ตอนที่
[4] ฉีจื่อหราน สุดท้ายเมื่อเห็นว่าบิดาเกลียดชังและไม่ชอบใจในบุตรสาวคนเล็ก ผู้เป็นมารดาก็ยิ่งพลอยไม่ชอบใจบุตรสาวเข้าไปด้วย รวมถึงพี่น้องคนอื่น ๆที่เริ่มห่างเหิน สุดท้ายพวกเขาก็คงจะลืมไปแล้วว่านางเป็นน้องสาวคนสุดท้องของพวกนาง แต่ที่จริงที่เหล่าพี่สาวไม่ชอบนางนั้นก็มีสาเหตุอื่นอยู่ ในตอนเด็กนางไม่รู้แต่ยิ่งโตมากลับมองได้ชัดขึ้น เรื่องราวทั้งหมดนี้ที่นางได้รับรู้ก็เป็นเพราะแม่นมที่เลี้ยงดูนางได้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟัง คงเพราะสงสารเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดบิดามารดาจึงเอาแต่เมินเฉยใส่ พี่น้องคนอื่นก็ไม่พูดด้วย แม่นมเป็นคนเดียวที่นางสามารถพูดคุยด้วยได้ ซึ่งแม่นมผู้นั้นก็ดันมาเสียในตอนที่นางอายุเจ็ดหนาว ในตอนนั้นเองที่นางถูกย้ายมาอยู่เรือนปัจจุบันที่ห่างจากเรือนของพี่น้องคนอื่น โชคดีที่ไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีอ้ายมี่หลานสาวของแม่นมผู้นั้นอยู่ด้วย แต่จะว่าโชคดีก็ไม่ถูก เด็กน้อยที่อายุน้อยสองคน แม้อยู่ในจวนขุนนางใหญ่ แต่ก็ราวกับเด็กกำพร้าสองคนที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ทำสิ่งใดก็ล้วนลำบาก นางไม่เคยได้รับความรักจากบิดามารดา โดยเฉพาะมารดาที่ดูเหมือนจะเกลียดชังนางขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหลังจากที่บิดาหายจากอาการโรคบุรุษเขาก็รับอนุเข้ามาเพิ่มอีกหลายคน แทนคนเก่าที่ไล่ออกจากจวนไปจนหมดเพราะติดโรค ด้วยยามนั้นบิดาแวะเวียนไปนอนกับพวกนางทุกคน วันหนึ่งมารดาเข้ามากล่าวกับนางด้วยความคับแค้นใจว่า หากนางเกิดมาเป็นบุรุษตนเองก็ไม่ต้องทนทุกข์เช่นนี้ และตัวของนางก็คงไม่ต้องพบเจอกับเรื่องเหล่านี้ ต้องโทษนางที่เกิดมาเป็นสตรีเอง แล้วนี่มันใช่ความผิดของนางที่ใดกัน ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ชีวิตของเด็กน้อยในจวนตระกูลฉี กว่าจะมีชื่อนามฉีจื่อหราน ยามนั้นก็เป็นตอนที่เด็กน้อยอายุได้หกเดือนแล้ว เพราะพวกเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางยังไม่มีชื่อจากการท้วงติงของแม่นม จึงได้ตั้งชื่อให้ แต่การตั้งชื่อก็ตั้งให้ไกลจากพี่น้องคนอื่นมากที่สุด เวลาต่อมามิใช่แค่ชื่อที่ไกล ใจของเด็กน้อยก็เริ่มห่างไกลจากครอบครัวขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน แต่ไม่รู้เป็นเวรกรรมของบิดาหรืออย่างไร ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร อนุเหล่านั้นก็ไม่ตั้งครรภ์เสียที แต่เขาก็ยังคงพยายามต่อไป ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะกลับมาหลับนอนกับท่านแม่แล้ว ท่านแม่จึงได้พยายามเอาอกเอาใจเขาอย่างถึงที่สุด แม้กระทั่งวันนี้ที่อยากให้นางเป็นผู้กระทำผิดเพื่อเอาอกเอาใจบิดา หึ มารดาแบบใด และสิ่งที่พวกเขากระทำต่อนางในอดีตไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ ความร้ายแรงมันเริ่มต้นนับจากนี้ วันหนึ่งในวังมีการประกาศว่าให้ขุนนางตั้งแต่ขั้นห้าขึ้นไปสามารถพาครอบครัวเข้าร่วมเฉลิมฉลองต่อความสำเร็จของชินอ๋องที่สามารถปราบกองกำลังแคว้นชิ่งที่พยายามจะบุกเข้าชายแดนแคว้นมาเนิ่นนานหลายปีจนสำเร็จ ซึ่งบิดาของนางเป็นขุนนางขั้นสามเจ้ากรมราชวงศ์จึงสามารถเข้าร่วมงานได้ กล่าวว่าพาครอบครัว ส่วนมากก็มักจะเป็นบุตรสาวบุตรชายที่เกิดจากฮูหยินเอกด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งนางก็มีสิทธิ์ที่จะได้ไปงานนี้เช่นกัน แต่ด้วยความที่นางนั้นถูกตัดขาดให้ห่างเหินจากครอบครัวมานาน จึงไม่ได้สนใจและไม่คิดที่จะไปงานด้วยซ้ำ แต่หากเป็นพวกเขาเหล่าพี่น้องของนางที่กังวลไปเองจึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมารดา มารดาผู้นั้นที่รักบุตรสาวคนอื่นและเกลียดชังนางยิ่งกว่าสิ่งใด ก็รีบร่วมกันหาทางออกกับบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนทั้งสี่ทันที และที่พวกเขาหวาดหวั่นหนักหนานั่นก็เพราะว่ารูปโฉมของนางนั้นโดดเด่นจากหมู่พี่น้องหลายขุมนัก จนกลัวว่าความงามนี้จะไปเตะตาโดนใจผู้ใดเข้า โดยเฉพาะคนที่พวกนางหมายปอง!! ใช่ เหล่าคุณหนูตระกูลฉีต่างก็หวังจะได้พบเจอและดึงความสนใจคนใหญ่คนโตจากงานนี้ทั้งเชื้อพระวงศ์และคุณชายตระกูลใหญ่ของแคว้นตี้ ซึ่งหากว่านางไปก็กลัวว่าจะมีอันใดผิดพลาด พวกเขาคิดว่านางน่ากลัวถึงเพียงนั้น และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่เหล่าพี่น้องทำตัวห่างเหินจากนางและบิดามารดาก็ออกคำสั่งเด็ดขาดที่ทำให้นางไม่ได้ออกจากจวนตระกูลฉีอยู่แต่ในเรือนน้อยที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้มาหลายปี ก่อนวันงานมาถึงนางได้รับรายงานจากอ้ายมี่ว่าหลานชายห่าง ๆ ของมารดาได้เดินทางมาที่เมืองหลวงเพื่อมาร่ำเรียนการค้ากับปราชญ์ผู้หนึ่งในเมืองหลวง จึงได้มาพักที่จวนตระกูลฉีเป็นการชั่วคราว นางไม่ได้สนใจอันใดจนกระทั่งเมื่อวันงานมาถึง ในช่วงปลายยามเซินที่เห็นเหล่าพี่น้องและบิดามารดาแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราขึ้นรถม้าไป ยังคงเป็นอ้ายมี่ที่บอกนางว่าพวกเขาไปที่ใดกัน ในใจไม่ได้อิจฉาเพียงแค่คิดว่านางถูกทิ้งอีกแล้วก็เท่านั้น ตกเย็นนางก็ทำอาหารและกินอาหารกับอ้ายมี่เป็นปกติ จากนั้นก็ชำระกายและเตรียมจะเข้านอน ท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด จู่ ๆ นางและอ้ายมี่ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่ด้านนอกเรือน อ้ายมี่จึงอาสาออกไปดู แต่จนแล้วจนรอดผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อสาวใช้คนสนิทก็ไม่กลับมา จนกระทั่งนางเห็นว่ามันดูผิดปกติ จึงได้คิดที่จะออกไปดู แต่ทว่าในจังหวะที่เปิดประตูเรือน จู่ ๆ ก็มีมือลึกลับเอื้อมเข้ามาและคว้าตัวนางเอาไว้ก่อนจะลากเข้าไปในเรือนอย่างไม่ปรานีปราศรัย!! นับจากนั้นช่วงเวลาราวกับตกอยู่ในขุมนรกก็เกิดขึ้น!! นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดจนกระทั่งได้ยินเสียงกระชากเปิดประตูอย่างแรงพร้อมเสียงกรีดร้องของสตรี “กรี๊ดดดดดดดด น้องหกนี่เจ้าทำอันใด” แม้ว่าภาพตรงหน้าจะไม่ชัดเจนแต่จากแสงภายนอกที่ลอดวงประตูเข้ามานางก็เห็นว่าผู้นั้นคือพี่ห้าของนาง นอกจากนั้นยังมีสมาชิกในบ้านคนอื่น ๆ ที่มองมาที่นางที่หน้าประตู “บัดสี ออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้!!” พร้อมเสียงเกรี้ยวกราดของบิดาที่สั่งให้นางออกไปตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั