Masukจางม่านอวี้ได้เงินมาแล้วขอแลกกับร้านแลกเงินเป็นพวงอีแปะ กับตำลึงก้อนอีกสองก้อนเก็บเอาไว้ จากนั้นนางรอที่ร้านบะหมี่เนื้อกับซูหมิงที่เจ้าเด็กน้อยคนนี้เคยมาแอบนั่งกินที่ลูกค้ากินเหลือแล้วบอกว่าอร่อยมาก วันนี้นางจึงอยากเลี้ยงเจ้าเด็กอ้วนสักชาม
ส่วนซูซินกับคนขับรถม้านางให้ไปซื้อข้าวสารให้พอกินสำหรับสามเดือนก่อน จากนั้นพวกเมล็ดผักและธัญพืช รวมทั้งแม่ไก่อีกสามสิบตัวขังเอาไว้เลี้ยงกินไข่เป็นอาหาร เพราะคนงานที่บ้านยี่สิบคนต้องช่วยกันทำงาน
โชคดีที่อย่างน้อย ๆ พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนขยันขันแข็ง หากเป็นคนสันหลังยาวนางคงกระโดดน้ำตายให้รู้แล้วรู้รอด ทิ้งพวกเขาให้เผชิญชะตากรรมกันเอาเอง
แต่การกินบะหมี่เนื้อนี้ทำให้นางได้ใช้สกิลในการสอดรู้สอดเห็นเพิ่ม...
“คุณชายเฉินดีมากได้ข่าวว่าจัดการพวกปล่อยเงินกู้เถื่อนเสียจนยกครัวออกจากเมืองฉางเหอย้ายไปแคว้นเซี่ยงหยวนด้วยซ้ำ”
‘โอ๊ะ...ทำไมคุณชายเฉินผู้นี้บารมีมากราวกับเป็นเจ้าของเมืองขนาดนี้ล่ะ’
นอกจากสูดเส้นบะหมี่เข้าปาก นายกับบ่าวตัวน้อยอย่างซูหมิงก็มองตากันพลางเงี่ยหูฟังไปด้วย
“ข้าได้ยินว่ากลัวตายไร้ที่ฝัง”
“จริงหรือ?”
“มีข่าวว่าคุณชายเฉินไม่ธรรมดา มีคนที่มีอำนาจมาก ๆ หนุนหลังอยู่”
ชายวัยกลางคนกำลังพูดอย่างออกรส จนกระทั่งเอ่ยถึงคนมีอำนาจ จากนั้นพวกเขาเริ่มเบาเสียง...
“ข้าไม่แน่ใจว่าระหว่างหานอ๋องกับฮ่องเต้ ใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง”
คำนี้ทำให้นางตาโตเลยทีเดียว หากมีอำนาจขนาดนั้นไม่แน่ว่านางอาจจะล่วงเกินไม่ได้ไม่พอ นางอาจจะยังต้องตามใจเขาด้วยซ้ำ
‘น่ากลัวอยู่นิด ๆ นะ’
“ข่าวว่าทั้งสองพระองค์เกลียดคนทำผิดคิดชั่วที่สุด หากพูดจาไร้มูลความจริงจะถูกตัดลิ้น หากหักหลังทรยศแคว้นก็บั่นคอทันที บางทีก็ฆ่าคนเป็นผักปลา แต่ทุกคนล้วนทำผิด”
จางม่านอวี้จับคอตัวเองคลำ ๆ นางก็คอเล็กแค่นี้เองเนอะ คงไม่โชคร้ายปานนั้นหรอก
เนื่องจากว่าตอนนี้นางไม่เป็นหนี้ผู้ใดแล้วนอกจากเจ้าหนี้ใบหน้าหล่อที่สุดในเมือง จึงเงยหน้าขึ้นมาสู้ได้เมื่อเก็บข้อมูลคุณชายเฉินจนพอใจแล้ว สองนายบ่าวก็เดินเล่นในตลาดกัน
“ซูหมิงในเมืองนี้หากจะค้าขายหรือทำการค้าอะไรต้องติดต่อผู้ใด”
“พี่อวี้ต้องไปติดต่อทางการ แต่ว่าหากเช่าร้านต้องติดต่อร้านรับแลกเงินตระกูลเฉิน เพราะตึกทั้งตลาดนี้เป็นของคุณชายเฉินจนหมด”
อื้อหือ...รวยสับ! รวยปานนั้นจะใช้เงินยังไงหมดนะ น่าจะเป็นตัวเอกสักคนในนิยายที่คนอื่นสร้างแน่ ๆ
ก่อนที่นางจะสร้างจางม่านอวี้ที่สวยหวานน่ารักขึ้นมา นางก็ไปดูตัวอย่างของคนอื่นทั้งไปอ่านเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านตาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่ตัวประกอบอย่างนางหรือจะได้คู่กับตัวเอก ฝันกลางวันชัด ๆ
“เขามีคู่หมั้นหรือยัง”
“ยังไม่มีข่าวว่าเขามีนะพี่อวี้...ทั้งบ่าวรับใช้สนิทล้วนมีแต่บุรุษ” เจ้าซูหมิงนี่ใช้ได้ นับว่าเป็นคู่หูของนางได้ดี เขารอบรู้เรื่องคนอื่นไม่น้อย ช่างเหมือนกับนิสัยชอบใส่ใจคนในโลกก่อนของนาง
“แต่บางทีเขาอาจจะมีสตรีในใจแล้ว” นางรำพันเสียงแผ่ว นึกถึงใบหน้าของสตรีนางนั้นกับเสียงประหลาดที่คาดเดาไปทางเรื่องดีไม่ได้เลย จนกระทั่งผ่านไปยังหอเริงรมย์ที่เหล่าบุรุษมาหาความสำราญ กับเหล่าสตรีที่มีหน้ามีตามานั่งดื่มกินเพื่อมองสอดส่องบุรุษจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“หอหยกเร้นจันทร์”
“หอนี้รับแค่คนมีเงิน คนอย่างพวกเราเข้าไม่ได้หรอก” เจ้าซูหมิงบอกนาง ทำให้นางพยักหน้าน้อย ๆ อย่างเข้าใจทันที นางยืนมองอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเห็นคนคุ้นเคยที่เพิ่งแยกกันไม่นานเดินมาพร้อมคนสนิทของเขา แต่เมื่อจะเดินเข้าไปเขาพลันหยุดหันหน้ามามองยังนาง ทำให้นางรีบหลบ
ไม่เห็นข้า...ไม่เห็น...ไม่เห็น...ไม่เห็น
นางผินหน้าหลบทำมองชมนกชมไม้ไปเรื่อย ทั้งยังไม่ได้ตั้งใจจะมองเขาหรอกนะ แต่ว่ามันบังเอิญจริง ๆ เขาจะคิดว่านางแอบตามเขามาหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นเขาต้องเข้าใจนางผิดแน่ ๆ
“คุณหนูอวี้...ท่านก็มาหอหยกเร้นจันทร์หรือ”
นั่นปะไร...หลบพ้นที่ไหน...นางใช้วิชาล่องหนไม่ได้สินะ เฮ้อ...ชีวิตติดบั๊กไม่พอยังมาติดเจ้าหนี้คนนี้อีกเหรอ
บางทีพวกเราไม่ควรพบหน้ากันบ่อยนักก็ได้
“เอ่อ...คุณชายอย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่เดินดู รอบ ๆ เท่านั้นว่าพอจะมีงานอะไรที่ข้าจะทำเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ท่านได้บ้างเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไป”
เจ้าหนี้คงไม่ปรารถนาให้ลูกหนี้ใช้ชีวิตสุขสบายหรอกกระมัง หาไม่เขาจะไม่ได้รับเงินคืนน่ะสิ ตั้งห้าร้อยตำลึงเชียวนะ
“อ้อ...เจ้าจะมาหางานที่หอนี้?”
ฮะ...นี่นางพูดสิ่งใดให้เขาเข้าใจผิดไปได้ว่านางมาหางานในหอหยกเร้นจันทร์ ที่เหล่าบุรุษรู้ดีว่าสตรีวัยสะพรั่งเช่นนางจะมีงานอะไรได้นอกจากงานคณิกาในหอนี้
“มะ...ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ...ข้าเพียงแค่มาดูร้าน...เอ่อ...ร้านสำหรับเอาไว้ค้าขายในอนาคตเท่านั้น”
นางชี้มั่วซั่วไปยังร้านตรงข้ามกับหอหยกเร้นจันทร์ แต่มันดันเป็นร้านขายยาเพิ่มกำลังบุรุษ เมื่อมองไปยังใบหน้าของคนที่นางพูดด้วยเขากำมือขึ้นปิดปากยิ้มแล้วนางต้องหันมองว่าตัวเองชี้อะไร นางเบิกตากว้างพลันหดนิ้วกลับแทบไม่ทัน
ซวยอะไรอย่างนี้...เขาจะคิดกับนางอย่างไรนะ
“เอ่อ...ไม่ใช่...โน่น...ร้านหนังสือ...ข้าลายมือสวยจะคัดหนังสือมาขายต่างหาก” แต่เมื่อมองเห็นภาพวาดสตรีที่มีแพรบางปิดบนและล่าง กับบนชั้นวางคือนิยายประโลมโลกรู้สึกอยากจะขุดดินตรงหน้าแล้วมุดลงไป
หมดกัน...ชื่อเสียงข้าดูท่าจะป่นปี้ในสายตาเขาแล้วสินะ เดิมก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีอยู่แล้ว การจะเป็นสตรีน่ารักอ่อนหวานนี่มันยากสำหรับตัวประกอบหรือไง
“อื้ม...น่าสนใจยิ่งนัก”
เขาไม่เพียงแต่สนใจยังให้คนของตนเองไปเหมาหนังสือมาทุกเล่มแล้วห่อให้นาง ก่อนจะก้มลงมากำชับที่ข้างใบหู
“เจ้าไปอ่านให้ดี...อีกสามวันมาอ่านให้ข้าฟังที่หอหยกเร้นจันทร์แห่งนี้!”
“O.O”
ห๊ะ! จางม่านอวี้ร้องอุทานในใจ กะพริบตาปริบ ๆ มองคนที่โน้มหน้าหล่อเข้ามาใกล้ชิดจนได้กลิ่นหอมที่ทำให้รู้สึกสบายไปชั่วครู่ จนเกิดอาการชะงักค้าง
ปากที่อ้ากว้างเมื่อรู้ว่าเขาต้องการให้นางทำอะไร พลันหนังสือในมือที่รับไว้หนักอึ้งเสียจริง ทว่าเขากลับไม่ฟังเสียงนางปฏิเสธเดินเข้าหอหยกเร้นจันทร์ไปแล้ว
นี่เขาจะให้นางอ่านเรื่องราวพวกนี้ให้ฟังที่หอเริงรมย์ เขามีรสนิยมแบบไหนกัน ให้นางพากย์แล้วเขาทำตามหรือ
บรึ๋ย...แค่คิดก็หวาดเสียวแล้ว!
คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ชั่วครู่ซูหมิงก็ดึงแขนเสื้อนาง จนนางต้องตั้งสติส่ายหัวไปมา
“พี่ซูซินมากันแล้วรีบกลับกันเถอะพี่อวี้”
เนื่องจากของที่ซื้อมามากมายนัก ทำให้ต้องจ้างเกวียนวัวไปส่งที่บ้านตระกูลจาง หลังจากประชุมรับหน้าที่แต่ละคนเรื่องปลูกผักเลี้ยงไก่แล้วนางให้ขุดบ่อปลาเอาไว้ด้วยเพราะในจวนไม่ห่างจากลำธาร เลี้ยงปลาเอาไว้นอกจากเสริมบารมีแล้ว หากไม่มีอะไรกินยังจับมันมาทำอาหารได้
โชคดีที่พ่อบ้านเก่าแก่ไม่ยอมจากไป เพราะรับใช้ตั้งแต่มารดานางยังอยู่ จึงให้เขาช่วยจัดการงานอื่น ๆ ในบ้านพร้อมทั้งให้พ่อครัวแม่ครัวช่วยกันทำอาหารเลี้ยงทุกคนให้กินอิ่มท้องในวันนี้ ที่สำคัญมีเนื้อสำหรับทุกคน จะได้มีกำลังใจทำงานหลังจากที่ต้องเก็บผักและยอดอ่อนต้นต่าง ๆ กินประทังชีวิตกันมาหลายวัน เพราะหัวมันที่ปลูกเอาไว้ยังไม่ออกให้เก็บกิน
ตกดึกนางอาบน้ำให้สดชื่นก่อนจะใส่ชุดนอนแสนเก่าที่เหลืออยู่จากนั้นเดินไปยังโต๊ะหนังสือ เมื่อนางไล่ซูซินไปนอนห้องข้าง ๆ นางจึงหยิบหนังสือที่เขากว้านซื้อให้นางมาอ่านดู แต่ละประโยคดูหวาดเสียวจริง ๆ
บุรุษหนุ่มผู้กระหายในบุปผาสตรีปลดผ้าคาดเอวออก รูดกางเกงร่วงไปข้างเตียง ประคองความเป็นบุรุษขึ้นชักรูดรั้งขึ้นลง!
อร้าย!!! ทะลึ่ง...ทะลึ่งเกินไปแล้ว...นางรับไม่ได้
(* ̄∇ ̄)
ปากบอกว่ารับไม่ได้แต่ว่านางกวาดตามองทุกตัวอักษรพร้อมกับยกนิ้วกัดปากไปด้วย ทั้งหัวใจที่เต้นตุบลุ้นแบบฉากต่อฉาก
ซี๊ด...ให้ตายเถอะข้าต้องอ่านพวกนี้ให้เขาฟัง จริง ๆ หรือ!
หลังจากแต่งงานได้เก้าเดือน ลูกหงส์และมังกรก็ มาเกิดในตำหนักหานอ๋องสร้างความปีติยินดีมากมายให้ กับเหล่าประชาชนในแคว้น รวมทั้งเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ เยว่อันคังประทานของรับขวัญหลานจนต้องสร้างห้องเก็บสมบัติเพิ่ม จางม่านอวี้ท้องลูกแฝดแต่เป็นแฝดชายหญิง โดยคนเป็นบิดาอย่างหานอ๋องก็ตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง ลูกชายผู้เป็นแฝดพี่มีนามว่าเยว่เฟยเทียน แฝดน้องเป็นลูกสาวมีนามว่าเยว่เฟยเซียง ท่านอ๋องทรงหลงรักลูกชายและลูกสาวทั้งสองมากถึงขนาดอุ้มไปด้วยทุกที่ แม้แต่ออกไปทำงานก็ตาม ยิ่งลูกสาวตัวน้อยอย่างเยว่เฟยเซียงติดการหลับบนอกผู้เป็นบิดาที่สุด “แง้งงงงง!” เสียงร้องของแฝดน้องดังขึ้นทีไร เหล่าพี่เลี้ยงและหานเฟยต่างรีบมาดู เพราะหนูน้อยช่างเอาแต่ใจมาก ๆ หากง่วงจะไม่นอนดี ๆ ที่เปลหรือเตียงนอน แต่จะนอนบนอกบิดา! เยว่เค่อไท่แทบจะยกงานทุกอย่างมาทำที่บ้าน เมื่อลูกสาวติดตนเองมากมายขนาดนี้ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อหานเฟยบอกให้เขาหักดิบมิเช่นนั้นลูกจะไม่ยอมนอนโดยให้คนอื่นกล่อม แต่ใครอยากให้คนอื่นกล่อมกันเล่า ลูกเขาทำเองกับมือย่อมกล่อมให้นอนเองอยู่แล้ว และเมื่อลูกร้ององครักษ์เงา
คืนนี้เยว่เค่อไท่ไม่ได้รังแกหานเฟยของเขาหนักมาก เพียงแค่ตั้งใจจะมีลูกกับนางในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ฤกษ์หยิน หยางบรรจบกันไม่ใช่จะมีได้ในทุกปี เขาจึงไม่ปล่อยให้ความพิเศษนี้ผ่านไปเพียงเปล่าประโยชน์ ด้านนอกแขกที่เชิญมาล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ขุนนางสำคัญในเมือง ไร้ขุนนางสอพลอในเมืองหลวงมาร่วมงานสักคนเดียว จางม่านอวี้ไม่มีญาติที่ไหน เขาก็ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นมีแค่เราต่อจากนี้ก็เพียงพอ ริมฝีปากนุ่มบรรจงจูบอย่างทะนุถนอมและหวานที่สุด นางกินพุทราเชื่อมไปยิ่งทำให้รสชาติหวานติดลิ้นนางเสียจนเขาห้ามใจไม่ได้จูบนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนนางเกือบลืมหายใจ “อึก...สวามีเพคะ...ช้าหน่อยเพคะ” เสียงเล็กท้วงทำให้เขาลดความรุนแรงลง เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มมาเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่นนิ่มหยอกล้อนางระหว่างปลุกเร้าความปรารถนาในกายของนางให้ลุกโชน จนกระทั่งนางทักท้วงบางอย่าง “สามี...ยังไม่ได้ดื่มสุรามงคลเลยเพคะ” สองมือเล็กดันอกแกร่งตะปบมือหนาให้ยับยั้งการกระทำ เพราะเขาเริ่มจะคลายสายคาดเอวแล้ว หากถึงจุดนั้นแม้แต่สุรามงคลก็ไม่ได้ดื่ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยา
เมื่อตัวประกอบหลุดจากบั๊กสู่ตำแหน่งชายาเอกหนึ่งเดียวของหานอ๋องจากแคว้นเยว่หาน... วันมงคลสมรสของจางม่านอวี้และหานอ๋องเยว่เค่อไท่ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่สิบสองเดือนสิบสองรัชศกเยว่คังที่สิบสอง ซึ่งเป็นวันมงคลที่สิบสองปีจะมีครั้ง คือวันที่หยินหยางสมดุลพร้อมให้พลังแด่คู่รักชายหญิง ถือว่าวันนี้หากเป็นวันที่ขอลูกชายก็จะได้ลูกชะตามังกรมาเกิด หากขอลูกสาวก็จะได้ลูกชะตาหงส์มาเกิด แม้จะเป็นวันที่อากาศเย็นแต่ทว่าชาวเมืองต่างออกมาแสดงความยินดีกับหานอ๋องอย่างคึกคัก การแต่งงานครั้งนี้นับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในรัชศกนี้ ซึ่งต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ไม่ขัดข้องสิ่งใด เพราะหานอ๋องเดิมถือเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ในความคิดของพวกเขา เมื่อแต่งงานกับสตรีไร้การหนุนหลังยิ่งทำให้พวกเขาสบายอกสบายใจว่าบัลลังก์จะไม่เกิดการเปลี่ยนมือในเร็ววันจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าทั้งหานอ๋องและฝ่าบาทต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทำตัวห่างเหินกันเพื่อให้คนนอกได้เห็นและเพื่อคานอำนาจเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดใช้เ
จางม่านอวี้มองไปยังคนที่จะมาเก็บดอกเบี้ยนางพลางน้ำตารื้น...ดวงตากลมโตของนางเลอะไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียอกเสียใจ แต่ทว่ากลับไม่ทำให้นางขยับเขยื้อนกาย นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพบกับบุรุษใจร้ายผู้นี้อีกแล้ว แต่นางก็พบ! ทั้งยังหนีไม่พ้นอีกด้วย “ท่านเป็นใคร...ข้าไม่รู้จักท่าน” จางม่านอวี้ขยับตัวหนีร่างใหญ่ที่เขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเตียงนอนของนาง โดยที่มือใหญ่กำลังเอื้อมมือมาคล้ายจะแตะต้องตัว แต่นางรีบขยับหนี! “ท่านเป็นใคร...ออกไปนะ...ข้าไม่รู้จักท่าน” นางแสร้งเล่นบทโศกความจำเสื่อมเสียเลย อย่างไรเขาจะมาเก็บดอกเบี้ยนางไม่ได้แน่นอน เยว่เค่อไท่ขมวดคิ้วทั้งมองดวงตาของนางที่ไหวระริกพลางกดมุมปาก จากนั้นเขานั่งลงมองคนที่กำลังขวัญเสีย “ข้าคือเยว่เค่อไท่ หานอ๋องที่ปกครองเมืองฉางเหอและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า” จางม่านอวี้ยิ่งได้ฟังยิ่งสับสน นี่ถ้าหากเกิดใหม่เขาจะแนะนำตัวตนจริง ๆ ของเขาทำไม ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “ข้าไม่รู้จัก” นางส่ายหน้าพรืดทั้งขยับตัวแต่ทว่า...ว้าย! ร่างของนางกำลังจะตกลงกับพื้นแต่ทว่ากลับมีมือใหญ่รั้งเอาไ
จางม่านอวี้มีเงินจากที่ท่านอ๋องให้เอาไว้อยู่หลายตำลึงจึงเอาไปให้ซูซินซื้อกระดาษมานั่งแต่งหนังสือประโลมโลก และไม่ออกจากบ้านเลยจนกระทั่งนางเขียนได้สิบเรื่องคิดว่าควรจะเอาไปขายที่ร้านขายหนังสือประโลมโลกหน้าหอหยกเร้นจันทร์เพื่อหาเงินเข้าบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ทว่าดันไปช่วงเวลาที่หานอ๋องแต่งตั้งชายาเอกพอดี! เป๋งๆๆๆ ! เสียงฉาบทองเหลืองอันใหญ่ถูกคนเข็นไปพร้อมกับมีคนตีตะโกนป่าวประกาศลั่นถนน จนนางและซูซินต้องหลบทางให้ขบวนคนที่ตีฆ้องร้องป่าว “อีกเดี๋ยวขบวนแห่พระชายาจะผ่านทางนี้...ทุกคนที่รอชมโฉมพระชายาต้องคุกเข่าเข้าใจหรือไม่” จางม่านอวี้รีบเอาหนังสือสิบเล่มขายให้กับเถ้าแก่ร้านหนังสือทันที “เถ้าแก่ข้าคิดไม่แพงเล่มละสามตำลึง” เถ้าแก่ดีใจแทบเนื้อเต้นปกติเรื่องดี ๆ เช่นนั้นพวกลูกหลานคนมีตระกูลชอบซื้อไปอ่านเขาขายเล่มละสิบห้าตำลึง และยังเอาไปคัดลอกได้อีกด้วย “นี่คุณหนูจางต่อไปท่านมาขายที่ร้านข้าห้ามไปขายร้านอื่นเด็ดขาดนะ ข้าเพิ่มให้หนึ่งตำลึง” จางม่านอวี้พยักหน้ารับเงินมาทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงก่อนจะรีบหลบเข้าไปในหอหยกเร้นจันทร์เพื่อ
จางม่านอวี้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในที่ของตนเอง เพราะไม่อยากออกไปเดินเฉียดใกล้ท่านหญิงหลินรั่วเหวิน แต่ทว่าสายข่าวเคลื่อนที่เร็วของนางก็มารายงานข่าวทุกวัน “พี่อวี้...หมิงไปสืบมาอย่างดีแล้ว ท่านอ๋องส่งสตรีเก้าสิบแปดคนกลับเมืองหลวงจนหมด เหลือเพียงท่านหญิงเพียงคนเดียว ท่านว่าท่านอ๋องมีใจให้ท่านหญิงหรือไม่” ซูหมิงไม่รู้ว่าท่านอ๋องออกไปรบ ส่วนคนที่นั่งเป็นท่านอ๋องอยู่ในตำหนัก และยามออกไปด้านนอกใส่หน้ากากเงินนั้นน่ะตัวปลอม นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับท่านอ๋องทำได้อย่างที่แปลงโฉมทั้งเปลี่ยนเสียงได้ แต่นางเคยอ่านมาว่าในจีนโบราณทำได้ด้วยการใช้วิชาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนเสียง แต่เรื่องนี้ก็แพร่งพรายไม่ได้เช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” จางม่านอวี้จะตอบอะไรได้อีกนอกเสียจากว่าช่วงนี้นางไม่ไปพบท่านอ๋องชั่วคราวก็แล้วกัน ประหนึ่งนางกำลังแง่งอนเขาที่เขารับสตรีอื่นเข้ามาในตำหนัก นอกจากนางที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูซินเองก็ไม่รับรู้เช่นกัน และซูซินยังเอาแต่ทำหน้าตาเศร้าซึมที่ท่านอ๋องไม่มานอนกับนางหลายวัน คล้ายกับจะหลงท่านหญิงหลิน “คุณหนู...หากท่านอ๋องไม่รักไม่เอ็นดูท่านแล้วไม่สู้







