ตอนที่
[4] ฉีจื่อหราน “คุณหนูทำเช่นนี้จะเป็นการดีหรือเจ้าคะ” อ้ายมี่เอ่ยถามขึ้นเมื่อกลับมาถึงเรือน นางไม่ได้เอ่ยถามสักครั้งว่าแผนการของคุณหนูมีแผนอย่างไรบ้าง แต่เพราะหากคุณหนูยังทำเช่นนี้ต่อไป เห็นทีต่อไปจะอยู่จวนตระกูลฉีได้อย่างลำบาก เอ๊ะหรือว่า…. ฉีจื่อหรานเห็นสาวใช้คนสนิทคล้ายจะตกผลึกบางอย่างได้จึงได้แย้มยิ้มออกมา “ข้ามิคิดจะอยู่ที่นี่ จึงได้หาทางที่จะออกจากที่นี่ตามแบบฉบับของข้า” “เป็นเช่นนี้เอง” อ้ายมี่พยักหน้า “แล้วพวกเราจะไปจากที่นี่อย่างไรหรือเมื่อใดเจ้าคะ” ทันใดนั้นดวงตาของผู้เป็นนายก็เข้มขึ้น “เร็ว ๆ นี้ ส่วนวิธีการเจ้าก็ค่อยรอดู” พอเสียทีกับชีวิตของสตรีนามว่าฉีจื่อหราน สตรีอาภัพที่ไม่มีผู้ใดต้องการ เดิมทีการเป็นบุตรสาวคนเล็กควรจะเป็นคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะบุตรคนเล็กจะอายุน้อยและมักจะดูน่าเอ็นดูกว่าใครเสมอ ทั้งในสายตาบิดามารดาและผู้อื่นที่ได้พบเห็น หากแต่กับนางนั้นมิใช่ นางเป็นคนที่บิดามารดาเกลียดชังและผลักไสให้มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หากจะย้อนไปยังจุดเริ่มต้น บิดากับมารดาของนางแต่งงานกันด้วยความรักที่มีให้กัน ณ ขณะนั้น และผู้ใหญ่ต่างก็เห็นว่าทั้งคู่มีฐานะเท่าเทียมและเหมาะสมกันจึงได้ให้ตบแต่งกลายเป็นครอบครัวเดียวกันในที่สุด บิดาของนางกระหายที่จะได้บุตรชายเพื่อที่จะมีผู้สืบสกุลต่อเป็นอย่างมาก แต่จนแล้วจนรอดความพยายามทั้งหมดตลอดหลายปีก็มักจะล้มเหลว เมื่อบุตรคนที่สี่ออกมาก็ยังคงเป็นสตรี บิดาคิดจะรับอนุอยู่หลายครั้งหากแต่มารดาได้ขอร้องเอาไว้ว่าขอโอกาสให้นางอีกสักครั้ง แต่สุดท้ายแล้วบุตรคนที่ห้าก็ยังคงเป็นบุตรสาว ครานี้บิดาของนางจึงเริ่มคิดที่จะรับอนุอย่างจริงจัง เมื่อถึงตรงนี้มารดาก็ยังคงขอร้องบิดาอีกครั้ง ยื้อยุดกันอยู่นานสุดท้ายบิดาจึงได้ยอมให้โอกาส แต่อนิจจา วันที่ห้องเต็มไปด้วยความวุ่นวายเหล่าหมอตำแยต่างวิ่งวุ่น และความร้อนใจของผู้บิดาที่เดินไปมาหน้าห้องทำคลอด เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น หมอตำแยก็เริ่มออกไปรายงานขุนนางฉีด้วยความรวดเร็วทันที ‘เป็นคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ’ เพียงเท่านั้นฉีหวังก็หันหน้าหมุนกายออกจากเรือนไปไม่แม้แต่จะเข้าไปดูอาการของภรรยาที่เพิ่งคลอดบุตรออกมาอย่างยากลำบากเลยสักนิด และจากนั้นเพียงแค่วันเดียวเขาก็รับอนุเข้าจวนมาถึงห้าคน เรื่องนี้ทำให้ฉีฮูหยินถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ ด้วยร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงหลังจากคลอดบุตรรวมกับอาการทางใจที่สามีรับสตรีอื่นเข้ามาในจวน ทำให้จวนตระกูลฉีไร้ผู้ดูแลเรือนไปพักใหญ่ จนกระทั่งฉีหวังเอ่ยว่าจะให้อนุผู้หนึ่งขึ้นมาดูแลแทน ฉีฮูหยินจึงได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ กระนั้นความไม่ยินยอม ความขุ่นข้องหมองใจก็มีอยู่เต็มอก เมื่อไม่สามารถจะไประบายใส่สามีได้ สุดท้ายนางจึงได้เอาสิ่งไม่ดีเหล่านี้ไปใส่บุตรสาวที่เพิ่งเกิดใหม่ ที่แม้จะเกิดมาได้จะเข้าสองเดือนแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดคิดจะตั้งชื่อให้นาง หนำซ้ำผู้เป็นมารดายังไม่คิดจะให้นางดื่มนมจากเต้าเสียด้วยซ้ำ เด็กน้อยถูกผลักไปให้แม่นมเป็นผู้ดูแลโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตที่น่าสงสารของฉีจื่อหราน ต่อมาหลังจากนั้นไม่นานบิดาผู้แข็งแรงมาโดยตลอดก็ล้มป่วยและเมื่อท่านหมอมาตรวจก็พบว่าบิดาเป็นโรคบุรุษร้ายแรง ต้องทำการรักษาเป็นการด่วน และการรักษาต้องใช้เวลา เรื่องนี้ต้องปิดเอาไว้เป็นความลับให้ลึกที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่น่าอายและเกี่ยวพันถึงชื่อเสียง และเรื่องนี้ทำให้การผลิตทายาทที่ต้องการบุตรชายของบิดาจะต้องยืดเวลาออกไป เรื่องนี้คล้ายจะเป็นผลดีต่อมารดาที่บิดาจะไม่ต้องไปหลับนอนกับสตรีอื่น แต่สุดท้ายกลับทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแย่ลงกว่าเดิม และบิดาผู้นั้นก็มาก่นด่าเด็กน้อยที่ไม่ทันรู้เรื่องราวอันใดว่าเป็นสาเหตุทำให้เขาต้องเป็นโรคบุรุษ หากนางเกิดมาเป็นลูกชายทุกอย่างก็ไม่ต้องเป็นเช่นนี้ ‘เป็นเพราะเจ้า ตัวซวย!!’ เขาเอาความผิดทั้งหมดมาโทษที่นาง หากไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องไปรับอนุที่ผู้หนึ่งเป็นคณิกาจากหอนางโลมมา ว่ากันว่าสาเหตุของโรคมาจากสตรีผู้นั้น หึ นางอยากจะขำเสียเหลือเกิน เป็นเพราะนางหรือเป็นเพราะบิดามักมาก จนอยากได้คณิกาอันดับหนึ่งของหอโคมเขียวในยามนั้นมาร่วมหลับนอนด้วยเป็นแน่ ถึงขั้นทุ่มเงินจากการขายที่ดินผืนหนึ่งแถวนอกเมืองเพื่อไปไถ่ตัวนางมา สุดท้ายเมื่อเห็นว่าบิดาเกลียดชังและไม่ชอบใจในบุตรสาวคนเล็ก ผู้เป็นมารดาก็ยิ่งพลอยไม่ชอบใจบุตรสาวเข้าไปด้วย รวมถึงพี่น้องคนอื่น ๆที่เริ่มห่างเหิน สุดท้ายพวกเขาก็คงจะลืมไปแล้วว่านางเป็นน้องสาวคนสุดท้องของพวกนาง แต่ที่จริงที่เหล่าพี่สาวไม่ชอบนางนั้นก็มีสาเหตุอื่นอยู่ ในตอนเด็กนางไม่รู้แต่ยิ่งโตมากลับมองได้ชัดขึ้นตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั