโกนสั่งเสียงเข้ม โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ สหายของตนเองกำลังตกที่นั่งลำบาก ฟึ่บ! และในพริบตา เพียงพัดในมือถูกสะบัดออกไป ลมหายใจของชายชุดดำ ก็พลันหยุดลง และภาพนั้นก็ชัดต่อสายตา ของคนที่ควบม้ากลับมา โดยมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ด้านหน้าโม่เชี่ยหาน แสร้งไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น คงเพราะแบบนี้ที่ท่านอ๋อง ไม่ยินดีจะยกเลิกการแต่งงาน เพราะพระชายาคือสิ่งล้ำค่า เกินกว่าที่ใคร ๆ จะทันคาดคิด ว่านางจะมีอีกด้านที่น่าหวั่นเกรง“พี่หญิงมิได้โหดร้ายนะขอรับ”หลินเสวียนรีบแก้ต่างให้คนเป็นพี่ เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าอาวุธ ก็คงเป็นจิตใจของผู้คน เรื่องนี้ทั้งพ่อแม่บุญธรรม และท่านพี่ทั้งสอง มักจะบอกแก่เขาอยู่เสมอ เขากลัวว่าถ้าคนจวนอ๋องเห็นอีกด้านของนาง จะคิดทำร้ายนางเอาได้“ข้าน้อยได้เห็นสิ่งใดขอรับ”โม่เชี่ยหาน ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่แปลกใจเลยที่พระชายาจะรักน้องชายมาก เพราะคุ
“พี่หญิง อย่าตามมาขอรับ” หลินเสวียน หันกลับไปเห็นพี่สาวพุ่งตามมาติด ๆ ความเป็นห่วงพุ่งขึ้นมาภายในใจ นางอาจถูกทำร้ายในจังหวะนี้ก็เป็นได้ เขามันช่างไรสามารถนัก แค่ขี่ม้ายังควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ แล้วเขาจะปกป้องผู้ใดได้ ไหนจะพี่สาวของเขา ที่กำลังวิ่งออกมาพบอันตราย เพราะตัวเขาเอง “ปิดตาม้าเอาไว้!” หลินมู่เสวี่ย ตะโกนไล่หลังน้องชายไปอย่างสุดเสียง เพื่อให้น้องชายหยุดม้าให้ได้ ก่อนที่มันจะพาเตลิดไปจนเกิดอันตราย หลินเสวียน ฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงคำสอนของพี่ชาย ตอนที่พี่ใหญ่สอนเขาขี่ม้า เด็กหนุ่มตวัดชายเสื้อ ให้ปิดดวงตาของข้างของม้า โดยที่ตัวเขาแนบกายไปกับแผงคอของมัน พร้อมกับทำเสียงปลอบโยนมัน เพื่อให้มันสงบลง ทว่าทางด้านของหลินมู่เสวี่ย กลับต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อมีเงาร่างในชุดดำ กว่าห้าคน พุ่งมาขวางหน้าเอาไว้ หญิงสาวไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ดวงตาของนางยังคงมองเลยไปยังน้องชาย ด้วยความห่วงใยเช่นเดิม สำหรับนางแล้วคนทั้งห้าก็เพียงฝุ่นผงเท่านั้น จะมากฝีมือแค่ไหน นางก็ไม่คดที่จะละเว้นแต่แรกอยู่แล้ว เห็นทีนางคงต้องเร่งเข้าเมืองหลวง เพื่อมอบของขวัญให้สกุลกั๋วกงเส
“นางคือของข้า”ชายคนเดิมชี้ตรงไปที่ว่าที่พระชายาจิ้งอ๋อง ด้วยแววตาของนักล่า ที่พบเหยื่ออันโอชะ โดยที่เขาไม่รู้เลย ว่าคนที่กำลังจะกลายเป็นเหยื่อ คือตัวเขาเอง“กำแหง!”โม่เชี่ยหาน ตวาดเสียงกร้าว เมื่อเห็นสายตาของนักฆ่า ที่มองไปยังนายหญิงของเขา มันช่างเป็นแววตาของเดรัจฉานอย่างแท้จริง“ฮ่า ๆ ไม่คิดว่าวันนี้จะได้พบกันซึ่งหน้า กับยอดองครักษ์จวนจิ้งอ๋อง โม่เชี่ยหาน ชายผุ้เป็นดั่งแขนขาของลู่หย่งไท้”“สามหาว! เจ้ากล้าเอ่ยนามท่านอ๋องเยี่ยงนั้นได้อย่างไร”“ที่นี่มันเป็นบ้านป่าโม่เชี่ยหาน เจ้าจะมาเอากฎเกณฑ์ใดต่อการเอ่ยชื่อ และต่อให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะยังคงเรียกเช่นเดิม”“เจ้า!”ทว่าก่อนที่โม่เชี่ยหานจะได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายสวมหน้ากากครึ่งท่อน ได้เดินมาแตะที่ไหล่ของเขาเบา ๆ เพื่อให้สงบลงเสีย สายตาที่เต็มไปด้วยประกายสนุกสนาน มองไปยังคนพูด ก่อนเรียวปากจะคลี่ออกน้อย ๆ ซึ่งนั่นเป็นการกระตุ้นความไม่พอใจของชายชุดดำ แม้ใบหน้าครึ่งบนจะถูกปิดทับ แต่ก็ยังคงเห็นสายตา บวกรอยยิ้มเมื่อครู่นั่นอีก มันทำให้โทสะในกายพลุ่งพล่านยิ่งนัก“หึ ๆ เจ้าอยากได้หัวพระชายาหรือ แค่รอยยิ้มของข้า เจ้ายังมีโทสะ แล้วแบบนี
“ข้าผิดตรงไหนกัน”เมื่อเห็นโทสะของอีกฝ่าย พุ่งพล่านจากคำพูดของเขา องครักษ์หนุ่มมีหรือจะปล่อยผ่าน เขายิ่งรู้สึกสนุก ที่จะได้กลั่นแกล้งอีกฝ่าย บางทีนี่อาจเป็นการแก้เบื่ออีกอย่างหนึ่งก็เป็นได้“ตรงที่เจ้าพูด และทุกตรง”เกาจูตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเช่นเดิม และการโต้เถียงก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั้งเกาจูเอง ลืมเลือนเรื่องที่ศิษย์รักออกไปขี่ม้ากลางแจ้ง ถงเมิ่งชีทำเพียงกลั้นขำเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุผลใดกันแน่ ที่อีกฝ่ายชิงชังเขา แม้แต่หายใจยังผิด แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่เหงาอีกตอไปฮี่! ฮี่! จนกรทั้งได้ยินเสียงม้าตื่น นั่นจึงทำให้ทั้งคู่สงบคำ แล้วพุ่งตัวไปที่หน้าต่างรถม้า คนเจ็บก้ลืมความเจ็บ ด้วยสัญชาตญานของผู้ปกป้อง ภาพที่เห็นคือกลุ่มคนจำนวนมาก ที่โอบรอบคระเดินทางเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าหากนับตามจำนวนคนแล้ว ผู้มาเยือนมีจำนวนที่เหนือกว่า อีกมั้งร่างกายยังสมบูรณ์พร้อม ต่างจากพวกเขาที่มีคนเจ็บเสียเป็นส่วนใหญ่“เจ้าอยู่ที่นี่”เกาจูไม่ได้ต้องการฟังคำปฏิเสธ เพราะนี่คือคำสั่ง ก่อนที่เขาจะคว้าเอาแส้คู่ใจ พุ่งหายลงไปจากรถม้า องครักษ์หนุ่ม ควานหายาแก้ปวดมากินไปหล







